xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

กระแส “โหวตโน” พุ่ง ปชป.กระอัก-พรรคระส่ำ ส.ส.หลอนกลัวสอบตก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แรกเริ่มเดิมทีหลังจากที่ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ได้รณรงค์เดินสายไปทั่วประเทศ เรื่องการ “โหวตโน” หลายฝ่ายมองว่ากระแสโหวตโนคงจะถูกกลืนกินไปกับกระแสข่าวยุบสภาและไม่คิดว่าแนวคิดนี้จะมีความเป็นไปได้ ประชาชนทั่วไปก็คงไม่เอาด้วย

เรียกได้ว่าอาจถูกพับเก็บตั้งแต่การเลือกตั้งยังไม่เริ่มอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ

ซ้ำร้ายประเด็นโหวตโน ยังถูกฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ ค่อนแคะมาตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยบอกว่า "ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ เพียงแต่อย่าไปขัดขวางคนอื่น และอย่าไปทำผิดกฎหมาย หรือไปละเมิดสิทธิคนอื่น ส่วนตัวเชื่อว่าพลังประชาชนยิ่งใหญ่กว่าพลังอื่นๆ ทั้งหมด"

หรือจะเป็นล่าสุดจาก “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ที่พูดในรายการ“เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” ในครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ว่า “โอกาสที่ประชาชนจะกาช่องนี้แล้วมีผลทางกฎหมายน้อยมาก แต่เป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์ที่ชี้ให้เห็นว่าประชาชนไม่พอใจพรรคการเมือง แต่ก็เป็นสิทธิ อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนชั่งใจว่าระหว่างการเลือกพรรคที่ดีที่สุดหรือเลวน้อยที่สุด อะไรมีความสำคัญมากกว่ากัน ส่วนตัวรู้สึกเสียดายเพราะคะแนนจะหายไปเฉยๆ เป็นการเสียโอกาส ไม่ได้ทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด”

ทั้งนี้ อาการของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ หากพิจารณาให้ดีก็จะมองออกว่าบรรดาพรรคประชาธิปัตย์ หวาดกลัวต่อกระแสโหวตโนเพียงใด ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ให้สัมภาษณ์ลักษณะชี้นำชักแม่น้ำทั้งห้า เพื่อเบรกไม่ให้ประชาชนทั่วไปเข้าคูหากากบาทไม่เลือกใคร ตามกระแสโหวตโนซึ่งบรรดาพรรคประชาธิปัตย์ก็ย่อมรู้ดีว่า ชะตากรรมของพวกเขาจะเป็นเช่นใดหากกระแสโหวตโนถูกจุดติด

ก่อนหน้านี้ก็ยังเคยแสดงวิชามารตามสไตล์พรรคประชาธิปัตย์ ด้วยการสั่งให้สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ นำเสนอรายการเพื่อคัดค้านการรณรงค์ให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งลงคะแนนในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนหรือโหวตโน เพื่อต่อต้านกระแสโหวตโน เพื่อกลบพฤติกรรมอันห่วยแตกทั้งหลายของตัวเอง

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การณ์กลับเป็นว่าไปมาๆ กระแสโหวตโน ก็เริ่มถูกจุดติดขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดเจนจากผลแสดงความคิดเห็น “หน้าเว็บไซต์ของ MSN ประเทศไทย (th.msn.com)” ผู้ให้บริการ HOTMAIL อีเมลที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก ได้ทำแบบสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในหัวข้อ “ถ้าเลือกตั้งวันนี้คุณจะเลือกพรรคใด” โดยจากผลการสำรวจล่าสุดเมื่อเวลา 06.38 น.ของวันที่ 3 พฤษภาคม จำนวนผู้ร่วมโหวตจากทั้งหมด 55,528 คน มีผู้ร่วมโหวตแสดงพลังไม่เลือกใคร ในช่อง “โหวตโน” ทั้งหมด 28,919 คน พุ่งมาอยู่ที่ 53% อันดับ 2 เลือกพรรคเพื่อไทย ลดลงมาอยู่ที่ 27% รวม 14,916 คน ส่วนคนที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์มีทั้งสิ้น 10,364 คน อยู่ที่ 19%

โดยช่อง “โหวตโน” นั้นได้แซงขึ้นเป็นอันดับ 1 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม และเพิ่มระยะห่างมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งทะลุเกินครึ่งไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา

ต้องบอกว่าผลสำรวจดังกล่าว เป็นแค่ออกมาเพียงเบื้องต้น ก็ทำเอาส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ออกอาการหมูโดนน้ำร้อน เพราะเกิดปรากฎการณ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ หนีตาย ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับท้ายๆ ซึ่งขณะนี้ได้กลายเป็นประเด็นความขัดแย้งภายใน ถึงแม้ผู้ใหญ่ในพรรคหลายคนอาจมองว่าเป็นประเด็นที่เคลียร์กันได้ แต่ก็เชื่อได้ว่าจะเกิดแรงกระเพื่อมในพรรคอีกหลายยกทีเดียวกว่าจะเคาะตัวผู้สมัครส.ส.เสร็จสิ้น

เริ่มตั้งแต่ “นายวัชระ เพชรทอง” ส.ส.กทม. ที่ออกมาแถลงข่าววิจารณ์การจัดตัวผู้สมัครไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง แถมยังทิ้งระเบิดลูกใหญ่ อย่างเช่น ปูดว่ามีการนำลูกหลานคนรวยมาลงเลือกตั้ง

กรณีของนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม. เป็นเพียงกรณีหนึ่งที่ถูกอิทธิพลคนในพรรค เพราะถูก “นายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์” บุตรบุญธรรมของนายสุเทพ เทือกสุบรรณเลขาธิการพรรค เบียดหลุดโผทั้งๆ ที่เป็น ส.ส.เก่า ต้องถูกโยนไปลงปาร์ตี้ลิสต์ที่ไม่รู้อนาคตว่าจะได้เป็น ส.ส.หรือไม่

ขณะที่บางพื้นที่ยังคงมีปัญหาแย่งกันลงเลือกตั้งเช่น เขต 2 โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เลือก ม.ล.อภิมงคล โสณกุล แทนนางอรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ เจ้าของพื้นที่เดิม พื้นที่เขต 11 ยังมีปัญหาระหว่างนายบุญยอด สุขถิ่นไทยกับนายสกลธี ภัททิยะกุล เนื่องจากนายบุญยอดได้ทำพื้นที่ไปแล้ว แต่นายสกลธีต้องการลงแทน เพราะเขตเดิมถูกนายธนา ธีรวนิช ยึดไปแล้ว ส่วนเขต 13 ยังคงแย่งกันระหว่าง นายก้องศักดิ์ ยอดมณีกับนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ และเขต 30 เป็นปัญหาระหว่างนายโกวิทย์ ธารณา กับนางอรอนงค์ คล้ายนก ที่ต่างเป็น ส.ส.ในเขตแต่มีการลดจำนวนเหลือที่นั่งเดียวขณะที่นายสุเทพสนับสนุนให้นางอรอนงค์ลงเลือกตั้ง แต่นายบัญญัติ อยากให้นายโกวิทย์ลงเพราะแก่พรรษากว่า

ไม่เว้นแม่แต่ ส.ส.เก่าแก่ของพรรคอย่าง นายนาราชา สุวิทย์ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ยังได้ทำหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งแกนนำของพรรคและสมาชิกพรรคทุกคน โดยชี้แจงถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าพรรคมีมติจะไม่ส่งลงเลือกตั้ง สาระสำคัญของหนังสือดังกล่าวระบุว่า หากมติพรรคเป็นอย่างนั้นจริงก็ยอมรับผล และยังคงทำงานให้พรรคต่อไปอีก เพราะตระกูลของตนอยู่กับพรรคมาเป็นเวลานานถึง 20 ปี

เรียกว่าวุ่นวายชุลมุน ไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ที่เจอกระแสโหวตโนของพันธมิตรฯ จนพรรคเกิดอาการกระเพื่อมหลายระลอก

อีกทั้งว่ากันว่าประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้น เกิดจากมีการวิเคราะห์กันในพรรคประชาธิปัตย์ ถึงเรื่องการลงเขต และระบบบัญชีรายชื่อ ในพรรควิเคราะห์กันว่า ส.ส.ระบบเขต ประชาชนอาจจะไปลงคะแนน เพื่อเลือกตัวบุคคลที่มีความผูกพัน อุปถัมภ์กันมา หรือไม่ก็เป็นเครือญาติแต่จะ"โหวตโน" ในบัตรเลือกตั้ง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ เพราะถือว่าเป็นการเลือกพรรค

ซึ่งอย่าได้แปลกใจหาก ส.ส.ระบบเขต ของพรรคประชาธิปัตย์หลายคนออกมาโวยวาย เมื่อมีกระแสข่าวว่าตัวเองจะถูกจับให้ไปอยู่ในระบบบัญชีรายชื่อส่วนท้าย เพราะสำหรับบัญชีรายชื่อลำดับต้นๆ แน่นอนว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็คงต้องเก็บไว้ให้บรรดานายทุนของพรรค จึงอย่าได้แปลกใจที่พวกที่รู้ว่าตัวเองจะต้องลงเป็นบัญชีรายชื่อท้ายๆ ก็คือมีสิทธิ์สอบตกได้ทุกเมื่อ

ยิ่งมีการวิเคราะห์จากคนในพรรคประชาธิปัตย์เองว่า เมื่อกระแส "โหวตโน" แรงอย่างนี้ โอกาสที่พรรคจะได้ ส.ส.ระบบสัดส่วน น่าจะไม่เกิน 45 คน เมื่อรวมกับ ส.ส.เขตแล้ว ก็น่าจะอยู่ประมาณ 150-160 ที่นั่งเท่านั้น ไม่ใช่ 200 ที่นั่งขึ้นไป ก็อาจจะทำให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ออกมาประกาศกร้าวว่าจะได้ส.ส.270 คน ต้องฝันค้างอย่างแน่นอน

ซ้ำร้ายพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังต้องมาติดกับดักตัวเองเพราะอุตส่าห์ออกแบบการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนแปลงสัดส่วน ส.ส.จากเดิมที่มี ส.ส.เขต 400 คน ส.ส.สัดส่วน100 คน มาเป็น ส.ส.เขต 375 คน ส.ส.สัดส่วน 125 คนหวังว่าจะได้เปรียบคู่ต่อสู้ ในระบบสัดส่วน เพราะเชื่อว่ากระแสของพรรคจะมาแรง หลังจากที่ได้โหมอัดนโยบายประชานิยมเข้าไป

แต่เมื่อมาเจอกระแส “โหวตโน” เข้าไป ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ถึงกับดิ้นพล่าน เหมือนถูกสาดด้วยน้ำร้อน คงต้องบอกว่าคงจะโทษสิ่งอื่นใดไม่ได้ ที่ทำให้กระแสไม่เอานักการเมืองแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ นอกเสียจากผลกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐบาลที่บริหารประเทศได้ห่วยแตก ชนิดไม่รู้จะหาคำใดมาเปรียบเปรย ขณะเดียวกันยังเป็นตัวชี้วัดได้อีกว่าประชาชนเริ่มจะตาสว่างกับภาพดีแต่พูด ของนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตลอดเวลามาก็พิสูจน์ชัดในตัวเองอยู่แล้ว

“การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รณรงค์ให้ประชาชนโหวตโน จะส่งผลกระทบต่อพรรคประชาธิปัตย์พอสมควร โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพ และคาดว่าทั่วประเทศจะมีคนโหวตโน ประมาณ 1 ล้านคน ยอมรับว่าโอกาสที่พรรคเราจะได้กลับมาจัดตั้งรัฐบาลนั้นต้องเหนื่อยพอสมควร เพราะทุกวันนี้ยังไม่สามารถตอบคำถามประชาชนได้เลยในหลายๆ เรื่องโดยเฉพาะการบริหารประเทศ ยิ่งเราจะขายนโยบายต่างๆ เช่น การแก้ปัญหาภาคใต้ ปัญหาสินค้าแพง หรือชูนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ก็จะถูกย้อนถามกลับมาว่าแล้วที่ทำอยู่นี้มันสำเร็จแล้วหรือ ก็ไม่สามารถตอบคำถามสังคมได้” แหล่งข่าวของประชาธิปัตย์ ระบุ

อย่างไรก็ดี กล่าวสำหรับผลโหวตโนในเว็บต์ msn ตอนแรกที่เริ่มโหวตคะแนนยังห่างคะแนนโหวตพรรคการเมือง ทั้งพรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ไม่กี่ชั่วโมง กระแสก็เริ่มไต่ขึ้นมา จนกระทั่งไม่เลือกใคร สูงขึ้นจนเกินร้อยละห้าสิบอย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญถ้าผลโพลผ่านอินเทอร์เน็ตของ MSN แม่นยำ ก็จะเป็นการสะท้อนแนวคิด มุมมองของประชาชนเป็นวงกว้างที่บอกเป็นนัยว่า เริ่มเกิดอาการเบื่อหน่ายอย่างจริงๆ จังๆ กับพฤติกรรมน่าเอือมระอาของบรรดาส.ส. ไล่เรียงพิจารณาหน้าตา และปูมหลังของนักการเมือง และพรรคการเมืองที่เสนอหน้าเข้ามาล้วนแล้วแต่ชวนให้สะอิดสะเอียนจริงๆ

มาถึงขณะนี้ก็เรียกได้ว่าหลอนไปตามๆ กัน สำหรับนักกินเมือง โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่เคยเห็นประชาชนอยู่ในสายตา เมื่อยามมีอำนาจด้วยการอาศัยเสียงของประชาชนที่เลือกเข้าไป เพราะถ้าในการเลือกตั้งจริงที่จะเกิดขึ้นจากนี้แล้วมีประชาชนไปกาในช่อง“ไม่เลือกใคร” สูงมากกว่าคะแนนเลือกพรรคการเมือง มันก็ย่อมทำให้พรรคการเมืองทั้งหมดขาดความชอบธรรม ไม่สมควร “หน้าด้าน” เข้ามาใช้อำนาจรัฐอีกต่อไป พวกนักกินเมืองยี่ห้อเดิมๆ ทั้งหลาย ที่ลุแก่อำนาจ ทำอะไรไม่เคยเห็นหัวประชาชนเลยแม้แต่น้อยก็คงจะอ้างไม่ได้เต็มปากว่า คนส่วนใหญ่เลือกพวกเขาเข้าไปทำงาน

ขณะเดียวกัน ถ้าโหวตโนเกินครึ่งของภาคประชาชน ก็จะมีความชอบธรรมที่จะทำได้หลายอย่าง เช่นเคลื่อนไหวชุมนุมกดดันรัฐบาล อารยะขัดขืนไม่ฟังคำสั่งรัฐบาล อย่างชอบธรรมมากขึ้น เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาก็เห็นชัดว่าพวกนักการเมืองทั้งหลายแหล ไม่เคยเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่วนมาร่วมกันวางกติกาของบ้านเมืองจะเห็นก็แต่วางกติกาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพรรคพวกฝ่ายเดียว ซึ่งการโหวตโนจะเป็นจุดเริ่มต้นของภาคประชาชนที่ส่งสัญญาณไปถึงนักการเมืองทั้งหลายได้เป็นอย่างดี

ที่สำคัญ หากกระแสโหวตโนยังคงแรงขึ้นเรื่อยๆ นับจากนี้ไปจะเป็นสิ่งสะท้อนชั้นดีของประชาชนที่เหมือนประกาศว่าจะไม่ยอมอยู่ใต้เงามืดของนักการเมือง ที่เป็นต้นตอที่ทำให้เกิดวิกฤตต่างๆ นานา ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่เคยทำสิ่งอื่นใดให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติเลยแม้แต่น้อย
กำลังโหลดความคิดเห็น