วานนี้(23 พ.ค.) ที่ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร กรรมการ กทช. ปฏิบัติหน้าที่ กสทช. ยื่นฟ้อง นายจตุรงค์ ปัญญาดิลก ประธานคณะกรรมการสรรหา กสทช. และคณะกรรมการสรรหาทั้งชุดเป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-14 และนางนรรัตน์ พิมเสน เลขาธิการวุฒิสภา เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 15 ในคดีพิพาทเกี่ยวกับองค์กรกลุ่มและเจ้าหน้าที่ของรัฐทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ตามฟ้องสรุปว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นบุคคลผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย เนื่องจากการกระทำ การพิจารณา การมีคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการไม่ปฎิบัติตามกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-15 ทำให้ไม่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้เป็น คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการคมนาคมแห่งชาติ หรือ คณะกรรมการ กสทช. ระบบสรรหา ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ม.6 (3) ด้านเศรษฐศาสตร์ ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้รับการคัดเลือกเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2554 ให้ได้รับคะแนนสูงสุดเรียงตามลำดับ 1 ใน 4 แล้วแต่ไม่ได้รับการเสนอชื่อต่อไป
ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลปกครองไต่สวนฉุกเฉิน ตรวจสอบการกระทำ การใช้ดุลพินิจ การมีมติ การลงคะแนนคัดเลือก และการเสนอบัญชีรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือก ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 15 เพื่อให้มีการยกเลิก เพิกถอนกระบวนการขั้นตอนการกระทำให้ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมกับจัดให้มีการแก้ไขเยียวยาความเสียหายในกระบวนการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว ด้วยการมีคำสั่งคุ้มครองบรรเทาทุกข์ชั่วคราวให้ เลขาธิการวุฒิสภา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 15 จัดส่งบัญชีรายชื่อลำดับคะแนนสูงสุดเรียงตามคำดับในวันที่ 25 เมษายน 2554 ซึ่งปรากฏรายชื่อผู้ฟ้องคดีได้รับคะแนนสูงสุดเป็นลำดับที่ 4 ไปยังประธานวุฒิสภา เพื่อให้ทันกระบวนการคัดเลือกของวุฒิสภาด้วย
โดยศาลปกครองพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินเพื่อมีคำสั่งคุ้มครอง แต่ก็มีคำสั่งให้รับคดีไว้พิจารณาเป็นคดีหมายเลขดำที่ 1173/2554 เพื่อมีคำพิพากษาต่อไป
ก่อนหน้านั้น เวลา 11.00 น. นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร กรรมการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ปฎิบัติหน้าที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ยื่นฟ้องคดีหมายเลขดำที่ 1173/2554 ในคดีพิพาทเกี่ยวกับองค์กรกลุ่ม และเจ้าหน้าที่ของรัฐทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกเหนืออำนาจหน้าที่มีลักษณะเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน ด้วยการใช้อำนาจดุลยพินิจตามอำเภอใจ ขัดต่อพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่กำกับดูและกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 (พ.ร.บ.กสทช.) โดยมีคณะกรรมการสรรหากรรมการกสทช.เป็นผู้ถูกฟ้องคดี ประกอบด้วยที่มีนายจตุรงค์ ปัญญาดิลก ประธานกรรมการสรรหากสทช.กับพวกรวม 15 คน
นางนรรัตน์ พิมเสน เลขาธิการวุฒิสภา ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการสรรหา กสทช. กล่าวว่า ขั้นตอนการดำเนินการของคณะกรรมการสรรหาฯเป็นหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการสรรหาฯ กำหนดเอง ซึ่งเท่าที่ดู ก็ไม่น่าจะมีปัญหา และคณะกรรมการสรรหาฯ ได้ทำอย่างรอบคอบตามระเบียบ ซึ่งเท่าที่คำฟ้องเรื่องการทำลายบัตร ก็ถือเป็นปกติ ในการลงคะแนนลับ เมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว ก็ต้องทำลายเหมือนการประชุมวุฒิสภาเพื่อเลือกบุคคลเป็นกรรมการองค์กรอิสระ
นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวว่า เรื่องส่งเข้ามาวุฒิสภา ก็ต้องตั้งกมธ.ตรวจประวัติ และความประพฤติเชิงลึกของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ รวมถึงตรวจสอบกระบวนการสรรหาว่าชอบหรือไม่ชอบ เพื่อเสนอให้ที่ประชุมวุฒิสภาเลือกเหลือ 11 คน ต่อไป
“แต่คราวนี้ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ กำหนดเวลาว่า ให้ทำให้เสร็จภายใน 180 วัน ถ้าทำไม่เสร็จอำนาจการเลือกจะกลับไปอยู่ที่รัฐบาลทั้งหมด ซึ่งก็จะมีปัญหาการไม่สามารถตรวจสอบได้อีก" นายสมชาย กล่าว
ตามฟ้องสรุปว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นบุคคลผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย เนื่องจากการกระทำ การพิจารณา การมีคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการไม่ปฎิบัติตามกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-15 ทำให้ไม่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้เป็น คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการคมนาคมแห่งชาติ หรือ คณะกรรมการ กสทช. ระบบสรรหา ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ม.6 (3) ด้านเศรษฐศาสตร์ ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้รับการคัดเลือกเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2554 ให้ได้รับคะแนนสูงสุดเรียงตามลำดับ 1 ใน 4 แล้วแต่ไม่ได้รับการเสนอชื่อต่อไป
ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลปกครองไต่สวนฉุกเฉิน ตรวจสอบการกระทำ การใช้ดุลพินิจ การมีมติ การลงคะแนนคัดเลือก และการเสนอบัญชีรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือก ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 15 เพื่อให้มีการยกเลิก เพิกถอนกระบวนการขั้นตอนการกระทำให้ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมกับจัดให้มีการแก้ไขเยียวยาความเสียหายในกระบวนการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว ด้วยการมีคำสั่งคุ้มครองบรรเทาทุกข์ชั่วคราวให้ เลขาธิการวุฒิสภา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 15 จัดส่งบัญชีรายชื่อลำดับคะแนนสูงสุดเรียงตามคำดับในวันที่ 25 เมษายน 2554 ซึ่งปรากฏรายชื่อผู้ฟ้องคดีได้รับคะแนนสูงสุดเป็นลำดับที่ 4 ไปยังประธานวุฒิสภา เพื่อให้ทันกระบวนการคัดเลือกของวุฒิสภาด้วย
โดยศาลปกครองพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินเพื่อมีคำสั่งคุ้มครอง แต่ก็มีคำสั่งให้รับคดีไว้พิจารณาเป็นคดีหมายเลขดำที่ 1173/2554 เพื่อมีคำพิพากษาต่อไป
ก่อนหน้านั้น เวลา 11.00 น. นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร กรรมการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ปฎิบัติหน้าที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ยื่นฟ้องคดีหมายเลขดำที่ 1173/2554 ในคดีพิพาทเกี่ยวกับองค์กรกลุ่ม และเจ้าหน้าที่ของรัฐทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกเหนืออำนาจหน้าที่มีลักษณะเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน ด้วยการใช้อำนาจดุลยพินิจตามอำเภอใจ ขัดต่อพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่กำกับดูและกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 (พ.ร.บ.กสทช.) โดยมีคณะกรรมการสรรหากรรมการกสทช.เป็นผู้ถูกฟ้องคดี ประกอบด้วยที่มีนายจตุรงค์ ปัญญาดิลก ประธานกรรมการสรรหากสทช.กับพวกรวม 15 คน
นางนรรัตน์ พิมเสน เลขาธิการวุฒิสภา ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการสรรหา กสทช. กล่าวว่า ขั้นตอนการดำเนินการของคณะกรรมการสรรหาฯเป็นหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการสรรหาฯ กำหนดเอง ซึ่งเท่าที่ดู ก็ไม่น่าจะมีปัญหา และคณะกรรมการสรรหาฯ ได้ทำอย่างรอบคอบตามระเบียบ ซึ่งเท่าที่คำฟ้องเรื่องการทำลายบัตร ก็ถือเป็นปกติ ในการลงคะแนนลับ เมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว ก็ต้องทำลายเหมือนการประชุมวุฒิสภาเพื่อเลือกบุคคลเป็นกรรมการองค์กรอิสระ
นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวว่า เรื่องส่งเข้ามาวุฒิสภา ก็ต้องตั้งกมธ.ตรวจประวัติ และความประพฤติเชิงลึกของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ รวมถึงตรวจสอบกระบวนการสรรหาว่าชอบหรือไม่ชอบ เพื่อเสนอให้ที่ประชุมวุฒิสภาเลือกเหลือ 11 คน ต่อไป
“แต่คราวนี้ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ กำหนดเวลาว่า ให้ทำให้เสร็จภายใน 180 วัน ถ้าทำไม่เสร็จอำนาจการเลือกจะกลับไปอยู่ที่รัฐบาลทั้งหมด ซึ่งก็จะมีปัญหาการไม่สามารถตรวจสอบได้อีก" นายสมชาย กล่าว
