ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจากมีพระราชกฤษฎีกายุบสภา ประชาชนชาวไทยผู้รักชาติต่างก็รอคอยและอยากเห็นแนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปกป้องอธิปไตย ณ ห้วงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารว่า พรรคการเมืองที่ปวารณาตัวเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเที่ยวนี้มีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอย่างไร
และในที่สุด ประชาชนชาวไทยก็ได้เห็นสัจธรรมร่วมกันว่า ไม่ว่าพรรคการเมืองไหนก็ไม่ได้สนใจใยดีในการปกป้องอธิปไตยของไทยเลยแม้แต่น้อย
เริ่มจาก “พรรคเพื่อไทย” ที่โพลทุกสำนักต่างฟันธงไปในทิศทางเดียวกันว่า จะชนะการเลือกตั้งเที่ยวนี้อย่างถล่มทลายและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ พร้อมทั้งส่ง “ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาวในไส้สุดที่รักของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย
ทั้งนี้ ความชัดเจนของเรื่องดังกล่าว ปฏิเสธไม่ได้ว่า ขึ้นตรงอยู่กับเจ้าของพรรคตัวจริงอย่าง นช.ทักษิณ เพียงคนเดียวเท่านั้น ดังม็อตโต้ของพรรคที่ประกาศเอาไว้ชัดเจนว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ด้วยเหตุดังกล่าว พรรคเพื่อไทยของว่าที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์จะทำอย่างไรกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ก็ย่อมขึ้นอยู่กับประกาศิตจากผู้เป็นพี่ชาย
แม้ที่ผ่านมา คนไทยจะรับรู้ถึงร่องรอยความคิดของนายใหญ่แห่งพรรคเพื่อไทยว่า คิดอย่างไรกับปัญหาปราสาทพระวิหาร คิดอย่างไรกับเพื่อนรักชั่วนิรันดร์ที่ชื่อ “ฮุนเซน” และคิดอย่างไรกับผลประโยชน์มหาศาลในทะเลอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงเส้นเขตแดนทางบก รวมทั้งรับรู้เรื่องความสัมพันธ์ในเชิงผลประโยชน์ร่วมกันกับนายฮุนเซน แต่นี่ดูเหมือนว่า จะเป็นครั้งแรกที่ นช.ทักษิณเปิดเผยความในใจของเรื่องนี้ออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำที่สุด
“มานั่งเถียงกันอยู่ได้เรื่อง 4.6 ตารางกิโลเมตร เรามาเขียนแผนที่ประเทศไทยใหม่เลย เติมความกว้างของประเทศไทยอีก 300 ตารางกิโลเมตรยืดทะเลไปอีกแล้วถมดิน เราก็จะได้ที่ดินเพิ่มมาอีก 300 ตารางกิโลเมตร พร้อมทำเมืองนี้เป็นที่เชิดหน้าชูตากรุงเทพฯ ยิ่งกว่าสุวรรณภูมิ สุวรรณภูมิเราว่าเท่แล้ว แต่ว่าที่นี่จะเท่กว่าเพราะมีเขื่อนกั้นน้ำทะเลท่วมประเทศ แล้วยังได้ที่ดินผืนใหม่อีก 300 ตารางกิโลเมตร และมีผังเมืองที่เป็นมาตรฐานโลกมาใช้”
ชัดเจนอย่างยิ่งสำหรับแนวความคิดของ นช.ทักษิณ ชินวัตร
แน่นอนมิต้องตีความใดๆ ก็เข้าใจได้ว่า ถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาเหนือปราสาทพระวิหารจะสงบลงในทันที เนื่องเพราะนายใหญ่ของพวกเขามิได้สนใจใยดีในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรแต่อย่างใด เนื่องเพราะนายใหญ่ของพวกเตาเห็นพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารเป็นเพียงที่ดินเล็กๆ ที่มิได้มีความหมายหรือสลักสำคัญอะไรไปมากกว่าซากปรักหักพังของปราสาทที่มิได้มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ถ้าหากปะติดปะต่อร่องรอยแนวความความคิดของ นช.ทักษิณโดยเชื่อมโยงไปกับเหตุการณ์ช่วงก่อนหน้านี้ ก็ทำให้สังคมไทยเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่งเลยว่า ด้วยเหตุอันใด “นายนพดล ปัทมะ” ทนายหน้าหอของเขา ซึ่งผันตัวไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในสมัยที่นายสมัคร สุนทรเวชเป็นนายกรัฐมนตรี จึงตัดสินใจลงนามในแถลงการณ์ร่วมยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว
และประเทศไทยก็จะได้ผืนแผ่นดินเพิ่มจากการสร้างเกาะๆ ใหม่ขึ้นม้าด้วยการถมทะเลออกไปอีก 300 ตารางกิโลเมตร เพื่อสร้างเมืองใหม่ที่มีความทันสมัยและมีคุณค่าทางเศรษฐกิจเฉกเช่นเดียวกับ “ดูไบเวิลด์” สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่เขาใช้เป็นที่พำนักภายหลังจากต้องอาญาแผ่นดิน
และเมื่อ นช.ทักษิณคิดเช่นนี้ มีหรือที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่ผู้เป็นพี่ชายประกาศว่าเป็นโคลนนิงของตัวเองจะมีความคิดเป็นอื่นได้
กระนั้นก็ดี ถ้าจะว่าไปแล้ว แนวความคิดของ นช.ทักษิณก็มิได้แตกต่างจากแนวคิดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพลพรรคแห่งประชาธิปัตย์แต่อย่างใด เพราะจนกระทั่งบัดนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ยังคงปล่อยให้ทหารเขมรที่มีทั้งอาวุธประจำกายและอาวุธหนักครอบครองพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารอย่างสบายใจเฉิบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ขณะที่เมื่อตรวจสอบนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ในแคมเปญประชาสัมพันธ์เพื่อรองรับการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นก็มิได้มีแนวความคิดในการจัดการกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่อย่างใด
ดังนั้น ถ้าหากนายอภิสิทธิ์กลับเข้ามาเป็นรัฐบาล ปัญหาก็ยังคงอยู่กับที่ตราบใดที่ต้นตอของวิกฤตไม่ได้รับการแก้ไข มิหนำซ้ำนายอภิสิทธิ์ยังกอดต้นตอของวิกฤติคือบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกปี 2543 หรือ “MOU43” เอาไว้อย่างเหนียวแน่นอีกต่างหาก ซึ่งการที่นายอภิสิทธิ์ยึดติดอยู่กับ MOU43 ทำให้ไทยเสียเปรียบในเวทีนานาชาติอยู่ต่อไป เพราะเป็นการเปิดช่องให้กัมพูชาอ้างอิงแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่ระบุเอาไว้ใน MOU43
ดังจะเห็นได้จากการที่ “พล.อ.เตีย บัญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาที่กล่าวอย่างแข็งกร้าวว่า “ไม่รู้จักพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร” พร้อมยืนยันว่า เป็นดินแดนของกัมพูชา
และเมื่อรูปการเป็นเช่นนี้ก็สามารถสรุปได้ว่า ไม่ว่าพรรคใดหรือใครก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ราชอาณาจักรไทยก็ตกอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะเสียดินแดนให้กับราชอาณาจักรกัมพูชาเหมือนเดิม เพราะปัญหาทุกอย่างก็ยังคงอยู่ และต่างฝ่ายต่างมีวาระซ่อนเร้นจนลืมเลือนผลประโยชน์ของประเทศชาติ
ทั้ง นช.ทักษิณที่มีความสัมพันธ์ในเชิงผลประโยชน์ร่วมกับนายฮุนเซน ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ยอมยืนยันในเรื่องเส้นเขตแดนและกลัวจะเสียภาพลักษณ์มากกว่าการเสียดินแดน
ดังนั้น เมื่อไม่มีทางออก
ดังนั้น เมื่อไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า
เพราะไม่มีใครเลวมากกว่า และไม่มีใครเลวน้อยกว่า
ทางออกสุดท้ายของปวงชนชาวไทยก็คือ การออกไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วยการกากบาทในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใคร เพื่อเป็นการสั่งสอนให้นักการเมืองได้รู้สำนึกกันบ้างว่า เมื่อนักการเมืองมิได้ทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน พวกเขาก็มิสมควรที่จะได้รับสิทธิในการเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน