“ผมเห็นเป็นข้อแรกแล้วว่า ปัจจุบันขั้นตอนของวิกฤตศรัทธาได้ก่อตัวขึ้นสมบูรณ์แล้ว ระบบผู้แทนปัจจุบันตกต่ำและแตกแยกจนหมดความน่าเชื่อถือโดยสิ้นเชิง สับสนจนลงตัวกลายมาเป็นรัฐบาลผสมสูตรตะกวดเกาะแมวตาบอด”
ที่ผมยกตัวอย่างข้างบนนั้น เป็นคำพูดของแก้วสรร อติโพธิ บุตรชายของอดีตข้าราชการตงฉิน อดีตนักวิชาการผู้หันมารับใช้ชัชวาลย์ คงอุดม หรือชัช เตาปูน ผู้กว้างขวางในบ่อนย่านบางซื่อ เขาเคยกล่าวนัยนี้ไว้ในการวิเคราะห์การเติบโตของมวลชนเสื้อแดงก่อนจะเกิดเหตุการณ์นองเลือด เมื่อต้นเดือนเมษายน 2552
เมื่อไม่นานมานี้แก้วสรรได้เขียนบทความเรื่อง “โหวต โน! : โน…อะไร” ผมไม่รู้ว่า แก้วสรรเขียนในหนังสือพิมพ์สยามรัฐของชัช เตาปูนด้วยหรือไม่ แต่ผมพบบทความนี้ปรากฏในหนังสือพิมพ์ของเปลว สีเงิน เจ้าของหนังสือพิมพ์ผู้รักและเอ็นดูอภิสิทธิ์ แต่ชื่นชอบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ออกมาไล่ทักษิณ และชิงชังพันธมิตรฯ ที่ออกมาไล่มาร์ค ซึ่งฟังแล้วเน่ากว่าละครดอกส้มสีทองและบทแพศยาของเรยา
แก้วสรร ใช้แนวทางถามตอบตามถนัด เพราะเขาเป็นนักกฎหมาย เขาสามารถพลิกแพลงคำถามตอบให้กับเป้าหมายของตัวเอง เหมือนการเล่นแง่มุมกฎหมาย เปลี่ยนคำถามให้เข้ากับคำตอบ ไม่ใช่ตอบคำตอบให้ตรงกับคำถาม แต่ถ้าเราอ่านให้ดีๆ คำถามนั่นแหละคือคำตอบหรือความคิดในใจเขา ส่วนคำตอบคือความหมายของเราไม่ใช่คำตอบของแก้วสรร
เช่น เขาถามว่า ถ้าคิดอย่างนี้ ทำไมไม่โน โหวต คือ นอนอยู่กับบ้านไปเลย มารณรงค์ให้ออกมาโน โหวตกันทำไม ในบทความของเขาตอบว่า “เขา” บอกว่านี่คือ การเมืองภาคประชาชน จะปรากฏบนท้องถนนหรือหีบลงคะแนนก็ได้ คราวนี้คือ การขอประชามติระหว่างประชาชนด้วยกันเองว่าควรปฏิเสธระบบเฮงซวยนี้หรือไม่ เอาให้ได้เป็นล้านเสียงขึ้นไปเลย
จากการถามตอบนี้ มันก็เป็นคำตอบอยู่ในตัวอยู่แล้วว่า ความคิดของแก้วสรร คือ ถ้าโหวต โนนั้น สู้นอนอยู่บ้านคือโน โหวตดีกว่าไปโหวต โน และคำถามต่อมาก็ตีความได้ว่า แก้วสรรมีความเห็นว่า คะแนนเสียงโหวต โนจะเป็นคะแนนที่ทิ้งน้ำไปเปล่าไม่มีประโยชน์อะไร ขณะเดียวกันแก้วสรรไปตีความว่าพวกเสื้อเหลืองนั้นออกมาชุมนุมเพื่อให้เกิดการรัฐประหารขึ้นมา
ผมไม่อยากจะเถียงข้อนี้ เพราะความจริงมันจะพิสูจน์ในตัวมันเอง แก้วสรรออกมาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ เพื่อไล่ทักษิณก่อนเกิดการรัฐประหาร แล้วคิดไหมว่าตัวเองออกมาร่วมชุมนุมเพื่อป่วนให้สุกงอมจนเกิดรัฐประหาร ผมคิดว่า แก้วสรรอาจจะมีความคิดอยู่ในหัว เพราะเมื่อเกิดรัฐประหารแล้วตัวเองก็ได้รับตำแหน่งสำคัญจากคณะรัฐประหาร
แต่งานที่แก้วสรรทำก็ล้มเหลว เพราะเคยใช้แต่ทฤษฎีในห้องเรียนไม่เคยออกมาปฏิบัติจริง
และถ้าเราติดตามข่าวสารในช่วงนั้นจะเห็นว่า ตัวขัดขวางกระบวนการทำงานของคตส.คณะทำงานที่ตั้งขึ้นโดยรัฐประหาร เป็นจระเข้ขวางคลองในทุกเรื่องนั้นคือใคร
แต่นั่นก็ช่างเถอะ ผมกำลังคิดว่า อะไรทำให้นักกฎหมาย อดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ จึงมีความคิดคับแคบตื้นเขินเหมือนน้ำเจิ่งขังริมถนนหลังฝนตกเช่นนั้น ทั้งที่เขาเองก็เชื่อว่า ระบบการเมืองปัจจุบันนั้นวิกฤตศรัทธาได้ก่อตัวขึ้นสมบูรณ์แล้ว
แต่คำตอบที่แก้วสรรชี้ให้ประชาชนในท่ามกลางวิกฤตศรัทธาก็คือ เขาบอกว่า น่าจะเลือกพรรคหรือผู้สมัครที่พอทนได้ ดูเหมือนว่า คำตอบของเขาจะคล้ายๆ กับเพื่อนคู่หูที่ชื่อเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ที่กำลังรับบทเรยายอมพลีร่างเพื่อมัดใจชายชื่อ ก้องเกียรติ (ที่รับบทโดยมาร์ค) ให้ได้ แล้วบอกว่าให้เลือกคนที่เลวน้อยที่สุด
ซึ่งต้องถามต่อไปว่า ประชาชนมีทางเลือกแค่คนที่เลวน้อยที่สุดจริงๆ หรือ
อาจจะรู้น้อยหรือกระไรก็ตาม บอกตรงๆ ว่า ผมอ่านความคิดของแก้วสรรแล้วสับสน เขาบอกว่า การก่อตัวการเมืองภาคประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ควรรักษาเส้นแบ่งแยกจากการเมืองในระบบไว้อย่าเล่นสองหน้าสองตัวติดกันเหมือนพวกแดง ดูเหมือนว่า เขาไม่เห็นด้วยกับการก่อเกิดของพรรคการเมืองภายใต้พันธมิตรฯ ซึ่งความเห็นนี้เป็นจุดร่วมเดียวกับผม แต่ถามว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมเขาแกล้งไม่เห็นว่า การรณรงค์โหวต โนของพันธมิตรฯ ด้วยการปฏิเสธแม้กระทั่งพรรคการเมืองใหม่นั่นคือ การปฏิเสธระบบการเมืองที่เกิดวิกฤตศรัทธา ว่านี่เป็นการแบ่งเส้นการเมืองภาคประชาชนกับพรรคการเมืองแม้ว่าภาคประชาชนจะก่อตั้งพรรคการเมืองนั้นด้วยตัวเอง
ความคิดข้อนี้ของแก้วสรรจึงสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก เป็นวัวพันหลักจนจมูกไปเกยกับหลักแล้วร้องมอๆๆ
ที่ตลกมากคือ แก้วสรรทำตัวเป็นรังเกียจการเมืองภาคประชาชนบนท้องถนน เหมือนเจิมศักดิ์ เหมือนแม่ยก ปชป.ที่บอกว่า เราปิดถนนสร้างความเดือดร้อน แม้แก้วสรรจะไม่ได้พูดคำนี้ออกมา แต่ก็มีนัยของการหมิ่นการเมืองบนท้องถนนอยู่ในนั้น ผมถามว่า การเมืองบนท้องถนนจะถูกต้องเฉพาะตอนที่แก้วสรรเข้าร่วมและขับไล่คนที่แก้วสรรเกลียดเท่านั้นหรือ
แก้วสรรถามว่า ทำไมพันธมิตรฯ ไม่ย้ายความเกลียดชังด้วยการสร้างการเมืองภาคประชาชนโดยการสร้างศูนย์ข้อมูลขึ้นมา และให้ข้อมูลเหล่านั้นระเบิดออกมาจนสภาและกรรมาธิการตามไม่ทัน ผมถามแก้วสรร ว่า สิ่งที่แก้วสรรพูดนั้นเกิดขึ้นแล้ว จากการทำงานอย่างหนักของพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมอยู่บนท้องถนนในกรณีชายแดนเขมรไม่ใช่หรือ แล้วแก้วสรรทำอะไรในกรณีนี้บ้าง
ผมเห็นด้วยกับแก้วสรรนะครับว่า คนเลววันนี้อาจดูดีมากๆ มาก่อนก็ได้ ส่วนคนดีวันนี้วันหน้าอาจดูเลวมากๆ ก็ได้เช่นกัน อย่างน้อยผมก็เห็นตัวอย่างจากคนชื่อแก้วสรร อติโพธิคนหนึ่ง
ผมไม่รู้ว่าแก้วสรรเหน็บแหนมการเมืองภาคประชาชนว่าเป็นการเมืองที่เป็นเผด็จการนั้นหมายถึงใคร แก้วสรรน่าจะมีคำตอบนี้ดีในวันที่มาร่วมขบวนการกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า ขบวนการพันธมิตรฯ นั้นบริหารองค์กรในรูปแบบประชาธิปไตยหรือรูปแบบของนักเลงนายบ่อน
การเปรียบเปรยว่า พันธมิตรฯ เป็นหมาที่กัดดะไปทั่วนั้น มันสะท้อนจิตใต้สำนึกของแก้วสรรดีว่า ตัวเองนั้นเป็นคนปากหมาแค่ไหน แต่อย่างน้อยคนที่อยู่ใกล้ตัวแก้วสรรก็รู้จักคุณสมบัติข้อนี้ดีทุกคน ส่วนจะเป็นสายพันธุ์ไหนนั้น ผมไม่ทราบ เพราะอาจารย์เทพมนตรี ลิมปพยอมเปรียบอาจารย์แก้วสรรว่าเป็นหมาจรจัด ซึ่งธรรมชาติแล้วมันไม่รู้สายพันธุ์ของมันยกเว้นสายพันธุ์จากตัวแม่ที่ให้กำเนิด (อันนี้ผมพูดเรื่องธรรมชาติของหมาจรจัดล้วนๆ ให้แก้วสรรไปตีความเอาเอง)
ตอนนี้วาทกรรมของนักวิชาการสายพันธุ์ที่รุมกัดพันธมิตรฯ มีท่วงทำนองว่า พันธมิตรฯ ไม่รับฟังเสียงวิจารณ์ ใครมาวิจารณ์ก็ถูกโต้กลับทันที ผมก็เลยสงสัยว่าใครกันแน่ที่ไม่รับฟัง ถ้าคุณวิจารณ์พันธมิตรฯ ได้แล้วทำไมพันธมิตรฯ จะตอบโต้กลับไม่ได้ หรือว่าพวกคุณคือเผด็จการที่จะแสดงความคิดเห็นเพียงฝ่ายเดียว
ส่วนกรณีที่เหน็บแหนมพวกเราคือเหลืองสำลอง (สนธิ+จำลอง) นั้น ผมไม่รู้เหมือนกันว่า แล้วขบวนการข้างบ่อน (แก้วสรร+ชัช) นั้น จะเรียกว่า แก้ว…อะไรดี
ที่ผมยกตัวอย่างข้างบนนั้น เป็นคำพูดของแก้วสรร อติโพธิ บุตรชายของอดีตข้าราชการตงฉิน อดีตนักวิชาการผู้หันมารับใช้ชัชวาลย์ คงอุดม หรือชัช เตาปูน ผู้กว้างขวางในบ่อนย่านบางซื่อ เขาเคยกล่าวนัยนี้ไว้ในการวิเคราะห์การเติบโตของมวลชนเสื้อแดงก่อนจะเกิดเหตุการณ์นองเลือด เมื่อต้นเดือนเมษายน 2552
เมื่อไม่นานมานี้แก้วสรรได้เขียนบทความเรื่อง “โหวต โน! : โน…อะไร” ผมไม่รู้ว่า แก้วสรรเขียนในหนังสือพิมพ์สยามรัฐของชัช เตาปูนด้วยหรือไม่ แต่ผมพบบทความนี้ปรากฏในหนังสือพิมพ์ของเปลว สีเงิน เจ้าของหนังสือพิมพ์ผู้รักและเอ็นดูอภิสิทธิ์ แต่ชื่นชอบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ออกมาไล่ทักษิณ และชิงชังพันธมิตรฯ ที่ออกมาไล่มาร์ค ซึ่งฟังแล้วเน่ากว่าละครดอกส้มสีทองและบทแพศยาของเรยา
แก้วสรร ใช้แนวทางถามตอบตามถนัด เพราะเขาเป็นนักกฎหมาย เขาสามารถพลิกแพลงคำถามตอบให้กับเป้าหมายของตัวเอง เหมือนการเล่นแง่มุมกฎหมาย เปลี่ยนคำถามให้เข้ากับคำตอบ ไม่ใช่ตอบคำตอบให้ตรงกับคำถาม แต่ถ้าเราอ่านให้ดีๆ คำถามนั่นแหละคือคำตอบหรือความคิดในใจเขา ส่วนคำตอบคือความหมายของเราไม่ใช่คำตอบของแก้วสรร
เช่น เขาถามว่า ถ้าคิดอย่างนี้ ทำไมไม่โน โหวต คือ นอนอยู่กับบ้านไปเลย มารณรงค์ให้ออกมาโน โหวตกันทำไม ในบทความของเขาตอบว่า “เขา” บอกว่านี่คือ การเมืองภาคประชาชน จะปรากฏบนท้องถนนหรือหีบลงคะแนนก็ได้ คราวนี้คือ การขอประชามติระหว่างประชาชนด้วยกันเองว่าควรปฏิเสธระบบเฮงซวยนี้หรือไม่ เอาให้ได้เป็นล้านเสียงขึ้นไปเลย
จากการถามตอบนี้ มันก็เป็นคำตอบอยู่ในตัวอยู่แล้วว่า ความคิดของแก้วสรร คือ ถ้าโหวต โนนั้น สู้นอนอยู่บ้านคือโน โหวตดีกว่าไปโหวต โน และคำถามต่อมาก็ตีความได้ว่า แก้วสรรมีความเห็นว่า คะแนนเสียงโหวต โนจะเป็นคะแนนที่ทิ้งน้ำไปเปล่าไม่มีประโยชน์อะไร ขณะเดียวกันแก้วสรรไปตีความว่าพวกเสื้อเหลืองนั้นออกมาชุมนุมเพื่อให้เกิดการรัฐประหารขึ้นมา
ผมไม่อยากจะเถียงข้อนี้ เพราะความจริงมันจะพิสูจน์ในตัวมันเอง แก้วสรรออกมาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ เพื่อไล่ทักษิณก่อนเกิดการรัฐประหาร แล้วคิดไหมว่าตัวเองออกมาร่วมชุมนุมเพื่อป่วนให้สุกงอมจนเกิดรัฐประหาร ผมคิดว่า แก้วสรรอาจจะมีความคิดอยู่ในหัว เพราะเมื่อเกิดรัฐประหารแล้วตัวเองก็ได้รับตำแหน่งสำคัญจากคณะรัฐประหาร
แต่งานที่แก้วสรรทำก็ล้มเหลว เพราะเคยใช้แต่ทฤษฎีในห้องเรียนไม่เคยออกมาปฏิบัติจริง
และถ้าเราติดตามข่าวสารในช่วงนั้นจะเห็นว่า ตัวขัดขวางกระบวนการทำงานของคตส.คณะทำงานที่ตั้งขึ้นโดยรัฐประหาร เป็นจระเข้ขวางคลองในทุกเรื่องนั้นคือใคร
แต่นั่นก็ช่างเถอะ ผมกำลังคิดว่า อะไรทำให้นักกฎหมาย อดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ จึงมีความคิดคับแคบตื้นเขินเหมือนน้ำเจิ่งขังริมถนนหลังฝนตกเช่นนั้น ทั้งที่เขาเองก็เชื่อว่า ระบบการเมืองปัจจุบันนั้นวิกฤตศรัทธาได้ก่อตัวขึ้นสมบูรณ์แล้ว
แต่คำตอบที่แก้วสรรชี้ให้ประชาชนในท่ามกลางวิกฤตศรัทธาก็คือ เขาบอกว่า น่าจะเลือกพรรคหรือผู้สมัครที่พอทนได้ ดูเหมือนว่า คำตอบของเขาจะคล้ายๆ กับเพื่อนคู่หูที่ชื่อเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ที่กำลังรับบทเรยายอมพลีร่างเพื่อมัดใจชายชื่อ ก้องเกียรติ (ที่รับบทโดยมาร์ค) ให้ได้ แล้วบอกว่าให้เลือกคนที่เลวน้อยที่สุด
ซึ่งต้องถามต่อไปว่า ประชาชนมีทางเลือกแค่คนที่เลวน้อยที่สุดจริงๆ หรือ
อาจจะรู้น้อยหรือกระไรก็ตาม บอกตรงๆ ว่า ผมอ่านความคิดของแก้วสรรแล้วสับสน เขาบอกว่า การก่อตัวการเมืองภาคประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ควรรักษาเส้นแบ่งแยกจากการเมืองในระบบไว้อย่าเล่นสองหน้าสองตัวติดกันเหมือนพวกแดง ดูเหมือนว่า เขาไม่เห็นด้วยกับการก่อเกิดของพรรคการเมืองภายใต้พันธมิตรฯ ซึ่งความเห็นนี้เป็นจุดร่วมเดียวกับผม แต่ถามว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมเขาแกล้งไม่เห็นว่า การรณรงค์โหวต โนของพันธมิตรฯ ด้วยการปฏิเสธแม้กระทั่งพรรคการเมืองใหม่นั่นคือ การปฏิเสธระบบการเมืองที่เกิดวิกฤตศรัทธา ว่านี่เป็นการแบ่งเส้นการเมืองภาคประชาชนกับพรรคการเมืองแม้ว่าภาคประชาชนจะก่อตั้งพรรคการเมืองนั้นด้วยตัวเอง
ความคิดข้อนี้ของแก้วสรรจึงสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก เป็นวัวพันหลักจนจมูกไปเกยกับหลักแล้วร้องมอๆๆ
ที่ตลกมากคือ แก้วสรรทำตัวเป็นรังเกียจการเมืองภาคประชาชนบนท้องถนน เหมือนเจิมศักดิ์ เหมือนแม่ยก ปชป.ที่บอกว่า เราปิดถนนสร้างความเดือดร้อน แม้แก้วสรรจะไม่ได้พูดคำนี้ออกมา แต่ก็มีนัยของการหมิ่นการเมืองบนท้องถนนอยู่ในนั้น ผมถามว่า การเมืองบนท้องถนนจะถูกต้องเฉพาะตอนที่แก้วสรรเข้าร่วมและขับไล่คนที่แก้วสรรเกลียดเท่านั้นหรือ
แก้วสรรถามว่า ทำไมพันธมิตรฯ ไม่ย้ายความเกลียดชังด้วยการสร้างการเมืองภาคประชาชนโดยการสร้างศูนย์ข้อมูลขึ้นมา และให้ข้อมูลเหล่านั้นระเบิดออกมาจนสภาและกรรมาธิการตามไม่ทัน ผมถามแก้วสรร ว่า สิ่งที่แก้วสรรพูดนั้นเกิดขึ้นแล้ว จากการทำงานอย่างหนักของพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมอยู่บนท้องถนนในกรณีชายแดนเขมรไม่ใช่หรือ แล้วแก้วสรรทำอะไรในกรณีนี้บ้าง
ผมเห็นด้วยกับแก้วสรรนะครับว่า คนเลววันนี้อาจดูดีมากๆ มาก่อนก็ได้ ส่วนคนดีวันนี้วันหน้าอาจดูเลวมากๆ ก็ได้เช่นกัน อย่างน้อยผมก็เห็นตัวอย่างจากคนชื่อแก้วสรร อติโพธิคนหนึ่ง
ผมไม่รู้ว่าแก้วสรรเหน็บแหนมการเมืองภาคประชาชนว่าเป็นการเมืองที่เป็นเผด็จการนั้นหมายถึงใคร แก้วสรรน่าจะมีคำตอบนี้ดีในวันที่มาร่วมขบวนการกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า ขบวนการพันธมิตรฯ นั้นบริหารองค์กรในรูปแบบประชาธิปไตยหรือรูปแบบของนักเลงนายบ่อน
การเปรียบเปรยว่า พันธมิตรฯ เป็นหมาที่กัดดะไปทั่วนั้น มันสะท้อนจิตใต้สำนึกของแก้วสรรดีว่า ตัวเองนั้นเป็นคนปากหมาแค่ไหน แต่อย่างน้อยคนที่อยู่ใกล้ตัวแก้วสรรก็รู้จักคุณสมบัติข้อนี้ดีทุกคน ส่วนจะเป็นสายพันธุ์ไหนนั้น ผมไม่ทราบ เพราะอาจารย์เทพมนตรี ลิมปพยอมเปรียบอาจารย์แก้วสรรว่าเป็นหมาจรจัด ซึ่งธรรมชาติแล้วมันไม่รู้สายพันธุ์ของมันยกเว้นสายพันธุ์จากตัวแม่ที่ให้กำเนิด (อันนี้ผมพูดเรื่องธรรมชาติของหมาจรจัดล้วนๆ ให้แก้วสรรไปตีความเอาเอง)
ตอนนี้วาทกรรมของนักวิชาการสายพันธุ์ที่รุมกัดพันธมิตรฯ มีท่วงทำนองว่า พันธมิตรฯ ไม่รับฟังเสียงวิจารณ์ ใครมาวิจารณ์ก็ถูกโต้กลับทันที ผมก็เลยสงสัยว่าใครกันแน่ที่ไม่รับฟัง ถ้าคุณวิจารณ์พันธมิตรฯ ได้แล้วทำไมพันธมิตรฯ จะตอบโต้กลับไม่ได้ หรือว่าพวกคุณคือเผด็จการที่จะแสดงความคิดเห็นเพียงฝ่ายเดียว
ส่วนกรณีที่เหน็บแหนมพวกเราคือเหลืองสำลอง (สนธิ+จำลอง) นั้น ผมไม่รู้เหมือนกันว่า แล้วขบวนการข้างบ่อน (แก้วสรร+ชัช) นั้น จะเรียกว่า แก้ว…อะไรดี