วันที่ 19 พ.ค.เมื่อ 19 ปีที่แล้วหรือในช่วงเหตุการณ์“พฤษภาทมิฬ 2535” กลุ่มนักศึกษาประชาชนที่ยังไม่ถูกจับกุมปราบปรามที่ถนนราชดำเนินได้ย้ายการชุมนุมไปที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง และดูเหมือนจะเป็นชนวนเหตุสำคัญที่ทำให้สถานการณ์พลิกกลับให้ฝ่ายประชาชนเป็นฝ่ายชนะ...
เพราะในวันต่อมา (20 พ.ค. 2535) พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผู้นำการต่อสู้คนสำคัญที่ถูกทหารควบคุมตัวในวันที่ 18 พ.ค., พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมกัน โดยผู้นำเข้าเฝ้าฯ คือพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ต่อมาวันที่ 24 พ.ค. 2535 พล.อ.สุจินดา ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมเวลาอยู่ในตำแหน่งแค่ 47 วัน ทั้งๆ ที่มี 4 เหล่า 3 ทัพสนับสนุน..
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ครบรอบ 19 ปีย่างสู่ปีที่ 20 อย่างเงียบเหงาจนหลายคนที่แม้จะเคยร่วมชุมนุมก็อาจจะลืมๆ เลือนๆ ไปแล้ว โดยมีเหตุการณ์ “พฤษภาเผาเมือง” เมื่อ 19 พ.ค.2553 ของคนเสื้อแดงเข้ามายึดพื้นที่ข่าวไปครอบครองแทนแทบจะสิ้นเชิง...
วันนี้ (19 พ.ค. 2554) นปช.เขาคงรำลึกวันครบรอบปี สดุดีวีรชนในความหมายของพวกเขาด้วยความฮึกเหิม คึกคะนอง....
ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร แต่ในความเข้าใจของผมยังยืนยันว่า การต่อสู้ของคนเสื้อแดงเมื่อ 19 พ.ค. 2553 ลึกๆ ก็คือการใช้ “พฤษภา(ทมิฬ)โมเดล” หวังก่อเหตุรุนแรงเพื่อให้พระองค์ท่านลงมาเป็นคนกลางยุติเหตุการณ์ โดยหวังว่าคนชื่อ “ทักษิณ” จะได้รับการปลดปล่อยไปพร้อมๆ กันด้วย...แต่เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามนั้น แหละนั่นทำให้คนชื่อ “ทักษิณ” ต้องเปลี่ยนเกมใหม่ เดินหน้าสู่เกมเลือกตั้งและเป่านกหวีดสู้แบบหมดหน้าตักในวันนี้...
เหตุการณ์พฤษภา 2553 ของคนเสื้อแดงจะนำไปสู่อะไรต่อไปในอนาคตก็คอยดูกันต่อไป...
แต่ที่แน่นอนเหตุการณ์พฤษภา 2535 ของประชาชนที่เรียกกันว่า “ม็อบมือถือ” ในครั้งนั้น ทำให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากคนที่เป็น ส.ส.และเป็นเชื้อชนวนสำคัญทำให้เกิดการปฏิรูปการเมือง เกิดสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ชุดแรกหรือ ส.ส.ร. 1 ผู้ทำคลอดรัฐธรรมนูญปี 2540 นั่นเอง และบ้านเมืองซึ่งว่างเว้นการรัฐประหารมาตั้งแต่ปี 2535 ก็ต้องเกิดรัฐประหารอีกครั้งเมื่อ 19 ก.ย. 2549 ด้วยเหตุผลจริงๆ คือ “หยุดทักษิณ” ที่กำลังทำร้ายทำลายประเทศในหลายๆ มิติ
รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ทำให้เกิด ส.ส.ร. 2 ทำคลอดรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันและมีการแก้ไขกันไปแล้ว 2-3 มาตรา และดูเหมือนว่าในอนาคตไม่ช้าก็เร็วรัฐธรรมนูญปี 2550 อาจจะถูกรื้อใหญ่หรือถูกยกเลิก..!?
หลายคนบอกว่า ถ้าจะทำคลอดรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปการเมืองหรือแม้กระทั่งปฏิรูปประเทศกันใหม่ ก็ต้องมี ส.ส.ร. 3 คำถามมีอยู่ว่า ส.ส.ร. 3 ถ้าจะเกิดขึ้น ด้วยเหตุปัจจัยอะไรเล่า
มองอย่างกว้างๆ อาจมีความเป็นไปได้ใน 3 หนทาง
1) ด้วยด้วยพลังของ “โหวตโน” ในการเลือกตั้ง 3 ก.ค. 2554 ซึ่งกำลังพิสูจน์ตัวเองว่าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ทางการมืองได้หรือไม่
2) บางฝ่ายก็เชื่อว่าจะเกิดจากน้ำมือของฝ่าย(นัก)การเมืองและภาคส่วนต่างๆ ที่อาจเกิดสำนึกหรือเห็นจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญปี 2550
3) บางฝ่ายเชื่อว่าสุดท้ายแล้วสังคมไทยก็หนีไม่พ้นต้องรบราฆ่าฟันกันอีกรอบ และจะนำมาซึ่ง ส.ส.ร. 3 ทำคลอดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ผมค่อนข้างสิ้นหวังกับข้อ 2 ข้อ 3 เพราะหากกล่าวถึงฝ่าย(นัก)การเมืองที่จะริเริ่มการปฏิรูปการเมืองที่ล้มเหลวด้วยตัวเองหรือเกิดจิตสำนึกที่ดีขึ้นมา ดูเหมือนจะต้องรอถึงชาติหน้าตอนบ่ายๆ ในขณะที่หากจะรออำนาจนอกระบบอำนาจพิเศษอะไรนั่นก็พอจะเห็นๆ กันอยู่ว่ายากมาก ขนาดเกิดเหตุเผาบ้านเผาเมือง ฆ่ากันตายกลางบ้านกลางเมือง 91 ศพ บาดเจ็บอีก 2,000 คน ก็หาได้เกิดอะไรที่มันมีลักษณะปฏิรูปรังสรรค์ประเทศนี้ไม่ ตรงข้ามกลับเลือกหนทางแบบลากลู่ถูกังนำพาประเทศไปสู่แนวโน้มแห่งความยุ่งเหยิงยุ่งยากอีกครั้งหนึ่ง ด้วยอาจจะเชื่อว่าการยุบสภาคือการคืนอำนาจประชาชน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงหรือเนื้อแท้แห่งสถานการณ์มันก็คือการคืนอำนาจให้กับกลุ่มการเมืองหน้าเดิมที่ยังอยู่ในขั้วความขัดแย้ง แต่ต่างฝ่ายต่างชูธงคำว่า “ปรองดอง” โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าจะปรองดองปูดองกันแบบไหน อย่างไร
ผมสารภาพว่าโดยส่วนตัวผมไม่ได้เห็นด้วยกับ “โหวตโน” ชนิดดื่มด่ำ กล่าวคือเห็นด้วยในระดับเข้าใจและเห็นถึงคุณค่าของตัวมันเอง แต่พิเคราะห์ดูแล้วสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ “โหวตโน” น่าจะเป็นเครื่องมือเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่ ส.ส.ร. 3 หรือความเปลี่ยนแปลงในเชิงปฏิรูปการเมืองได้ไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณภาพของ “โหวตโน”
ตัวเลขของผู้กาช่อง “ไม่ประสงค์ลงคะแนน” หรือโหวตโนเมื่อคราวการเลือกตั้ง 23 ธ.ค. 2550 ก็คือ ในระบบสัดส่วนหรือบัญชีรายชื่ออยู่ที่ 935,306 คะแนนคิดเป็น 2.85% ของผู้มาใช้สิทธิในระบบเขตมีจำนวน 1,499,707 คะแนนหรือ 4.58% แน่นอนคนที่โหวตโนทั้งสองแบบอาจจะซ้ำกัน แต่ก็พูดตัวเลขกลมๆ ได้เลยว่าตัวเลขคนกาโหวตโนเมื่อปี 2550 คือ 1 ล้านคะแนน หากวันที่ 3 ก.ค.ตัวเลขเพิ่มขึ้น 100% ก็จะเป็น 2 ล้านคะแนน ถ้าโตขึ้น 200% ก็คือ 3 ล้านคะแนน....
ผมยังไม่อยากคาดหมายว่าโหวตโนหนนี้จะจอดป้าย ณ ตัวเลขใด รู้เพียงอย่างเดียวว่าสถานภาพของโหวตโนครั้งนี้เป็นทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของความเคลื่อนไหว และดูเหมือนจะเป็นเพียงอาวุธเดียวที่ประชาชนที่เบื่อหน่าย(นัก)การเมืองแต่ต้องไปเลือกตั้งพอจะมีอยู่ในมือท่ามกลางความเวิ้งว้างแห่งความหวัง...
มีความเป็นไปได้ว่า หากการรณรงค์โหวตโนเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ แปรความเคียดแค้นชิงชังความผิดหวังในอดีตและปัจจุบันที่ประชาชนหวังพึ่งใครไม่ได้นอกจากตัวเองให้เป็นพลังทางปัญญาจริงๆ อัตราความเติบโตของโหวตโนหรือพลังของโหวตโนก็อาจจะเป็นเสมือนพลังม็อบมือถือในช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ก็ได้...
จะอย่างไรก็ตาม ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้หมายถึงว่า ผมกำลังเสนอสูตรสำเร็จของการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปประเทศว่ายังไงๆ ก็ต้องมี ส.ส.ร.ชุดใหม่หรืออีกชุดหนึ่งขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่เท่านั้น เพราะพลังโหวตโนหากมีปริมาณมากพอยังเป็นนัยสำคัญของความเปลี่ยนแปลงได้อีกมากมายหลายอย่าง เพียงแต่ ส.ส.ร. 3 หรือ ส.ส.ร.ชุดใหม่ก็จะทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงกติกาประเทศกติกาการเมืองกันใหม่ในความหมายของการปฏิรูป...
บางท่านอาจมีคำถามว่าตัวผมสังกัดพรรคการเมืองใหม่แล้ว ทำไมไม่ไปลงสมัครรับเลือกตั้งขับเคลื่อนการปฏิรูปการเมืองทางโน้น หลายท่านอาจจะทราบแล้วว่าเพราะคำว่า “โหวตโน” นี่แหละที่กระตุกให้พรรคตระหนักว่า...ควรจะมาร่วมกันขับเคลื่อนการปฏิรูปการเมืองอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินหน้ากันต่อ..หรือไม่อย่างไร...!?
เรื่องมันยาว...ครบรอบ 3 ปีของเหตุการณ์ 193 วัน และครบรอบ 2 ปีของพรรคการเมืองใหม่ในวันที่ 25 พ.ค. 2554 ผมกับคุณสุริยะใส กตะศิลา และกรรมการบริหารพรรคเสียงข้างมากที่เห็นว่าพรรคควร “เว้นวรรค” จะได้ขอโอกาสชี้แจงบนเวทีการชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ถ้าไม่มีอะไรติดขัดคงได้พูดจาปราศรัยกันยาวๆ
พร้อมๆ กับร่วมรำลึกวีรชน 193 วันของพันธมิตรฯ และวีรชนในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ไปด้วย
เพราะในวันต่อมา (20 พ.ค. 2535) พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผู้นำการต่อสู้คนสำคัญที่ถูกทหารควบคุมตัวในวันที่ 18 พ.ค., พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมกัน โดยผู้นำเข้าเฝ้าฯ คือพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ต่อมาวันที่ 24 พ.ค. 2535 พล.อ.สุจินดา ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมเวลาอยู่ในตำแหน่งแค่ 47 วัน ทั้งๆ ที่มี 4 เหล่า 3 ทัพสนับสนุน..
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ครบรอบ 19 ปีย่างสู่ปีที่ 20 อย่างเงียบเหงาจนหลายคนที่แม้จะเคยร่วมชุมนุมก็อาจจะลืมๆ เลือนๆ ไปแล้ว โดยมีเหตุการณ์ “พฤษภาเผาเมือง” เมื่อ 19 พ.ค.2553 ของคนเสื้อแดงเข้ามายึดพื้นที่ข่าวไปครอบครองแทนแทบจะสิ้นเชิง...
วันนี้ (19 พ.ค. 2554) นปช.เขาคงรำลึกวันครบรอบปี สดุดีวีรชนในความหมายของพวกเขาด้วยความฮึกเหิม คึกคะนอง....
ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร แต่ในความเข้าใจของผมยังยืนยันว่า การต่อสู้ของคนเสื้อแดงเมื่อ 19 พ.ค. 2553 ลึกๆ ก็คือการใช้ “พฤษภา(ทมิฬ)โมเดล” หวังก่อเหตุรุนแรงเพื่อให้พระองค์ท่านลงมาเป็นคนกลางยุติเหตุการณ์ โดยหวังว่าคนชื่อ “ทักษิณ” จะได้รับการปลดปล่อยไปพร้อมๆ กันด้วย...แต่เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามนั้น แหละนั่นทำให้คนชื่อ “ทักษิณ” ต้องเปลี่ยนเกมใหม่ เดินหน้าสู่เกมเลือกตั้งและเป่านกหวีดสู้แบบหมดหน้าตักในวันนี้...
เหตุการณ์พฤษภา 2553 ของคนเสื้อแดงจะนำไปสู่อะไรต่อไปในอนาคตก็คอยดูกันต่อไป...
แต่ที่แน่นอนเหตุการณ์พฤษภา 2535 ของประชาชนที่เรียกกันว่า “ม็อบมือถือ” ในครั้งนั้น ทำให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากคนที่เป็น ส.ส.และเป็นเชื้อชนวนสำคัญทำให้เกิดการปฏิรูปการเมือง เกิดสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ชุดแรกหรือ ส.ส.ร. 1 ผู้ทำคลอดรัฐธรรมนูญปี 2540 นั่นเอง และบ้านเมืองซึ่งว่างเว้นการรัฐประหารมาตั้งแต่ปี 2535 ก็ต้องเกิดรัฐประหารอีกครั้งเมื่อ 19 ก.ย. 2549 ด้วยเหตุผลจริงๆ คือ “หยุดทักษิณ” ที่กำลังทำร้ายทำลายประเทศในหลายๆ มิติ
รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ทำให้เกิด ส.ส.ร. 2 ทำคลอดรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันและมีการแก้ไขกันไปแล้ว 2-3 มาตรา และดูเหมือนว่าในอนาคตไม่ช้าก็เร็วรัฐธรรมนูญปี 2550 อาจจะถูกรื้อใหญ่หรือถูกยกเลิก..!?
หลายคนบอกว่า ถ้าจะทำคลอดรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปการเมืองหรือแม้กระทั่งปฏิรูปประเทศกันใหม่ ก็ต้องมี ส.ส.ร. 3 คำถามมีอยู่ว่า ส.ส.ร. 3 ถ้าจะเกิดขึ้น ด้วยเหตุปัจจัยอะไรเล่า
มองอย่างกว้างๆ อาจมีความเป็นไปได้ใน 3 หนทาง
1) ด้วยด้วยพลังของ “โหวตโน” ในการเลือกตั้ง 3 ก.ค. 2554 ซึ่งกำลังพิสูจน์ตัวเองว่าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ทางการมืองได้หรือไม่
2) บางฝ่ายก็เชื่อว่าจะเกิดจากน้ำมือของฝ่าย(นัก)การเมืองและภาคส่วนต่างๆ ที่อาจเกิดสำนึกหรือเห็นจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญปี 2550
3) บางฝ่ายเชื่อว่าสุดท้ายแล้วสังคมไทยก็หนีไม่พ้นต้องรบราฆ่าฟันกันอีกรอบ และจะนำมาซึ่ง ส.ส.ร. 3 ทำคลอดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ผมค่อนข้างสิ้นหวังกับข้อ 2 ข้อ 3 เพราะหากกล่าวถึงฝ่าย(นัก)การเมืองที่จะริเริ่มการปฏิรูปการเมืองที่ล้มเหลวด้วยตัวเองหรือเกิดจิตสำนึกที่ดีขึ้นมา ดูเหมือนจะต้องรอถึงชาติหน้าตอนบ่ายๆ ในขณะที่หากจะรออำนาจนอกระบบอำนาจพิเศษอะไรนั่นก็พอจะเห็นๆ กันอยู่ว่ายากมาก ขนาดเกิดเหตุเผาบ้านเผาเมือง ฆ่ากันตายกลางบ้านกลางเมือง 91 ศพ บาดเจ็บอีก 2,000 คน ก็หาได้เกิดอะไรที่มันมีลักษณะปฏิรูปรังสรรค์ประเทศนี้ไม่ ตรงข้ามกลับเลือกหนทางแบบลากลู่ถูกังนำพาประเทศไปสู่แนวโน้มแห่งความยุ่งเหยิงยุ่งยากอีกครั้งหนึ่ง ด้วยอาจจะเชื่อว่าการยุบสภาคือการคืนอำนาจประชาชน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงหรือเนื้อแท้แห่งสถานการณ์มันก็คือการคืนอำนาจให้กับกลุ่มการเมืองหน้าเดิมที่ยังอยู่ในขั้วความขัดแย้ง แต่ต่างฝ่ายต่างชูธงคำว่า “ปรองดอง” โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าจะปรองดองปูดองกันแบบไหน อย่างไร
ผมสารภาพว่าโดยส่วนตัวผมไม่ได้เห็นด้วยกับ “โหวตโน” ชนิดดื่มด่ำ กล่าวคือเห็นด้วยในระดับเข้าใจและเห็นถึงคุณค่าของตัวมันเอง แต่พิเคราะห์ดูแล้วสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ “โหวตโน” น่าจะเป็นเครื่องมือเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่ ส.ส.ร. 3 หรือความเปลี่ยนแปลงในเชิงปฏิรูปการเมืองได้ไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณภาพของ “โหวตโน”
ตัวเลขของผู้กาช่อง “ไม่ประสงค์ลงคะแนน” หรือโหวตโนเมื่อคราวการเลือกตั้ง 23 ธ.ค. 2550 ก็คือ ในระบบสัดส่วนหรือบัญชีรายชื่ออยู่ที่ 935,306 คะแนนคิดเป็น 2.85% ของผู้มาใช้สิทธิในระบบเขตมีจำนวน 1,499,707 คะแนนหรือ 4.58% แน่นอนคนที่โหวตโนทั้งสองแบบอาจจะซ้ำกัน แต่ก็พูดตัวเลขกลมๆ ได้เลยว่าตัวเลขคนกาโหวตโนเมื่อปี 2550 คือ 1 ล้านคะแนน หากวันที่ 3 ก.ค.ตัวเลขเพิ่มขึ้น 100% ก็จะเป็น 2 ล้านคะแนน ถ้าโตขึ้น 200% ก็คือ 3 ล้านคะแนน....
ผมยังไม่อยากคาดหมายว่าโหวตโนหนนี้จะจอดป้าย ณ ตัวเลขใด รู้เพียงอย่างเดียวว่าสถานภาพของโหวตโนครั้งนี้เป็นทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของความเคลื่อนไหว และดูเหมือนจะเป็นเพียงอาวุธเดียวที่ประชาชนที่เบื่อหน่าย(นัก)การเมืองแต่ต้องไปเลือกตั้งพอจะมีอยู่ในมือท่ามกลางความเวิ้งว้างแห่งความหวัง...
มีความเป็นไปได้ว่า หากการรณรงค์โหวตโนเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ แปรความเคียดแค้นชิงชังความผิดหวังในอดีตและปัจจุบันที่ประชาชนหวังพึ่งใครไม่ได้นอกจากตัวเองให้เป็นพลังทางปัญญาจริงๆ อัตราความเติบโตของโหวตโนหรือพลังของโหวตโนก็อาจจะเป็นเสมือนพลังม็อบมือถือในช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ก็ได้...
จะอย่างไรก็ตาม ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้หมายถึงว่า ผมกำลังเสนอสูตรสำเร็จของการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปประเทศว่ายังไงๆ ก็ต้องมี ส.ส.ร.ชุดใหม่หรืออีกชุดหนึ่งขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่เท่านั้น เพราะพลังโหวตโนหากมีปริมาณมากพอยังเป็นนัยสำคัญของความเปลี่ยนแปลงได้อีกมากมายหลายอย่าง เพียงแต่ ส.ส.ร. 3 หรือ ส.ส.ร.ชุดใหม่ก็จะทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงกติกาประเทศกติกาการเมืองกันใหม่ในความหมายของการปฏิรูป...
บางท่านอาจมีคำถามว่าตัวผมสังกัดพรรคการเมืองใหม่แล้ว ทำไมไม่ไปลงสมัครรับเลือกตั้งขับเคลื่อนการปฏิรูปการเมืองทางโน้น หลายท่านอาจจะทราบแล้วว่าเพราะคำว่า “โหวตโน” นี่แหละที่กระตุกให้พรรคตระหนักว่า...ควรจะมาร่วมกันขับเคลื่อนการปฏิรูปการเมืองอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินหน้ากันต่อ..หรือไม่อย่างไร...!?
เรื่องมันยาว...ครบรอบ 3 ปีของเหตุการณ์ 193 วัน และครบรอบ 2 ปีของพรรคการเมืองใหม่ในวันที่ 25 พ.ค. 2554 ผมกับคุณสุริยะใส กตะศิลา และกรรมการบริหารพรรคเสียงข้างมากที่เห็นว่าพรรคควร “เว้นวรรค” จะได้ขอโอกาสชี้แจงบนเวทีการชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ถ้าไม่มีอะไรติดขัดคงได้พูดจาปราศรัยกันยาวๆ
พร้อมๆ กับร่วมรำลึกวีรชน 193 วันของพันธมิตรฯ และวีรชนในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ไปด้วย