ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา และต่อมาได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม และกำหนดเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554
เมื่อทุกอย่างชัดเจนอย่างนี้ ปี่กลองการเมืองก็ยิ่งโหมระรัวอย่างหนัก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ “นักลงทุนทางการเมือง” ได้มีการเคลื่อนไหวประมูลราคาเพื่อ “ซื้อ” และ “ขายตัว” กันอย่างคึกคัก อีกทั้งยังมีการ “ควบรวมกิจการ” หรือแม้แต่จับมือกันแบบ “เฉพาะกิจ” เพื่อต่อรองร่วมรัฐบาล โดยการตกลงทำสัญญาอันเกี่ยวกับ “ธุรกิจการเมือง” ต่างๆ เหล่านี้ ส่วนใหญ่ได้ทำไปล่วงหน้ากันหมดแล้ว
ที่เหลือจึงมีเพียงรายการ “ต่อรองราคา” ย้ายเข้า-ย้ายออกของพวก ส.ส. ระดับ “หางแถว” เกรดบี และซี ซึ่งเป็นช่วง “นาทีทอง” ที่พวกเขาต้องหากำไร หลังจากที่พวกขาใหญ่ “เขี้ยวลากดิน” ได้ทำการ “ผสมพันธุ์กัน” ทั้งในที่ลับและที่แจ้งกันไปเรียบร้อยแล้ว
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เริ่มเห็นเค้าลางแห่ง “ฝนตกขี้หมูไหล” ความ “อัปรีย์-จัญไร” ที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง เพราะหากใครที่ติดตามการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง ก็ย่อมเข้าใจดีว่าการเลือกตั้งคราวนี้มี “เดิมพัน” สูงยิ่ง ในการช่วงชิงกันระหว่างสองพรรคใหญ่ คือ “ประชาธิปัตย์” กับ “เพื่อไทย” และเมื่อมีเดิมพันสูงก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้ามให้ได้
ดังนั้นหลายฝ่ายจึงประเมินเอาไว้ล่วงหน้าว่าการเลือกตั้งคราวนี้จะต้องมีความ “รุนแรง” เกิดขึ้นอย่างแน่นอน อย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ กับ นายประชา ประสพดี ส.ส. ปากน้ำ พรรคเพื่อไทย องครักษ์พิทักษ์นายใหญ่ หลังยุบสภาวันเดียว ก็ถูกยิงเกือบตาย รอดพ้นเงื้อมมือมัจจุราชมาได้อย่างหวุดหวิด โดยคนใกล้ชิดฟันธงว่า ปมสังหารมาจากเหตุการเมือง 100%
สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ในเวลานี้จึงเป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นได้เป็นอย่างดีถึงความวุ่นวาย และหายนะที่รออยู่ตรงหน้า รวมถึงการเมืองที่ยังอยู่ในวังวนของ “น้ำเน่า” และสุดท้ายคนที่รับกรรมก็คือ “ประชาชนหน้าเศร้า” เหมือนเดิม
ดังนั้น การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ จึงหลีกหนีไม่พ้นพวกเขี้ยวลากดิน “สัตว์การเมือง” ที่จะกลับเข้ามาทำหน้าที่เป็น “ผู้แทนปวงชนชาวไทย” อีกครั้ง และหลายคนจะมีโอกาสสถาปนาตัวเองขึ้นไปเป็นรัฐบาลในการทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งนั่นจะทำให้การเมืองไทย และประชาชนชาวไทย ไม่อาจหลุดพ้นจากปรักตมและหล่มโคลนทางการเมืองในทำนองที่ว่า “อัปรีย์ไป จัญไรมา“ ไม่มีโอกาสก้าวไปข้างหน้าสู่ความเป็นประเทศที่เจริญ ศิวิไลซ์ และมีความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
นอกเสียจากประชาชนชาวไทยจะร่วมใจก้าวข้ามวังวนของการเมืองน้ำเน่า !
ด้วยการก้าวข้ามนักการเมืองหน้าเก่าๆ เดิมๆ ที่ไม่เคยสนใจไยดีประชาชน นอกจากผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ด้วยการไปใช้สิทธิเลือกตั้งและกากบาทลงในช่อง “ไม่ประสงค์ลงคะแนน” เพื่อแสดงให้เห็นว่า ประชาชนไม่ต้องการการเมืองและนักการเมืองแบบเก่า ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ “กูไม่เอามึง” ซึ่งเป็นเจตนารมณ์เดียวกับการรณรงค์ “โหวตโน” (VOTE NO) ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ให้เป็นระบอบที่ทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง !
**เมื่อนักลากตั้งใช้วาทกรรมชั่ว
บิดเบือน “โหวตโน”
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศเปิดแคมเปญ “โหวตโน” ด้วยการรณรงค์ให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งและกากบาทลงในช่อง “ไม่ประสงค์ลงคะแนน” ก็ปรากฏว่า มีนักเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยที่ออกอาการ “ดิ้นพล่าน” โดยพยายามใช้วิชามารบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิทธิในการไปลงคะแนนเลือกตั้ง แต่กากบาทในช่อง “ไม่ประสงค์ลงคะแนน” ว่า ไม่ใช่วิถีทางของระบอบประชาธิปไตย, เป็นการปูทางไปสู่การไม่มีการเลือกตั้ง กระทั่งบอกว่า เป็นการเปิดช่องให้มีการรัฐประหาร
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการที่ สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ นำเสนอรายการเพื่อคัดค้านการรณรงค์ให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งลงคะแนนในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะพยายามใช้สื่อของตนเองเกลี้ยกล่อมประชาชนให้เชื่อตาม ทั้งๆ ที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว มิได้เป็นอย่างที่กล่าวหาเลยแม้แต่น้อย
เพราะการโหวตโนถือเป็นการใช้สิทธิเลือกตั้งเหมือนกัน และมีความเป็นประชาธิปไตย 100% เพราะตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ระบุไว้ว่า... มาตรา 67 การลงคะแนนเลือกตั้ง ให้ทำเครื่องหมายกากบาทลงในช่องทำเครื่องหมายของหมายเลขผู้สมัครหรือพรรคการเมืองในบัตรเลือกตั้ง และในกรณีที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทำเครื่องหมายกากบาทในช่องทำเครื่องหมายไม่ประสงค์ลงคะแนนเลือกตั้งในบัตรเลือกตั้ง
และการที่กฎหมายประกอบการเลือกตั้งบัญญัติสิทธิของประชาชนเอาไว้ตามมาตรา 67 ดังนั้น จึงชี้ช่องให้เห็นว่า ประชาชนไม่จำเป็นต้อง “จำนน” ต่อนักการเมือง แต่ยังมีช่องทาง “โหวตโน” หรือการกาช่องไม่เลือกใคร ซึ่งเป็น “สิทธิอันชอบธรรมของประชาชน” ในระบอบประชาธิปไตย
ทั้งนี้ เมื่อแผนแรกไม่เป็นผล แผนที่สองในการทำลายความชอบธรรมของโหวตโนก็ตามมา โดยหนึ่งในวาทกรรมอันชั่วร้ายที่ถูก “ปลุก” และ “ปั่น” เป็นกระแสล่าสุดก็คือ Vote No คือยุทธศาสตร์เพื่อช่วยพรรคเพื่อไทยและเพื่อช่วย นช.ทักษิณ ชินวัตร มีชัยชนะเหนือพรรคประชาธิปัตย์
โดยวาทกรรมดังกล่าวมาพร้อมกับชุดข้อมูลต่อเนื่องว่า “สนธิ ลิ้มทองกุล” หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รับงานและรับเงินรับทองจากนายใหญ่เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ Vote No
นี่คือกระบวนการบิดเบือนที่ชั่วร้ายที่สุด เพราะความจริงมิได้เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
กล่าวคือถ้าดูจากกระแสสังคม ไม่ว่าจะเป็นผลการสำรวจของสำนักต่างๆ ที่ออกมาก็ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยชนะพรรคประชาธิปัตย์แทบทุกโพล ที่เห็นชัดๆ คือ ในภาคอีสาน ที่พรรคเพื่อไทยมีความนิยมร้อยละ 63 ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ร้อยละ 21 ชนะกันถึง 3 เท่า
หรือสรุปง่ายๆ ก็คือไม่ว่าจะมีโหวตโนหรือไม่ ประชาธิปัตย์ก็แพ้เพื่อไทยวันยังค่ำ ขึ้นอยู่กับว่าจะแพ้มากหรือแพ้น้อยเท่านั้นเอง
ดังนั้น จากคำกล่าวที่ว่า การโหวตโนเท่ากับเป็นการช่วยพรรคเพื่อไทย จึงไม่เป็นความจริง เพราะความจริงแล้วไม่มีการเลือกตั้งครั้งไหนที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลเพราะตัวเองได้เสียงข้างมากในสภา เพราะแพ้มาหมด! ส่วนที่ได้เป็นรัฐบาลก็ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ 1.อุบัติเหตุทางการเมือง 2.เป็นพรรคที่ฉลาดแสนกลในการฉกฉวยโอกาสเข้าไปเอาคะแนนเสียงโดยไม่ต้องเปลืองตัว
**ความล้มเหลว10 ประการของ “อภิสิทธิ์”
และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องจำใส่กะลาหัวไว้จนวันตายก็คือ การที่ความนิยมของประชาธิปัตย์ลดลง หรือในการเลือกตั้งครั้งนี้คะแนนของประชาธิปัตย์จะลดลงนั้น สิ่งสำคัญที่ควรสำเหนียกไว้ก็คือ เป็นเพราะตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บริหารประเทศผิดพลาดและ “ล้มเหลว” ในแทบทุกเรื่องและทุกด้าน จนเอามาสาธยายในที่นี้ก็คงไม่จบไม่สิ้น
ล้มเหลวอันดับแรกคือ ล้มเหลวด้านความมั่นคง ทำให้ไทยเสียดินแดนให้กับกัมพูชา เพราะนายอภิสิทธิ์กอดเอ็มโอยู 43 เอาไว้แน่น จนทำให้เวลานี้ทหารไทยไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรได้ รวมถึงไม่สามารถแก้ไขความไม่สงบในภาคใต้ได้ ไม่สามารถเอาผิดขบวนการล้มเจ้าได้ ไร้ประสิทธิภาพการควบคุมคนเสื้อแดง จนล้มประชุมอาเซียนในปี 52 และปล่อยให้ก่อม็อบซ้ำซากจนเผาเมืองในปี 53 พร้อมกับเผาศาลากลางและอาคารของเอกชนหลายแห่งพังทลายลง
ล้มเหลวอันดับสองคือล้มเหลวในการขจัดการเมืองที่ล้มเหลว โดยเมืองไทยยุคนายอภิสิทธิ์ สภามีการแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าแก่งแย่งผลประโยชน์ โกงกิน คุณภาพนักการเมืองไม่ดีขึ้น มีแต่ถ่อยเถื่อนถีบ สัตว์เลื้อยคลาน จนประชาชนเอือม แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองล้วนๆ ให้คนที่ถูกศาลสั่งตัดสิทธิ์ทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง ซ้ำในตอนที่ตั้งรัฐบาลก็ไปเจรจากับคนพวกนี้ ซึ่งถือว่าไม่เคารพคำตัดสินของศาล
สาม-ล้มเหลวด้านเศรษฐกิจ กู้เงินมหาศาลมาใช้ แจกจ่าย ละลายเงินไปอย่างไร้ประโยชน์ แล้วเพิ่มหนี้สาธารณะจาก 3.4 ล้านล้าน เป็น 4.2 ล้านล้านบาทในเวลาไม่ถึง 2 ปี ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคทุกชนิดพุ่งสูงขึ้น เป็นยุคที่ข้าวยากหมากแพงที่สุด มีการขึ้นค่าแรงเพียงอย่างเดียวแต่ไม่ลดค่าครองชีพ และไม่เคยมีของชิ้นไหนลดราคา และเอาประชานิยมแบบทักษิณมาใช้ ให้ประชาชนหันไปนิยมเขา ลงคะแนนเลือกเขา ซึ่งไม่ต่างจากทักษิณที่เอาเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายหาเสียง
สี่-ล้มเหลวด้านสังคม คุยว่า จะสร้างความสมานฉันท์ แต่กลับทำให้แตกแยก สร้างคนเสื้อน้ำเงินขึ้นมาตอบโต้คนเสื้อแดงด้วยความรุนแรง ซึ่งเมื่อไม่สำเร็จ ก็สร้างเสื้อขาว เสื้อหลากสี เพื่อใช้ประโยชน์ทางการเมือง ทำให้บ้านเมืองแตกแยก
ห้า-ปล่อยให้มีโจรผู้ร้ายเต็มบ้านเต็มเมือง ยาเสพติดกลับมาระบาด แม้ว่ารัฐบาลเคยประกาศนโยบาย 5 รั้วป้องกันยาเสพติด ตอนรับตำแหน่งใหม่ๆ แต่ผ่านมา 2 ปี ก็กลายเป็น 5 รั่ว ยาเสพติดไม่ลด เยาวชนยังเป็นเอเยนต์ยาบ้ารายใหญ่ โดยมีเจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจ
หก-การบริหารราชการ เกิดความล่าช้า เป็นจอมยุทธ์แห่งการตั้งกรรมการ คนร่วมงานใกล้ชิดก็มีแต่ศักดินา ตีนไม่ติดดิน ไม่เข้าใจปัญหาคนจน เป็นรัฐบาลมา 2 ปีกว่า อยู่แต่ในทำเนียบกับแก๊งไอติม รอขึ้นโพเดียมออกโทรทัศน์ โดยตั้งแต่เป็นนายกฯ จะเห็นได้ว่า นายอภิสิทธ์ไปเยี่ยมคนต่างจังหวัดไม่กี่ครั้ง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีน้ำท่วม แถม การติดตามช่วยเหลือก็ล่าช้า นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการโยกย้ายไม่เป็นธรรม ซื้อขายตำแหน่ง อดีตอธิบดีกรมการปกครองร้องเรียน ก.พ.ค. เรื่องถูกปลดไม่เป็นธรรม ก.พ.ค. มีมติให้คืนตำแหน่งให้ นายอภิสิทธิ์ก็นั่งเฉย ไม่ยอมบอกให้รัฐมนตรีมหาดไทย หรือนายเนวินให้คืนตำแหน่งให้
เจ็ด-กระบวนการยุติธรรมล้มเหลว ไม่สามารถจับคนเผาเมืองได้ ส่วนแกนนำที่ควบคุมตัวไว้ก็ให้มีการประกันตัว แถมยังออกมติ ครม.ให้ช่วยประกันตัวแกนนำอีก ไม่สามารถนำตัวทักษิณกลับมารับโทษได้ ทั้งที่ ส.ส.เพื่อไทยและสื่อมวลชนเดินทางไปพบอย่างเอิกเกริก การถอดยศที่ทำได้ก็ไม่ทำ เพราะว่าแอบจับมือกันอยู่ นอกจากนี้ ยังไม่จริงจังกับการเอาผิดนักการเมืองและตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการสลายชุมนุมพันธมิตรฯ วันที่ 7 ต.ค.51 ทั้งที่ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลไว้แล้ว พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่ ป.ป.ช.ให้ปลดออก แต่ ก.ตร. กลับมีมติให้เข้ารับราชการเหมือนเดิม
แปด-ล้มเหลวด้านการศึกษา ที่บอกว่า เรียนฟรี 15 ปี เป็นการหาเสียงเกินจริง เพราะค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลออกให้มีเพียงค่าหนังสือ ค่าอุปกรณ์ ชุดนักเรียน ค่ากิจกรรม แต่ละรายการก็ออกเพียงส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือผู้ปกครองต้องออกเอง ไม่รวมค่าบำรุงโรงเรียน ค่าอาหารกลางวันที่ผู้ปกครองออกเองมากกว่าที่รัฐบาลออกให้หลายเท่า การปฏิรูปการศึกษาที่นายอภิสิทธิ์อ้างว่าเป็นผู้ริเริ่มก็ล้มเหลว เป็นการเปิดช่องให้เอกชนร่วมมือกับสถาบันการศึกษาหากินกับนักการเมือง ขณะที่ผลทดสอบของเด็กออกมาวิชาคณิตศาสตร์ เฉลี่ยคะแนนเต็ม 100 ได้เพียง 14
เก้า-การเมืองภาคประชาชนล้มเหลวที่บอกว่า จะให้ประชาชนมีส่วนร่วม รับปากว่าจะให้ทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ไม่ทำ การทำประชาพิจารณ์บันทึกผลการประชุมเจบีซีก็เอาแต่พวกตัวเองเข้าไปพูด ไม่สนับสนุนภาคประชาชนทั้งที่ตัวเองเคยมาห้อยโหน เคยอภิปรายรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชในสภาว่า ถ้าประชาชนมาประท้วงเสียงเดียวก็ต้องฟัง แต่ทุกวันนี้มีการชุมนุมรอบทำเนียบเป็นม็อบสิบทิศ นายอภิสิทธิ์ไม่เคยฟังเลย
และสิบ - ล้มเหลวในการต่อต้านคอร์รัปชัน ซึ่งสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ยุคนี้มีการคอร์รัปชั่นมากพอๆ กับยุค นช.ทักษิณ ชินวัตร เผลอๆ อาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำไป
ดังนั้น จึงต้องถามกลับไปว่า วาทกรรมที่บิดเบือนอย่าง “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” เราดีกว่าเขาที่ตรงไหน
ในขณะที่นายใหญ่แห่งเผาไทยกินรวบ พรรคประชาธิปัตย์ก็กินแบ่ง
ในขณะที่นายใหญ่สั่งให้เสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง นายอภิสิทธิ์นอกจากจะไม่จัดการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ยังปล่อยให้คนเผาบ้านเผาเมืองออกมาจากคุกสบายใจเฉิบ
ในขณะที่นายใหญ่จาบจ้วงสถาบัน 2 ปีกว่าของการเป็นรัฐบาล นายอภิสิทธิ์กลับไม่สามารถจัดการเหล่ากอของความชั่วร้ายเหล่านี้ให้หมดไป
ดังนั้น บทสรุปของทั้งสองพรรคจึงมีอยู่ว่าไม่มีใครเลวมากกว่า ไม่มีใครเลวน้อยกว่า เพราะทั้งคู่ต่างก็ไม่ได้ทำอะไรให้กับบ้านกับเมืองทั้งสิ้น
**ประชาธิปัตย์ติดกับดักของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์กลัว “โหวตโน” ก็เพราะเป็นวัวสันหลังหวะจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง จากเขตใหญ่เรียงเบอร์ มาเป็นเขตเดียวเบอร์เดียว ซ้ำร้ายยังต้องมาติดกับดักตัวเองเพราะอุตส่าห์ออกแบบการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนแปลงสัดส่วน ส.ส.จากเดิมที่มี ส.ส. เขต 400 คน ส.ส.สัดส่วน100 คน มาเป็น ส.ส. เขต 375 คน ส.ส. สัดส่วน 125 คน โดยหวังว่าจะได้เปรียบคู่ต่อสู้ ในระบบสัดส่วน เพราะเชื่อว่ากระแสของพรรคจะมาแรง หลังจากที่ได้โหมอัดนโยบายประชานิยมอย่างไม่ลืมหูลืมตา
แต่เมื่อมาเจอกระแส “โหวตโน” เข้าไป ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ถึงกับดิ้นพล่านเหมือนหมาถูกสาดน้ำร้อน เพราะคะแนนที่คิดและวางแผนเอาไว้เป็นดิบดีว่าจะได้จาก ส.ส.สัดส่วน ก็จะหายไปเพราะ “โหวตโน” ซึ่งงานนี้จะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะนี่คือผลกรรมที่ตัวเองทำไว้ ในฐานะรัฐบาลที่บริหารประเทศได้ “ห่วยแตก” ที่สุด ชนิดไม่รู้จะสรรหาคำใดมาอธิบาย
“การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รณรงค์ให้ประชาชนโหวตโน จะส่งผลกระทบต่อพรรคประชาธิปัตย์พอสมควร โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพ และคาดว่าทั่วประเทศจะมีคนโหวตโน ประมาณ 1 ล้านคน ยอมรับว่าโอกาสที่พรรคเราจะได้กลับมาจัดตั้งรัฐบาลนั้นต้องเหนื่อยพอสมควร เพราะทุกวันนี้ยังไม่สามารถตอบคำถามประชาชนได้เลยในหลายๆ เรื่องโดยเฉพาะการบริหารประเทศ ยิ่งเราจะขายนโยบายต่างๆ เช่น การแก้ปัญหาภาคใต้ ปัญหาสินค้าแพง หรือชูนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ก็จะถูกย้อนถามกลับมาว่า แล้วที่ทำอยู่นี้มันสำเร็จแล้วหรือ ก็ไม่สามารถตอบคำถามสังคมได้” แหล่งข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็น
ดังนั้น การรณรงค์ “โหวตโน” จึงไม่ได้ทำเพื่อตัดกำลังพรรคประชาธิปัตย์ และไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้พรรคเพื่อไทย (เพราะแม้แต่คนที่เคยเลือกพรรคเพื่อไทยก็อาจหันมา “โหวตโน” ในการเลือกตั้งครั้งนี้) หรือพรรคการเมืองหน้าไหนทั้งสิ้น แต่การโหวตโนทำขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า นักการเมืองและพรรคการเมืองทุกพรรคในเวลานี้ ไม่ได้มีจิตสำนึกของการเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้มีจิตสำนึกในการเป็นตัวแทนของประชาชน พวกเขามีจิตสำนึกเพียงอย่างเดียวคือการทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง เพราะฉะนั้นประชาชนจึงต้อง “โหวตโน” เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการเลือกใครและพรรคไหนทั้งสิ้น !
**ถึงเลือกเรา เขาก็มา !
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยจะปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ต้องบอกว่า เป็นระบอบประชาธิปไตยที่ “ล้มละลาย” เนื่องเพราะหลักการพื้นฐานสำคัญถูกทำลาย บิดเบือนและแปรรูปเปลี่ยนสภาพโดยนักการเมืองและเครือข่ายบริวารของพวกเขา
กล่าวคือทั้ง ส.ส. ที่เลือกตั้งแบบแบ่งเขตพื้นที่ และเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ มิได้เป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง เพราะเป็นการเลือกตั้งที่ใช้ “เงิน” เป็นตัวตัดสิน ใครหรือก๊กใดพรรคใดมีเงินเยอะก็สามารถกวาดต้อน ส.ส. มาเข้าสังกัดตัวเองได้เป็นจำนวนมาก
และระบบดังกล่าวจึงพากันผลิตนักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลที่ฉ้อฉลและไร้ประสิทธิภาพในการบริหารเข้ามากอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าของตัวเองและพวกพ้องกันอย่างไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรม กลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรให้อย่างมหาศาล โดยไม่มีอาชีพอื่นใดในเมืองไทยที่จะรวยเร็วเท่ากับการเป็นนักการเมืองขี้โกงอีกแล้ว ขณะที่ประชาชนคนไทยที่ไปลงคะแนนให้ก็ยังคงหน้าดำคล้ำหมอง มีสภาพชีวิตที่ไม่แตกต่างจากเดิม กระทั่งแย่ลงกว่าเดิมหลายเท่า ! เพราะกลายสภาพเป็น “ทาสในเรือนเบี้ย” ที่ถูกควบคุมโดย “หัวคะแนน” ที่นำเงินมาซื้อเสียงและไปลงคะแนนให้ด้วยสำนึกในเศษเงินที่นักการเมืองโยนมาให้อย่างโงหัวไม่ขึ้น
ด้วยเหตุดังกล่าว การโหวตโน จึงเป็นการแสดงสิทธิของประชาชนที่ปฏิเสธกลุ่มการเมืองในระบบทั้งหมด ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ไม่ยินยอมให้สิทธิตัวเองถูกข่มขืนบังคับให้เลือกพรรคการเมืองหนึ่งเพราะกลัวอีกพรรคการเมืองหนึ่งจะมา ดังเช่นที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ งัดวิชามารออกมาใช้ด้วยการเปิดแคมเปญ “ไม่เลือกเราเขามาแน่” เพื่อหยุดยั้งสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนที่จะไปกากบาทในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน
“ส.ส. ดีๆ หาไม่ได้แล้ว เพราะระบบการเมืองปัจจุบันทำให้คนดีกลายเป็นคนเลว เป็นระบบบริษัทพรรคการเมือง คนลงทุนคือผู้ถือหุ้นจ้าง ส.ส. ลงเลือกตั้ง แล้วเข้ามายกมือให้เขาเป็นนายกฯ ให้นโยบายของเขาผ่าน แต่ไม่ได้ทำหน้าที่นิติบัญญัติเลย นอกจากยกมือให้เจ้าของบริษัท เป็นบริษัทเพื่อไทย บริษัทประชาธิปัตย์ ด้วยเหตุนี้ ส.ส. ถึงจะได้น้ำดีมาจากไหนก็ตาม เมื่อเข้าสู่ระบบ ส.ส. พวกนี้ก็ไม่ดีไปกว่า ‘เรยา’ เผลอๆ เรยา ยังจะดีเสียกว่า”
“สำหรับนายอภิสิทธิ์อีกอย่างที่รู้กันดีก็คือ นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ มา 2 ปีกว่า มีเวลาเพียงพอที่จะสร้างคะแนนนิยมได้ แต่ทำไมคนเสื้อแดงยังนิยมทักษิณ นั่นเป็นเพราะนายอภิสิทธิ์ไม่เคยถามตัวเอง คิดอยู่อย่างเดียวว่า “พันธมิตรฯ” เป็นศัตรูของประชาธิปัตย์ ต้องกำจัดให้ได้ ขณะที่ สกลนคร กลับมีโรงเรียน นปช. มีเงินให้เด็กไปเรียนฟรี และจะโกรธแค้นมากถ้าบอกว่าพวกเขาเผาเมือง เพราะพวกเขาเชื่อว่า ทหารนอกเครื่องแบบที่เป็นพวกนายอภิสิทธิ์เป็นคนเผา คำถามมีอยู่ว่า นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ มา 2 ปี ทำไมจึงปล่อยให้ปัญหาพวกนี้ยังอยู่ ทำไมคนเสื้อแดงจาบจ้วง นายอภิสิทธิ์แก้ไขไม่ได้แม้แต่นิดเดียว วันนี้ กลับมาบอกว่าการโหวตโนคือการช่วยพรรคเพื่อไทย ทั้งที่ปัญหานี้เขาสร้างขึ้นมาเอง เมื่อสักครู่นี้ได้ฟังนายอภิสิทธิ์แถลงยุบสภาแล้วอยากอ้วก บอกว่าทำสุดความสามารถแล้ว ทั้งที่จริงทำงานไม่เป็น !” นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมา
ดังนั้น ถ้าใครมีโอกาสได้ฟังน้ำเสียงนุ่มๆ ของนายอภิสิทธิ์ ที่ทิ้งทวนก่อนสิ้นอายุขัยของรัฐบาลชุดนี้ ผ่านสปอตโฆษณาในฟรีทีวีหลายช่อง ที่บอกว่า “ท่ามกลางภาวะของแพง มีหนทางเดียวที่ประชาชนจะเดินหน้าต่อไปได้ คือ ต้องมีเงินในกระเป๋ามากขึ้น และสิ่งที่ผมจะทำต่อไปนี้ จะทำให้ทุกชีวิตมีเงินใช้ไม่ขาดแคลน... เรามาร่วมมือกันเถอะครับ” เชื่อว่าสิ่งที่หลายคนอยากถามนายอภิสิทธิ์กลับไปทันทีหลังจากที่ดูสปอตโฆษณาชุดนี้ก็คือ “ก่อนหน้านี้เป็นรัฐบาลอยู่นานนม ทำไมไม่ทำ” !!
สุดท้าย ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร อย่างน้อยที่สุด การที่ประชาชนออกไปใช้สิทธิ “โหวตโน” ก็คือการไม่ยินยอมให้สิทธิของตัวเองเป็นเครื่องมือให้คนที่เลือกเข้าไปนั้นสนับสนุนยกมือกลุ่มการเมืองของตัวเองโดยไม่สนใจผิดชอบชั่วดี เป็นการแสดงสิทธิ์ส่วนตัวเพื่อไม่ให้เป็นตราบาปให้กับตัวเองว่าเลือกคนชั่วมาครองเมืองและทำร้ายประเทศชาติ หรือเลือกคนที่คิดว่าดีแต่กลับยกมือสนับสนุนโจรให้โกงบ้านกินเมืองหรือขายชาติขายแผ่นดิน ถือเป็นการสั่งสอนนักการเมืองโดยสิทธิของประชาชนอย่างมีการจัดการ
ทั้งนี้ หากประชาชนมีนัดหมายไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งแล้วกากบาทในช่อง “ไม่ประสงค์ลงคะแนน” และหากมีผู้ใช้สิทธิ์ไม่เลือกใครรวมกับผู้ที่ไม่ไปใช้สิทธิ์เกินกว่าครึ่งหนึ่ง จะมีความหมายว่าการเมืองในระบบทั้งหมดเป็นเพียงเสียงข้างน้อยของคนในประเทศนี้ และความชอบธรรมของนักการเมืองในการปกครองประเทศลดลง และความชอบธรรมในการปฏิรูปประเทศย่อมสูงขึ้น และแผ่นดินอาจสูงขึ้น !
เพราะถ้าประชาชนมีตัวเลือกแค่ “ประชาธิปัตย์” กับ “เพื่อไทย” ก็ไม่ต่างกับให้เลือกกินระหว่าง “อุจจาระ” กับ “อ้วก” ถ้าตัวเลือกอุบาทว์อย่างนี้ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือ “VOTE NO” เท่านั้น !!!