xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เพื่อไทยสองมาตรฐาน ผลักไส “ไพร่รากหญ้า” อุ้ม “ไพร่ศักดินา” ขึ้นปาร์ตี้ลิสต์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในที่สุดพรรคเพื่อไทยก็มีมติเป็นเอกฉันท์ ตามคำบัญชาของนายใหญ่ ด้วยการส่ง “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาวของ นช.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี ลงสมัคร ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 เพื่อชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนต่อไป โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ชูประเด็น “มาแก้ไข ไม่แก้แค้น” แต่ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าเธอจะมาแก้ไขอะไร และไม่แก้แค้นใคร ?

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางบรรยากาศของความสุขสมชื่นมื่นที่ชาวคณะเพื่อไทยกำลังเกิดอุปาทานหมู่ว่าได้ “นารีขี่ม้าขาว” มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ “สตรี” ที่พวกเขา “อุปโลกน์” ขึ้นมาโดยเชื่อว่าจะเป็นผู้มาบริหารบ้านเมือง ช่วยให้ประเทศชาติเกิดความสันติสุข เหมือนในคำทำนาย แต่จะเป็น “นารีขี่ม้าขาว” หรือ “นารีตกม้าขาว” เหมือนอย่างที่ “บิ๊กเติ้ง” นายบรรหาร ศิลปอาชา หลงจู๊ใหญ่จอมเก๋าแห่งพรรคชาติไทยพัฒนา พูดดักคอเอาไว้ ก็ต้องรอดูกันต่อไป

เพราะถ้าไม่หลงผู้หญิงจนเกินไป ในความสุขสมชื่นมื่นนั้น เหล่าหัวหงอกหัวดำในพรรคเพื่อไทยก็ย่อมรู้ดีว่า อีกด้านหนึ่งของพรรคได้เกิดปัญหาความขัดแย้ง “แย่งชามข้าว” กันขึ้น โดยปฐมเหตุแห่งการ “กัดกัน” ก็เนื่องมาจากก่อนหน้านั้นนายใหญ่ “ทักษิณ ชินวัตร” ได้ลั่นวาจาที่เปรียบเสมือน “ประกาศิต” สำหรับคนเสื้อแดง ผ่านมาทางโปรแกรมสไกป์ว่า

“ผมอยากหาอะไรสักอย่างเป็นโครงการที่ทำให้คนไทยหันมาหากัน สามัคคีกัน และทำให้คนไทยมีความหวัง และเป็นประโยชน์ต่อคนไทยจน ‘ลืมสี’ ลืมฝ่าย เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน”

ถึงแม้จะยังไม่เลิกกินหญ้า แต่คนเสื้อแดงก็คงแปลไทยเป็นไทยได้ว่า นายใหญ่มีโครงการจะ “สลายสีเสื้อ” ถึงขนาดมีการขอความร่วมมือไม่อยากให้ นปช. ใส่เสื้อแดงมาฟังการปราศรัยในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งไม่ว่าจะออกมาจากใจจริง หรือพูดเผื่อหวังผลสิ่งใด แต่เมื่อมันออกมาจากปากนายใหญ่ นั่นคือ “ประกาศิต” ที่ทำให้คนเสื้อแดง และแกนนำคนเสื้อแดงหลายคนเบนเข็มมาลงเล่นการเมืองกันยกใหญ่ จนสุดท้ายเกิดปัญหาผู้สมัครไม่ลงตัว หรือจะพูดให้ชัดขึ้นไปอีกก็คือ เกิดความไม่เป็นธรรมในการคัดเลือกตัวผู้สมัคร มีการเลือกที่รักมักที่ชัง โดยไม่ได้ดูที่ความเหมาะสม

โดยก่อนหน้าที่จะมีการนำรายชื่อไปยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการเปิดรับสมัคร ส.ส.ระบบปาร์ตี้ลิสต์วันแรก 19 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้มีประชาชน “คนเสื้อแดง” จากหลายจังหวัดบุกมาที่พรรคเพื่อไทย เพื่อจี้ให้ผู้มีอำนาจในพรรคเปลี่ยนตัวผู้สมัคร ส.ส. เริ่มจากคนเสื้อแดงจาก จ.สุรินทร์ จำนวน 2 คันรถบัส เดินทางมากดดันให้พรรคส่ง นางปทิดา ตันติรัตนานนท์ อดีตส.ส.สุรินทร์ เขต 7 พรรคเพื่อไทย ลงสมัคร ส.ส.เขต 7 แทนนายสมบัติ ศรีสุรินทร์ จากเดิมที่พรรคมีมติให้นางปทิดาขึ้นบัญชีรายชื่อ โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากที่ผ่านมา นางปทิดาลงพื้นที่พบปะประชาชนตลอดเวลา ขณะที่นายสมบัติไม่เคยลงพื้นที่พบปะชาวบ้านเลย แต่สุดท้ายคำเรียกร้องของแดงรากหญ้าก็ไร้ผล เพราะเมื่อเปิดเผยรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ออกมาก็ปรากฏว่า นางปทิดา ตันติรัตนานนท์ มีรายชื่ออยู่ในปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 96

นอกจากนี้ ยังมีชาวบ้านจาก จ.นครราชสีมา ประมาณ 20 คน ได้เข้ายื่นหนังสือให้พรรคพิจารณาส่งตัว พล.ต.สมาน เกษรอินทร์ เป็นว่าที่ผู้สมัครเขต 9 จ.นครราชสีมา แทน นายกฤษฎา แถวโสภาโดยให้เหตุผลว่า เป็นคนที่ดูแลกลุ่มคนเสื้อแดงมาตลอด ขณะเดียวกัน ยังมีชาวบ้านจาก จ.สระบุรี กว่า 10 คน มาเรียกร้องให้เปลี่ยนตัวผู้สมัครใน จ.สระบุรี เขต 1 ให้เป็น นายบรรณฑูรย์ เกริกวิทยา อีกด้วย

นี่คือความไม่เท่าเทียมกันในหมู่ “ไพร่” ที่พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญและแบ่งชนชั้นวรรณะไพร่ออกเป็น “ไพร่รากหญ้า ไพร่นายทุนพรรค และไพร่ศักดินา” โดยดูจากรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ระบบปาร์ตี้ลิสต์ ที่พรรคเพื่อไทยนำไปยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา เห็นได้ชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยของ นช.ทักษิณ ได้มีการปูนบำเหน็จให้ “ไพร่ศักดินา” กันถ้วนหน้า โดยมีรายชื่อหัวหน้าแก๊งแดงเป็นผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เต็มพรืดไปหมด !

ไม่ว่าจะเป็นไอ้ตู่-จตุพร พรหมพันธุ์ ไพร่ศักดินาตัวพ่อที่ตัวอยู่ในคุก แต่ก็มีชื่ออยู่ในรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 8 ซึ่งเป็นลำดับต้นๆ เลยทีเดียว เช่นเดียวกับไอ้เต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อีกหนึ่งไพร่ศักดินาตัวพ่อที่ชอบทำตัวเป็น “อำมาตย์” โดยล่าสุด คุณชายเต้นเพิ่งพาหวานใจไป “ทานอาหารหรูหราพร้อมไวน์รสชาติดีราคาแพง” ที่แถวทองหล่อ ก็ได้ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 9 นายเหวง โตจิราการ ได้ลำดับที่ 19 เป็นต้น

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยของ นช.ทักษิณ ได้ทำการปูนบำเหน็จให้แกนนำแดงศักดินา จากผลงานการเผาบ้านเผาเมือง ถึงขนาดมีข่าวว่าจะส่ง “ไอ้กี้ร์-อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง” อีกหนึ่งไพร่ศักดินาที่ยังหลบหนีคดีก่อการร้าย เป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย แต่สุดท้ายเมื่อผัวหนีคดีมาไม่ได้ พรรคเพื่อไทยก็เลยตัดสินใจปูนบำเหน็จให้เมียมันแทนโดยนางรพิพรรณ พงศ์เรืองรอง เมียไอ้กี้ร์ ได้เป็นผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์พรรคเพื่อไทยลำดับที่ 27

ไอ้เต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ไพร่ศักดินาหลายล้านบาท ที่เพิ่งพาหวานใจไป “ทานอาหารหรูหรา” แถวทองหล่อมาหมาดๆ ได้กล่าวถึงบำเหน็จรางวัลที่พวกเขาได้รับอย่างคุ้มแสนคุ้มกับ “บาป” ที่พวกเขาก่อขึ้นที่ “ราชประสงค์” ว่า...

“หลังจากนี้ แกนนำนปช.ในส่วนที่จะเป็นผู้สมัครส.ส.ของพรรคเพื่อไทยจะเข้าไปร่วมงานรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งกับพรรคเป็นหลัก ทั้งเวทีปราศรัยและงานรณรงค์รูปแบบอื่นๆ แกนนำที่ไม่ได้เป็นผู้สมัครของพรรค จะยังคงขับเคลื่อนการต่อสู้ในนาม นปช.ต่อไปและหลังจากที่มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้เป็นปัญหา แกนนำที่จะลงสมัครก็จะไม่ไปร่วมบนเวที นปช. ดังนั้นหากคว้าชัยชนะในสนามเลือกตั้งจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนได้ จะเป็นจุดนับหนึ่งสำคัญที่จะนำพาบ้านเมืองไปสู่ประชาธิปไตย” ไอ้เต้นว่าอย่างนั้น

อย่างไรก็ตาม หากจะกล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยส่งแกนนำคนเสื้อแดง เป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น ความจริงแล้วการส่งบุคคลเหล่านี้ลงสมัครโดยให้อยู่ในลำดับที่ปลอดภัยในการได้รับเลือกเป็น ส.ส. ก็เพื่อหวังให้สามารถใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองไม่ต้องถูกควบคุมตัวในกรณีที่กระทำความผิด แสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย ไม่ได้แยกจากกันตามที่เคยกล่าวอ้างไว้เลย โดยสมรู้ในพฤติกรรมที่ผ่านมาของคนกลุ่มนี้ด้วย

ที่สำคัญยังปรากฏความจริงในเรื่องของ “อภิสิทธิ์ชน” ในกลุ่มคนเสื้อแดง ที่เฉพาะแกนนำเท่านั้นที่ได้สิทธิในการที่จะเป็น ส.ส. ในขณะที่แนวร่วมกลับไม่มีโอกาสได้รับสิทธิคุ้มครองดังกล่าว หากถูกจับกุมก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือ แต่กลับมีความพยายามในการส่ง ไอ้กี้ร์-อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ที่อยู่ระหว่างการหลบหนีคดีอยู่ในต่างประเทศลงสมัครด้วย ทั้งที่นายอริสมันต์ถือเป็นแกนนำคนเสื้อแดงที่มักพูดในลักษณะให้ก่อเหตุรุนแรงมากที่สุด

สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า ความจริงแล้วการเคลื่อนไหวของ นช.ทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น เป็นขบวนการเดียวกัน ทั้งพฤติกรรมที่หมิ่นสถาบันและการก่อความรุนแรงต่างๆ ดังนั้น หากพรรคเพื่อไทยได้เข้ามาบริหารประเทศ สถานการณ์ความรุนแรงก็จะยังไม่สิ้นสุด และมีแนวโน้มที่จะทำลายหลักนิติรัฐ โดยการนิรโทษกรรม นช.ทักษิณ และบุคคลบางกลุ่ม

ในทางกลับกัน หากพรรคประชาธิปัตย์ได้กลับมาเป็นรัฐบาล ประชาชนก็รับไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะไม่สามารถทนได้กับปัญหาข้าวยากหมากแพง การทุจริตคอร์รัปชัน และที่สำคัญปัญหาการถูกละเมิดอธิปไตยของชาติ การเมืองทั้ง 2 ขั้วใหญ่นี้จึงยังเป็นปัญหา และไม่ใช่คำตอบของชาติ ในขณะที่การเมืองขั้วที่ 3 ก็เป็นได้เพียงเสียงส่วนน้อยในระบบรัฐสภา

อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงโดยระบบ โดยการปฏิรูปทางการเมืองครั้งใหญ่ ซึ่งไม่สามารถทำได้โดยกลุ่มบุคคลใด ไม่ว่าจะเป็น คณะกรรมการปฏิรูปประเทศของนายอานันท์ ปันยารชุน ที่สุดท้ายต้องลาออกเพราะฝ่ายการเมืองไม่ตอบสนองข้อเสนอ ดังนั้น, จึงต้องแสวงหาหนทางโดยการลงประชามติของประชาชน ในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยกาในช่อง “ไม่ประสงค์ลงคะแนน” หรือ “โหวตโน” ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ !
กำลังโหลดความคิดเห็น