ผ่าประเด็นร้อน
ในเย็นวันนี้ (23 มิถุนายน) หากไม่มีการเปลี่ยนใจก็จะได้เห็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เสนอตัวเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ พร้อมกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ที่แยกราชประสงค์ อ้างเหตุผลว่าเพื่อต้องการชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีถูกป้ายสีว่าเป็น “ฆาตรกร 91 ศพ” จากการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 หลังจากในระยะหลังถูกตามราวี ตามป่วนจากคนเสื้อแดงและมักชูป้ายกล่าวหาในเรื่องดังกล่าวอยู่บ่อยครั้ง
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ของพรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดย อภิสิทธิ์ และ สุเทพ เกิดขึ้นหลังจากผลสำรวจของทุกสำนักออกมาตรงกันว่า จะพ่ายแพ้การเลือกตั้งให้กับพรรคเพื่อไทยของ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งแนวโน้มจะออกมาในลักษณะถูกทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ จึงทำให้ถูกมองว่าการมาตั้งเวทีปราศรัยหาเสียงที่นี่เป็นเหมือนการ “แก้เกม” หวังปลุกเร้าความรู้สึกของคนไทยให้เห็นถึงพฤติกรรม “ถ่อยเถื่อน” ทำลายบ้านเมืองของคนเสื้อแดงที่บงการโดย “หัวหน้าโจรใหญ่” คือ ทักษิณ ชินวัตร ผ่านทาง “หัวโจก” คนเสื้อแดง และเชื่อมต่อกันกับพรรคเพื่อไทย
เหมือนกับการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของอภิสิทธิ์-สุเทพ กับพวกนั่นเอง!!
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาสถานการณ์โดยย้อนกลับไปนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2553 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน หรือให้ชัดขึ้นไปอีกก็ต้องย้อนกลับไปจนถึงเมื่อเดือนเมษายน ปี 2552 เมื่อเกิดเหตุการณ์จลาจลเผาเมืองครั้งแรก มีการทำลายการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน มันก็เหมือนกับการสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลว เหมือนกับการ “ประจาน” ตัวเองนั่นเอง
ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้าม ด้วยข้อมูลที่เป็นอยู่มันก็อาจเป็นการสะกิดแผลของคนเสื้อแดงให้เกิดความเคียดแค้นชิงชังเพิ่มขึ้นไปอีก มันถึงบอกว่าการไปปราศรัยที่ราชประสงค์ของ พรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดยอภิสิทธิ์ และสุเทพในครั้งนี้ไม่ได้เกิดผลดีอะไรเลย คะแนนเสียงก็ไม่น่าจะเพิ่มขึ้น เพราะนอกจากจะทำให้คนเสื้อแดงโกรธแค้นแล้ว ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายในย่านราชประสงค์ ที่หลายรายต้องย่อยยับจากเหตุการณ์จลาจลดังกล่าว ซึ่งพวกเขาก็ต้องโทษว่าส่วนสำคัญเป็นเพราะรัฐบาลปล่อยปละละเลย ไม่หาทางป้องกันเสียตั้งแต่เริ่มแรก แต่กลับปล่อยให้ทุกอย่างลุกลามจนสายเกินแก้
นอกจากนั้น หลังเหตุการณ์ร้ายผ่านพ้นไปแล้ว รัฐบาลก็ยังไม่ได้เยียวยาอย่างทันการณ์ มิหนำซ้ำหากยังจำกันได้ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่ผ่านมาผู้ประกอบการในย่านราชการประสงค์เคยมอบหมายให้ตัวแทนมาขอความช่วยเหลือถึงทำเนียบรัฐบาลให้หาทางแก้ปัญหาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว หลังจากที่มีกลุ่มคนเสื้อแดงได้นัดชุมนุมในย่านธุรกิจในทุกสัปดาห์ หรือทุกครบรอบเดือน ครบรอบปี แล้วแต่จะสรรหาเหตุผลมาชุมนุม แต่กลับถูก นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งขณะนั้นยังมีอำนาจเต็มอยู่บอกปัดแบบไม่ใยดีว่าให้ไปหาทางเจรจากับแกนนำคนเสื้อแดงเพื่อหาทางออกกันเอาเอง
นี่ยังไม่นับเรื่องที่น่าเจ็บปวดหลังจากฝ่ายกองทัพส่งกำลังเข้ามาสลายการชุมนุม หรือที่เรียกว่า “กระชับพื้นที่” จนถูกกองกำลังติดอาวุธเป็น “ชายชุดดำ” ที่แฝงตัวมากับคนเสื้อแดงซุ่มยิงทหารจนล้มตายและบาดเจ็บไปหลายคน แต่หลังเหตุการณ์ผ่านพ้นไปกลับลอยแพให้นายทหารผู้บังคับบัญชาในเหตุการณ์ต้องเดินสายไปชี้แจงต่อกรรมาธิการของสภาผู้แทนฯที่มี ส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพวกเดียวกันกับพวก หัวโจกคนเสื้อแดง และกองกำลังติดอาวุธเหล่านั้นตามยถากรรม รวมไปถึงต้องขึ้นศาลสู้คดีเมื่อถูกฟ้องร้อง
คำยืนยันทั้งจากอภิสิทธิ์ และสุเทพที่ระบุว่าต้องการมาชี้แจงข้อเท็จจริงเท่านั้น ฟังดูแล้วมันไร้สาระสิ้นดี อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรง จนเกิดเหตุการณ์ไม่คาดหมายที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูงยิ่งแล้วมันไม่คุ้มกันเลย ที่สำคัญยังทำให้บ้านเมืองบอบช้ำมากขึ้นไปอีก
เพราะต้องไม่ลืมว่านับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เป็นต้นมา ฝ่ายรัฐบาลไม่เคยออกมาชี้แจงอย่างตรงไปตรงมาให้ชาวบ้านส่วนใหญ่ได้เข้าใจว่า คนที่อยู่เบื้องหลัง คนที่ “บงการ” คือ ทักษิณ ชินวัตร เพราะมีหลักฐานมากมาย ทั้งคำพูดผ่านทางวิดีโอลิงค์มาถึงผู้ชุมนุมและแกนนำคนเสื้อแดง รวมไปถึง ส.ส.พรรคเพื่อไทย พวก “ขบวนการล้มเจ้า” ว่ามันเป็นพวกเดียวกัน ว่ามีวัตถุประสงค์ มีความต้องการอย่างไร แต่รัฐบาล ทั้งนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ และ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ กลับไม่ทำให้เป็นเรื่องเป็นราว ทั้งที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ เพียงแค่ให้ดำเนินการตามกฎหมายให้เฉียบขาดให้ต่อเนื่องจริงจัง แต่นี่กลายเป็นว่าพยายามหาทางปรองดองกับโจรพวกนี้อยู่ตลอดเวลา โดยหวังลมๆแล้งๆว่าจะได้รับไมตรีกลับมา โดยทำถึงขั้นส่งคนไปรับรอง “หัวโจก” ที่ถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายจนได้รับการประกันตัวออกมาเดินลอยนวล และหลายคนกำลังจะเป็น ส.ส.เป็น “ผู้ทรงเกียรติ” ในอีกไม่นานข้างหน้านี้
ความไม่เอาไหนและความไม่ใส่ใจ คิดแต่ “ลอยตัว” ไม่รับผิดชอบ คิดจะฉกฉวยสถานการณ์ปล่อยให้ยืดเยื้อจนเกิดความเสียหายจนถึงที่สุด ให้สุกงอมจนชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนทนไม่ไหวออกมาต่อต้านคนเสื้อแดงพวกนี้กันเอง หรืออีกด้านหนึ่งก็ปล่อยให้คนเสื้อเหลืองออกมาเคลื่อนไหว เพื่อให้ภาพออกมาในลักษณะ “เลวทั้งคู่” ขณะที่ตัวเองดูดี อะไรประมาณนั้น แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างได้พลิกผันผิดเพี้ยนไปไกลกลายเป็นว่า “โจรกลายเป็นวีรบุรุษ” หน้าตาเฉย ขณะที่ตัวเองไปหาเสียงที่ไหนก็ถูกพวกเสื้อแดงที่ถูกปลุกระดมฝังหัวว่า “อภิสิทธิ์เป็นฆาตกร”ตามไปด่าทุกที่ ส่วนพรรคเพื่อไทยใช้สโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ถูกนำมาใช้อย่างได้ผล เวลานี้จากผลสำรวจทุกสำนักกลายเป็นพรรคประชาธิปัตย์ตามหลังห่างหลายช่วงตัว จึงต้องดิ้นรนหาทางออกแบบ “มักง่าย” ซึ่งก็สายไปแล้ว
เพราะแทนที่จะได้เสียงเข้ามาเพิ่ม ตรงกันข้ามจะถูกรุมด่าทั้งจากพวกเสื้อแดงสาวกทักษิณ รวมทั้งพวกผู้ประกอบการในย่านราชประสงค์ที่ถูกทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี ไม่มีประโยชน์ใดๆ ขณะที่มีโอกาสจะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงบานปลายจากคนที่ไม่พอใจ เพราะเหมือนกับว่าตั้งใจไป “สะกิดแผล” ซ้ำขึ้นมาอีก ซึ่งหากมองอีกด้านหนึ่งมันก็น่าสงสัยได้เหมือนกันว่าต้องการไปยั่วยุเพื่อหวังผล “สร้างสถานการณ์” อะไรหรือเปล่า เพราะมองไม่เห็นมุมบวกเลยแม้แต่น้อย!!