นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณี ที่กองทัพบก แจ้งความดำเนินคดีกับผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทย กับพวก ที่ใช้ปืนข่มขู่เจ้าหน้าที่ทหารที่ลงพื้นที่ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดว่า เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ผู้สมัครมีตั้ง 500 กว่าคน เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นธรรมชาติของการเลือกตั้ง ไม่ได้หมายความว่าเลือกตั้งเสร็จแล้ว จะมีปัญหากัน อยากให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย เพื่อหลังเลือกตั้งเราจะได้ไปช่วยกันแก้ปัญหาต่างๆ ที่มีความขัดแย้งในสังคม เพื่อให้การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งเรื่องที่เกิดระหว่างการเลือกตั้งไม่น่าจะมีสาระใหญ่โต ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้ อาจมีเรื่องอื่นเกิดขึ้นก็ได้
" อย่างเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่สบายใจ บอกไปได้อย่างไรว่า ที่เลือกพรรคร่วมรัฐบาลเข้ามา เป็นเพราะว่าไม่มีตัวเลือก เหมือนกับว่าไม่ให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาลเลย ซึ่งนายกฯไม่น่าจะพูดอย่างนั้น พรรคชาติไทยพัฒนา ก็น้อยใจตายสิ รวมถึงที่เขียนในเฟซบุ๊คด้วย ก็ไม่ควรทำ ไม่ให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ใช่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนา อยากจะร่วมรัฐบาล ถ้าไม่ถูกบีบบังคับก็ไม่ร่วมแน่ ซึ่งเราถูกบีบด้วยพลังที่เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ก็ต้องมาร่วม ผมรู้สึกไม่สบายใจ ขอสะกิดไว้สักหน่อย บรรยากาศการเลือกตั้งจะต้องนำความสงบไปสู่หลังการเลือกตั้ง มีปัญหากับฝ่ายค้าน แล้วอย่าให้มีปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลอีก มันจะไปกันใหญ่" นายชุมพล กล่าว
** ออกกฎเหล็ก 9 ข้อแบบไร้เดียงสา
นายชุมพล ยังกล่าวถึงการที่นายอภิสิทธิ์ ออกกฎเหล็ก 9 ข้อให้คณะรัฐมนตรีปฏิบัติตามว่า การออกกฎมาบังคับทุกพรรคร่วมรัฐบาลให้ต้องปฏิบัติตาม ถือว่าเป็นความเข้าใจผิดของนายกฯ เพราะในระบบรัฐสภาไทย แบบมีรัฐบาลผสม นายกฯเป็นเพียงผู้นั่งหัวโต๊ะ แต่ความเป็นเจ้าของครม. นั้น เป็นของทุกคน ถ้าหากพรรคร่วมรัฐบาลถอนออกมา นายกฯ จะมีอำนาจหรือไม่ นายกฯ คิดว่านั่งหัวโต๊ะแล้วจะมีอำนาจ สามารถบังคับทุกคนได้นั้น มันไม่ใช่ ระบอบประชาธิปไตย จะต้องฟังกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าจะมีปัญหาไปถึงการร่วมรัฐบาลหน้าหรือไม่ นายชุมพล กล่าวว่า ยังเป็นเพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง นายกฯ ตอบคำถามอาจจะไม่ทันคิดก็ได้ ตนจึงอยากสะกิดไว้ วันหลังตอบคำถามอะไร ขอให้คิดก่อน และให้เกียรติกันด้วย
เมื่อถามว่าแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะของนายกฯ หรือไม่ นายชุมพล กล่าวว่า ไม่ทราบ รู้แต่ว่านายกฯไม่ได้จบรัฐศาสตร์ แต่จบเศรษฐศาสตร์มา ซึ่งตนเคยสอนหนังสือมา จึงเข้าใจเรื่องนี้ดี
** ถีบสามล้อ ผ่าข้าวหลามหาเสียง
ทั้งนี้ นายชุมพล ได้นำคณะผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ลงพื้นที่จ.นครปฐม เพื่อช่วย พ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 นครปฐม พรรคชาติไทยพัฒนา หาเสียง โดยไปกราบสักการะ พระร่วงโรจนฤทธิ์ ที่องค์พระปฐมเจดีย์
นายชุมพล กล่าวอธิฐานในขณะปิดทองที่องค์พระว่า ขอปิดทองที่องค์พระบริเวณหัวใจของพระพุทธรูป ปิดที่หัวใจบริสุทธิ์ มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาประเทศชาติ เพื่อความปรองดอง ยามนี้บ้านเมืองตกระกำลำบาก อยากให้เกิดการจับมือ และประสานกันเพื่อประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาตินำพาประเทศไปสู่การพัฒนาที่ดียิ่งขึ้นไป
จากนั้นนายชุมพล ได้ถีบสามล้อรับจ้าง ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของ จ.นครปฐม โดยมี พ.ท.สินธพ นั่ง ก่อนถีบสามล้อนายชุมพล ยังกล่าวติดตลกว่า ถ้าหลังเลือกตั้งตนตกงาน ก็จะมารับจ้างถีบสามล้อ โดยได้ถีบสามล้อจากหน้าองค์ประปฐมเจดีย์ ไปหน้าตลาด เป็นระยะทางประมาณ 100 เมตร ก่อนจะนำคณะเดินหาเสียงในตลาดบน-ล่าง เทศบาลนครปฐม ที่อยู่หน้าองค์พระปฐมเจดีย์ และนายชุมพล ยังได้ลงมือโชว์ลีลาใช้อีโต้ผ่ากระบอกข้าวหลามด้วย
นายชุมพล ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่จ.นครปฐม ว่า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียง ในวันที่ 1 ก.ค. ทางพรรคจะมาปิดท้ายปราศรัยใหญ่ ที่องค์พระปฐมเจดีย์ เพราะถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่พรรคชาติไทยพัฒนา จึงขอบารมีของท่านคุ้มครอง และดูแลพวกเราด้วย ให้เราสามารถได้เข้าไปทำงานเพื่อประเทศชาติ
เมื่อถามว่าขณะนี้มีการโหมกระแสให้เลือก 2 พรรคใหญ่ แล้วผู้สมัครพรรคชาติไทยพัฒนา จะเข้าไปได้อย่างไร นายชุมพล กล่าวว่า เบอร์ไหนก็ตาม หากเลือกเข้าไปแล้วไปทะเลาะกันก็อย่าเลือก ขอให้เลือกเบอร์ 21 เพราะไม่ไปทะเลาะกับใคร
** "เสี่ยตือ"ขึ้นศาลคดีแจ้งบัญชีเท็จ
ในวันเดียวกันนี้ ( 9 มิ.ย.) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายมานัส เหลืองประเสริฐ ประธานแผนกคดีพาณิชย์ในศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีหมายเลขดำ ที่ อม.4/2554 พร้อมองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน นัดพิจารณาคดีครั้งแรก ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้ร้อง ยื่นคำร้องกล่าวหานายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ ผู้คัดค้าน จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินอันเป็นเท็จ
นายสมศักดิ์ ได้เดินทางไปศาล พร้อมทีมทนายความ เมื่อถึงเวลาศาลได้อ่านอธิบายคำฟ้องสรุปว่า ขณะที่ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่ง ส.ส., รมช.ศึกษาธิการ , รมว.ศึกษาธิการ , รมว.เกษตรและสหกรณ์ รวม 8 ครั้ง ซึ่งมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค.40 ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ในวันที่ 11 ต.ค.40 จนถึงปัจจุบันรวม 21 บัญชี โดยผู้ร้องตรวจสอบพบว่า มีเงินของผู้คัดค้านจำนวน 28 ล้านบาท กระจายตามบัญชีต่างๆ ดังกล่าว แต่ผู้คัดค้านไม่ได้ยื่นต่อป.ป.ช. รวมทั้งยังมีบ้านพักเลขที่ 5/5 ต.ไผ่จำศีล อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง พร้อมที่ดิน ที่มีชื่อผู้อื่นถือกรรมสิทธิ์ แต่จากหลักฐานทางการไต่สวน พบว่าบ้านและที่ดินดังกล่าว เป็นของผู้คัดค้าน
การกระทำของผู้คัดค้าน จึงเป็นการจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินอันเป็นเท็จ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ม. 263 และขอให้ศาลฎีกาฯ ลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ม.119 และมีคำสั่งห้ามผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ศาลฎีกาฯ มีคำสั่ง
นายสมศักดิ์ ได้ให้การปฏิเสธ โดยยืนยันตามเอกสารคำให้การ ที่ได้ยื่นต่อศาลไปเมื่อวันที่ 24 พ.ค.54 ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานคู่ความทั้งสองฝ่าย ในวันที่ 2 ส.ค.นี้ เวลา 09.30 น. พร้อมกำชับให้คู่ความทั้งสองฝ่าย ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาล และทำแนวทางการไต่สวนพยานที่ประสงค์จะไต่สวนยื่นให้ศาลภายใน 14 วัน ก่อนวันนัดตรวจพยาน จากนั้นศาลจะทำสำเนาส่งให้คู่ความ และให้คู่ความทั้งสองฝ่ายส่งคำโต้แย้งภายใน 7 วัน ก่อนวันนัดตรวจพยาน และหากหลักฐานใดอยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก ให้ทำคำร้องยื่นต่อศาลเพื่อให้ศาลออกหมายเรียกเอกสารนั้น โดยองค์คณะได้มอบหมายให้เลขานุการศาลฎีกาฯ และเลขานุการองค์คณะทำหน้าที่ในการตรวจสอบพยานหลักฐานร่วมกันกับคู่ความก่อนถึงวันนัดและรายงานให้องค์คณะทราบ
" อย่างเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่สบายใจ บอกไปได้อย่างไรว่า ที่เลือกพรรคร่วมรัฐบาลเข้ามา เป็นเพราะว่าไม่มีตัวเลือก เหมือนกับว่าไม่ให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาลเลย ซึ่งนายกฯไม่น่าจะพูดอย่างนั้น พรรคชาติไทยพัฒนา ก็น้อยใจตายสิ รวมถึงที่เขียนในเฟซบุ๊คด้วย ก็ไม่ควรทำ ไม่ให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ใช่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนา อยากจะร่วมรัฐบาล ถ้าไม่ถูกบีบบังคับก็ไม่ร่วมแน่ ซึ่งเราถูกบีบด้วยพลังที่เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ก็ต้องมาร่วม ผมรู้สึกไม่สบายใจ ขอสะกิดไว้สักหน่อย บรรยากาศการเลือกตั้งจะต้องนำความสงบไปสู่หลังการเลือกตั้ง มีปัญหากับฝ่ายค้าน แล้วอย่าให้มีปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลอีก มันจะไปกันใหญ่" นายชุมพล กล่าว
** ออกกฎเหล็ก 9 ข้อแบบไร้เดียงสา
นายชุมพล ยังกล่าวถึงการที่นายอภิสิทธิ์ ออกกฎเหล็ก 9 ข้อให้คณะรัฐมนตรีปฏิบัติตามว่า การออกกฎมาบังคับทุกพรรคร่วมรัฐบาลให้ต้องปฏิบัติตาม ถือว่าเป็นความเข้าใจผิดของนายกฯ เพราะในระบบรัฐสภาไทย แบบมีรัฐบาลผสม นายกฯเป็นเพียงผู้นั่งหัวโต๊ะ แต่ความเป็นเจ้าของครม. นั้น เป็นของทุกคน ถ้าหากพรรคร่วมรัฐบาลถอนออกมา นายกฯ จะมีอำนาจหรือไม่ นายกฯ คิดว่านั่งหัวโต๊ะแล้วจะมีอำนาจ สามารถบังคับทุกคนได้นั้น มันไม่ใช่ ระบอบประชาธิปไตย จะต้องฟังกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าจะมีปัญหาไปถึงการร่วมรัฐบาลหน้าหรือไม่ นายชุมพล กล่าวว่า ยังเป็นเพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง นายกฯ ตอบคำถามอาจจะไม่ทันคิดก็ได้ ตนจึงอยากสะกิดไว้ วันหลังตอบคำถามอะไร ขอให้คิดก่อน และให้เกียรติกันด้วย
เมื่อถามว่าแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะของนายกฯ หรือไม่ นายชุมพล กล่าวว่า ไม่ทราบ รู้แต่ว่านายกฯไม่ได้จบรัฐศาสตร์ แต่จบเศรษฐศาสตร์มา ซึ่งตนเคยสอนหนังสือมา จึงเข้าใจเรื่องนี้ดี
** ถีบสามล้อ ผ่าข้าวหลามหาเสียง
ทั้งนี้ นายชุมพล ได้นำคณะผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ลงพื้นที่จ.นครปฐม เพื่อช่วย พ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 นครปฐม พรรคชาติไทยพัฒนา หาเสียง โดยไปกราบสักการะ พระร่วงโรจนฤทธิ์ ที่องค์พระปฐมเจดีย์
นายชุมพล กล่าวอธิฐานในขณะปิดทองที่องค์พระว่า ขอปิดทองที่องค์พระบริเวณหัวใจของพระพุทธรูป ปิดที่หัวใจบริสุทธิ์ มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาประเทศชาติ เพื่อความปรองดอง ยามนี้บ้านเมืองตกระกำลำบาก อยากให้เกิดการจับมือ และประสานกันเพื่อประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาตินำพาประเทศไปสู่การพัฒนาที่ดียิ่งขึ้นไป
จากนั้นนายชุมพล ได้ถีบสามล้อรับจ้าง ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของ จ.นครปฐม โดยมี พ.ท.สินธพ นั่ง ก่อนถีบสามล้อนายชุมพล ยังกล่าวติดตลกว่า ถ้าหลังเลือกตั้งตนตกงาน ก็จะมารับจ้างถีบสามล้อ โดยได้ถีบสามล้อจากหน้าองค์ประปฐมเจดีย์ ไปหน้าตลาด เป็นระยะทางประมาณ 100 เมตร ก่อนจะนำคณะเดินหาเสียงในตลาดบน-ล่าง เทศบาลนครปฐม ที่อยู่หน้าองค์พระปฐมเจดีย์ และนายชุมพล ยังได้ลงมือโชว์ลีลาใช้อีโต้ผ่ากระบอกข้าวหลามด้วย
นายชุมพล ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่จ.นครปฐม ว่า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียง ในวันที่ 1 ก.ค. ทางพรรคจะมาปิดท้ายปราศรัยใหญ่ ที่องค์พระปฐมเจดีย์ เพราะถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่พรรคชาติไทยพัฒนา จึงขอบารมีของท่านคุ้มครอง และดูแลพวกเราด้วย ให้เราสามารถได้เข้าไปทำงานเพื่อประเทศชาติ
เมื่อถามว่าขณะนี้มีการโหมกระแสให้เลือก 2 พรรคใหญ่ แล้วผู้สมัครพรรคชาติไทยพัฒนา จะเข้าไปได้อย่างไร นายชุมพล กล่าวว่า เบอร์ไหนก็ตาม หากเลือกเข้าไปแล้วไปทะเลาะกันก็อย่าเลือก ขอให้เลือกเบอร์ 21 เพราะไม่ไปทะเลาะกับใคร
** "เสี่ยตือ"ขึ้นศาลคดีแจ้งบัญชีเท็จ
ในวันเดียวกันนี้ ( 9 มิ.ย.) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายมานัส เหลืองประเสริฐ ประธานแผนกคดีพาณิชย์ในศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีหมายเลขดำ ที่ อม.4/2554 พร้อมองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน นัดพิจารณาคดีครั้งแรก ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้ร้อง ยื่นคำร้องกล่าวหานายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ ผู้คัดค้าน จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินอันเป็นเท็จ
นายสมศักดิ์ ได้เดินทางไปศาล พร้อมทีมทนายความ เมื่อถึงเวลาศาลได้อ่านอธิบายคำฟ้องสรุปว่า ขณะที่ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่ง ส.ส., รมช.ศึกษาธิการ , รมว.ศึกษาธิการ , รมว.เกษตรและสหกรณ์ รวม 8 ครั้ง ซึ่งมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค.40 ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ในวันที่ 11 ต.ค.40 จนถึงปัจจุบันรวม 21 บัญชี โดยผู้ร้องตรวจสอบพบว่า มีเงินของผู้คัดค้านจำนวน 28 ล้านบาท กระจายตามบัญชีต่างๆ ดังกล่าว แต่ผู้คัดค้านไม่ได้ยื่นต่อป.ป.ช. รวมทั้งยังมีบ้านพักเลขที่ 5/5 ต.ไผ่จำศีล อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง พร้อมที่ดิน ที่มีชื่อผู้อื่นถือกรรมสิทธิ์ แต่จากหลักฐานทางการไต่สวน พบว่าบ้านและที่ดินดังกล่าว เป็นของผู้คัดค้าน
การกระทำของผู้คัดค้าน จึงเป็นการจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินอันเป็นเท็จ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ม. 263 และขอให้ศาลฎีกาฯ ลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ม.119 และมีคำสั่งห้ามผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ศาลฎีกาฯ มีคำสั่ง
นายสมศักดิ์ ได้ให้การปฏิเสธ โดยยืนยันตามเอกสารคำให้การ ที่ได้ยื่นต่อศาลไปเมื่อวันที่ 24 พ.ค.54 ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานคู่ความทั้งสองฝ่าย ในวันที่ 2 ส.ค.นี้ เวลา 09.30 น. พร้อมกำชับให้คู่ความทั้งสองฝ่าย ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาล และทำแนวทางการไต่สวนพยานที่ประสงค์จะไต่สวนยื่นให้ศาลภายใน 14 วัน ก่อนวันนัดตรวจพยาน จากนั้นศาลจะทำสำเนาส่งให้คู่ความ และให้คู่ความทั้งสองฝ่ายส่งคำโต้แย้งภายใน 7 วัน ก่อนวันนัดตรวจพยาน และหากหลักฐานใดอยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก ให้ทำคำร้องยื่นต่อศาลเพื่อให้ศาลออกหมายเรียกเอกสารนั้น โดยองค์คณะได้มอบหมายให้เลขานุการศาลฎีกาฯ และเลขานุการองค์คณะทำหน้าที่ในการตรวจสอบพยานหลักฐานร่วมกันกับคู่ความก่อนถึงวันนัดและรายงานให้องค์คณะทราบ