โฆษกพันธมิตรฯ ชี้แผนเพื่อไทยหนุนแก๊งแดงเข็นแกนนำลงสมัครปาร์ตี้ลิสต์ หวังใช้เอกสิทธิ์คุ้มครอง ตอกย้ำ “แม้ว-เผาไทย-ไพร่แดง” เป็นขบวนการเดียวกัน จงใจหมิ่นสถาบัน-เผาบ้านเผาเมือง สิ้นหวังพรรคการเมืองไม่เสนอนโยบายแก้ปัญหาไทย-เขมร “ลุงจำลอง” ระบุพรรคเพื่อฟ้าดินมีมติส่ง “แก่นฟ้า แสนเมือง” ลงปาร์ตี้ลิสต์ขัดตาทัพ ป้องกันถูกยุบพรรค เตรียมนำมวลชนไปให้กำลังใจ พร้อมชูโหวตโนถึงสนามไทย-ญี่ปุ่น
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (18 พ.ค.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยเตรียมส่งแกนนำแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรค ว่า การส่งบุคคลเหล่านี้ลงสมัครโดยให้อยู่ในลำดับที่ปลอดภัยในการได้รับเลือกเป็น ส.ส.ก็เพื่อหวังให้สามารถใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองไม่ต้องถูกควบคุมตัวในกรณีที่กระทำความผิด แสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทยไม่ได้แยกจากกันตามที่เคยกล่าวอ้างไว้เลย โดยสมรู้ในพฤติกรรมที่ผ่านมาของคนกลุ่มนี้ด้วย ที่สำคัญยังปรากฏความเป็นจริงในเรื่องอภิสิทธิชนในกลุ่มคนเสื้อแดงเอง ที่เฉพาะแกนนำเท่านั้นที่ได้สิทธิในการที่จะเป็น ส.ส. ในขณะที่แนวร่วมกลับไม่มีโอกาสได้รับสิทธิคุ้มครองดังกล่าว หากถูกจับกุมก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือ แต่กลับมีความพยายามในการส่งนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ที่อยู่ระหว่างการหลบหนีคดีอยู่ในต่างประเทศลงสมัครด้วย ทั้งที่นายอริสมันต์ถือเป็นแกนนำคนเสื้อแดงที่มักพูดในลักษณะให้ก่อเหตุรุนแรงมากที่สุด
นายปานเทพกล่าวอีกว่า เรื่องนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่าเท็จจริงแล้วการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นเป็นขบวนการเดียวกัน ทั้งพฤติกรรมที่หมิ่นสถาบันและการก่อความรุนแรงต่างๆ ดังนั้น หากพรรคเพื่อไทยได้เข้ามาบริหารประเทศสถานการณ์ความรุนแรงก็ยังจะไม่สิ้นสุด แล้วยังจะมีแนวโน้มที่จะทำลายหลักนิติรัฐ โดยการนิรโทษกรรมและ พ.ต.ท.ทักษิณ และบุคคลบางกลุ่ม ในทางกลับกันประชาชนก็รับไม่ได้อีกเช่นกันหากพรรคประชาธิปัตย์ได้กลับมาเป็นรัฐบาล เพราะไม่สามารถทนได้กับปัญหาข้าวยากหมากแพง การทุจริตคอร์รัปชัน และที่สำคัญปัญหาการถูกละเมิดอธิปไตยของชาติ การเมืองทั้ง 2 ขั้วใหญ่นี้จึงยังเป็นปัญหา และไม่ใช่คำตอบของชาติ ในขณะที่การเมืองขั้วที่ 3 ก็เป็นได้เพียงเสียงส่วนน้อยในระบบรัฐสภา
“เราจึงยังยืนยันว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วต้องมีการเปลี่ยนแปลงโดยระบบ โดยการปฏิรูปทางการเมืองครั้งใหญ่ ซึ่งไม่สามารถทำได้โดยกลุ่มบุคคลใดได้ อาทิ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศของนายอานันท์ ปันยารชุน ที่สุดท้ายต้องลาออกเพราะฝ่ายการเมืองไม่ตอบสนองข้อเสนอ จึงต้องแสวงหาหนทางโดยการลงประชามติของประชาชน ในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยกาในช่องไม่ประสงค์จะเลือกใคร” นายปานเทพกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนำผลการประชุม 3 ฝ่าย ระหว่าง รมว.ต่างประเทศของไทย กัมพูชา และอินโดนีเซีย เข้าหารือในการประชุมวันนี้ (18 พ.ค.) นายปานเทพกล่าวว่า การที่ พล.อ.เตียบัญ รมว.กลาโหม ของกัมพูชา ออกมาแถลงข่าวระบุว่าจะไม่มีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) และคณะกรรมาธิการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ระหว่างไทยกับกัมพูชา หากยังไม่มีผู้สังเกตการณ์จากอินโดนีเซียเข้าไปในพื้นที่ รวมทั้งปฏิเสธว่าไม่รู้จักพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหาร โดยยืนยันว่าเป็นดินแดนของกัมพูชานั้น ตนเห็นว่าเป็นการยืนยันเพียงฝ่ายเดียวของทางกัมพูชา ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลไทยต้องประกาศในเวทีสาธารณะให้ชัดเจนถึงอาณาเขตดินแดนของไทย เพราะหากรัฐบาลยังมัวแต่พูดว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นพื้นที่พิพาท ปัญหานี้ไม่มีทางแก้ไขสำเร็จ เพราะขณะที่กัมพูชายืนยันตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ในขณะที่ฝ่ายไทยยังยึดติดอยู่กับเอ็มโอยู 2543 ก็จะเสียเปรียบในเวทีนานาชาติอยู่ต่อไป เพราะเป็นการเปิดช่องให้กัมพูชาอ้างอิงแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่ระบุอยู่ในเอ็มโอยู 2543 ประกอบกับคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 เพื่อยืนยันเส้นเขตแดน เหมือนเป็นกับดักที่รัฐบาลไทยติดอยู่ ทำให้ตกเป็นรองทุกด้าน จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเอ็มโอยู 2543 ทำให้ไทยเสียเปรียบ หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ข้อเสียเปรียบตรงนี้ได้ ไม่ว่าหลังเลือกตั้งใครจะมาเป็นรัฐบาล ปัญหาทุกอย่างก็ยังคงอยู่ ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยที่ พ.ต.ท.ทักษิณมีความสัมพันธ์ในเชิงผลประโยชน์ร่วมกับนายฮุนเซน หรือพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ยอมยินยันในเรื่องเส้นเขตแดน และกลัวจะเสียภาพลักษณ์มากกว่าการเสียดินแดนอธิปไตย จึงสังเกตได้ว่าทุกพรรคการเมืองไม่ได้มีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาเลย การเมืองในระบบจึงไม่สามารถปกป้องอธิปไตยของชาติได้
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ให้สัมภาษณ์
ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวถึงการประชุมของพรรคเพื่อฟ้าดินเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ เพื่อป้องกันการถูกยุบพรรคว่า ที่ประชุมได้มีมติในการส่ง นายแก่นฟ้า แสนเมือง รองหัวหน้าพรรคเพื่อฟ้าดิน ลงสมัครรับเลือกตั้งในนระบบบัญชีรายชื่อเพียงคนเดียว เพื่อเป็นการป้องกันการถูกยุบพรรคตามกฎหมายในการต้องส่งผู้สมัคร ส.ส.หลังจากที่ไม่เคยส่งมาเลยตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ก่อตั้งพรรคขึ้นมา โดยในวันพรุ่งนี้ (19 พ.ค.) นายแก่นฟ้าจะเดินทางไปสมัครที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ตั้งแต่เวลา 07.00 น. โดยจะมีภาคประชาชนบางส่วนเดินทางไปให้กำลังใจด้วย ทั้งนี้ การสมัครของนายแก่นฟ้าในครั้งนี้ก็จะเป็นการร่วมรณรงค์โหวตโนกับพันธมิตรฯ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อฟ้าดินไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน แต่ต้องการสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติส่วนรวม
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ให้สัมภาษณ์
“ในการรณรงค์โหวตโนนั้น พรรคเพื่อฟ้าดินไม่ได้มีข้อตกลงอะไรกับพันธมิตรฯ แต่ก็จะร่วมรณรงค์เพื่อเป็นการจุดประกายในการปฏิรูปการเมืองต่อไป” พล.ต.จำลองกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานในวันพรุ่งนี้ (18 พ.ค.) เวลา 07.30 น. พล.ต.จำลอง และนายปานเทพ จะเดินทางไปร่วมให้กำลังใจพรรคเพื่อฟ้าดิน ณ อาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ซึ่งเป็นสถานที่สมัคร ส.ส.รับบบัญชีรายชื่อ พร้อมด้วยมวลชนพันธมิตรฯบางส่วน โดยจะมีการนำพรีเซ็นเตอร์ที่เป็นสัตว์ 5 ชนิดที่ปรากฎอยู่บนป้ายประชาสัมพันธ์ไปร่วมรณรงค์โหวตโนในสถานที่สมัครด้วย