มีคำพูดจากสมาชิกพรรคในเชิงแนะนำแก่พรรคการเมืองใหม่ต่อกรณีความคิดเห็นที่แตกต่างกันว่า ในฤดูการเลือกตั้งที่จะมาถึง(?)นี้ ควรจะเว้นวรรคโดยการไม่ควรส่งผู้สมัครลงสมัครรับการเลือกตั้ง ดีกว่าที่จะส่งลงรับสมัครในทำนองที่ว่าให้ “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” ผมคิดว่าเป็นการมองที่สะท้อนความคิดและเป็นคำอธิบาย ที่ไม่ใช่เหมาะสำหรับ “พรรคการเมืองใหม่” และผมคิดว่าโน้มเอียงไปในท่วงทำนองของความคิดในทัศนะทิศทางของ “การเมืองแบบเก่าๆ” มากกว่า เพราะการเมืองใหม่ไม่ใช่การเฝ้ารอคอยวันเลือกตั้งแต่มันหมายถึงการลงมือปฏิบัติการเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่ดีงามให้เกิดขึ้น ไม่ขึ้นต่อการรอคอยการลงสมัครรับการเลือกตั้ง แต่ก็มิได้หมายความว่าเราจะปฏิเสธการเข้าสู่สนามการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่ถูกกำหนดไว้ให้เป็นกติกาหนึ่งของขบวนการทางการเมืองการปกครองของสังคมไทย....
ความคิดเห็นที่แตกต่างในกรณีที่ว่าพรรคควรที่จะส่งสมาชิกเข้าสู่สนามการเลือกตั้งหรือเว้นวรรคในครั้งนี้นั้น มีคำอธิบายและเหตุผลที่ควรจะได้เรียนรู้ร่วมกันว่าแต่ละฝ่ายวิเคราะห์สถานการณ์เบื้องหน้าและมองไปในอนาคตแตกต่างกันในมิติไหนบ้าง ฝ่ายที่เห็นว่าพรรคควรที่จะได้ส่งสมาชิกลงสมัครลงรับการเลือกตั้งก็มองว่า เป้าหมายของการจัดตั้งพรรคการเมืองและโดยเฉพาะพรรคการเมืองใหม่ที่มีการวางเป้าหมายในการก่อเกิดว่า เพื่อให้เป็นเครื่องมือหนึ่งของการเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ลุกขึ้นมาต่อกรกับระบบการเมือง พรรคการเมืองเก่าๆ ที่สืบทอดกันมาของสังคมไทย ที่ไม่สามารถตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคมไทยให้ไปในทิศทางที่เป็นประชาธิปไตยที่เอาผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เป็นตัวตั้งได้ และที่สำคัญให้ถือว่าพรรคการเมืองใหม่คืออีกหนึ่งเครื่องมือของการเคลื่อนไหวไปสู่เป้าหมายที่วางไว้
ดังนั้น ในเมื่อพรรคได้รับการจัดตั้งขึ้นได้เป็นที่เรียบร้อยตามกฎกติกาที่ระบุไว้ตามรัฐธรรมนูญ ที่ประกอบด้วยนโยบาย โครงสร้างขององค์กรที่ประกอบด้วยสมาชิกพรรค สาขาหรือศูนย์ประสานงานพรรคที่กระจายอยู่ครบทุกภาคตามที่ถูกระบุไว้ตามกฎหมายของพรรคการเมืองและในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา พรรคโดยเฉพาะคณะกรรมการบริหารพรรค กรรมการสาขาหรือศูนย์ประสานงานพรรค ต่างได้ทำหน้าที่ตามบทบาทอย่างเต็มที่เต็มความสามารถ หลายๆ พื้นที่มีความพร้อม บ้างก็ลงทุนทำกิจกรรมเตรียมความพร้อมมาพอสมควร มีมวลชน มีผู้สมัครที่พอจะสู้กับพรรคอื่นๆ ได้ หรือแม้จะสู้ไม่ได้เราก็จะได้ใช้โอกาสโฆษณานโยบายของพรรค เปิดตัวพรรคให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น ฯลฯ แล้วไฉนพรรคจึงจะต้องมาเว้นวรรคไม่ส่งผู้สมัครของพรรคลงสู่สนามการเลือกตั้งด้วยเล่า?
หลายๆ ท่านอาจจะรู้สึกว่าอ้อ...หรือเป็นเพราะว่าเวทีของการชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่มัฆวานฯ ชี้นำและสั่งการ? พรรคควรจะทำตาม? หรือแยกกันเดินแล้วรวมกันตี? หรือพรรคควรประกาศความเป็นอิสระจากกัน? นี่คือโจทย์ที่มากมายและซับซ้อนของพรรคที่เกิดขึ้นตามพลวัตทางสังคมและการเมืองที่เคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งพรรคจะต้องนำมาวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะคณะกรรมการบริหารที่จะต้องหาทางคลี่คลายปัญหาและให้พรรคเดินหน้าไปและดำรงอยู่ให้ได้
ฝ่ายที่เห็นว่าพรรคควรที่จะเว้นวรรคในการที่จะส่งสมัครในฤดูกาลเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ก็เพราะยึดกุมแนวทางที่ยึดโยงกับการก่อกำเนิดของพรรคที่เกิดจากฉันทามติของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ดังนั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงต้องมีส่วนกำหนดวิธีการและทิศทางของพรรค และในแนวทางพรรคมวลชนที่ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ของบรรดาสมาชิก ที่เข้าร่วมในกติกาของพรรคโดยเฉพาะในการประชุมสามัญประจำปีซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของพรรคการเมืองแนวมวลชน ที่ต้องรับฟังและปฏิบัติตามนั้น
วันที่ 24 เมษายน 2554 ที่ผ่านมา จึงถือว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของพรรคที่แอคทีฟและเข้าร่วมตามกติกาของพรรคได้แจ้ง ประกาศให้สมาชิกมาประชุมกันโดยพร้อมเพรียงในการมารับรู้ รับรอง ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และมีประเด็นสำคัญๆ ที่ทั้งกรรมการและสมาชิกสามารถหยิบยกกันขึ้นมาเพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อกรณีนั้นๆ หากตัดประเด็นความคิดเห็นต่อเหตุการณ์ที่พูดถึงกัน ไม่ว่ากรณีการชี้นำสั่งการจากเวทีการชุมนุมหรือการเกณฑ์สมาชิกที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างเข้ามาเพื่อเอาชนะคะคานกันด้วยจำนวน หรือบรรยากาศและวิธีการในการดำเนินการประชุมออกไป ถือว่าเป็นความสวยงามและเป็นพัฒนาการที่สำคัญของความเป็นพรรคมวลชนอย่างน่าประทับใจ ที่ยังไม่มีพรรคการเมือง (ในระบบ) ไหนดำเนินการมาก่อนในสังคมไทย
ความเห็นที่แตกต่างจึงเป็นภาระอันหนักอึ้งของเหล่ากรรมการบริหารพรรค ส่วนหนึ่งที่สำคัญของคณะกรรมการบริหารพรรค (ซึ่งก็รวมถึงผมคนหนึ่งในนั้นด้วย) ที่มีความเห็นว่าพรรคควรที่จะเว้นวรรคในการส่งสมาชิกเพื่อลงรับการเลือกตั้งในครั้งนี้ นอกเหนือจากให้ความสำคัญกับการก่อเกิดและยึดโยงเป็นหนึ่งเดียวกันกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่พรรคไม่ควรจะขัดแย้งกับมวลชนที่ให้การก่อเกิดพรรคมาแล้ว
การวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันและหลังการเลือกตั้งว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในสังคมไทย ตลอดถึงการมองความพร้อมของพรรคในด้านต่างๆรวมไปถึงมองว่าบทบาทของพรรคต่อคำว่า “การเมืองใหม่” ที่ไม่ได้หมายถึงเพียงว่าเป็นชื่อของพรรคเท่านั้น แต่หมายถึงปฏิบัติการและเนื้อหาความหมายของการเมืองใหม่ ที่พรรคจะต้องยึดโยงกับปัญหาของมวลชนในพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีสาขาพรรคหรือศูนย์ประสานงานของพรรคการเมืองใด ที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับชุมชนหรือมวลชนในพื้นที่ ยามพื้นที่หรือชุมชนประสบกับปัญหาต่างๆ ไม่ว่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในพื้นที่ ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ปัญหาอันเป็นผลกระทบจากนโยบายของรัฐหรือเอกชน ปัญหาโครงการใหญ่ๆ ที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ฯลฯ เราจะพบว่ามวลชนหรือชาวบ้านในแต่ละพื้นที่ต้องต่อสู้ ลุกขึ้นสู้ อย่างโดดเดี่ยวกันเป็นส่วนใหญ่
การเว้นวรรคของพรรคในประเด็นการไม่ส่งผู้สมัครในการลงเลือกตั้งในครั้งนี้ จึงเสมือนโอกาสของพรรคในการที่จะพัฒนาตัวเองและสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรคโดยการทำงานการเมืองในระดับพื้นที่ เพื่อพิสูจน์เจตนารมณ์ที่ร่วมสร้างกันขึ้นว่าเราจะต้องเป็นพรรคที่ “ซื่อสัตย์ เสียสละ กล้าหาญและทำงานเป็น” ที่บรรดาสมาชิก สาขาหรือศูนย์ประสานงานจะต้องนำไปปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับมวลชนและสมาชิก จากการกระทำ จากการลงมือปฏิบัติจริงในพื้นที่ ไม่ใช่แค่คำขวัญอันสวยงามในแผ่นกระดาษ ในแผ่นป้ายต่างๆ ที่มีไว้สำหรับช่วงเวลารณรงค์ในเทศกาลหาเสียงเท่านั้น
การอดเปรี้ยวไว้กินหวานจึงไม่ใช่ทัศนะที่ถูกต้องสำหรับการตัดสินใจของพรรคการเมืองใหม่ในการที่จะเว้นวรรคหรือการประกาศส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งในครั้งนี้หรือไม่ เพราะหลายๆ ครั้งเราก็อยากกินมะม่วงเปรี้ยวๆ กับน้ำจิ้ม เพราะรอให้มะม่วงสุกก็จะเป็นอีกรสชาติที่ไม่ใช่วัตถุประสงค์เดียวกันในแต่ละเป้าหมายของการกินมะม่วงในแต่ละครั้ง การจะกินผลไม้รสเปรี้ยวหรือหวานจึงไม่ใช่อยู่ที่การรอคอยเท่านั้น แต่มันหมายถึงวัตถุประสงค์และเป้าหมายของเรามากกว่าว่าเราต้องการอย่างไร “เปรี้ยวเกินไปก็เข็ดฟัน.. หวานเกินไปก็เลี่ยน” ก็เป็นอีกความหมายของการมองไปในทิศทางแบบสุดโต่งของด้านใดด้านหนึ่ง ก็ได้แต่หวังว่าพรรคการเมืองใหม่จะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น จนหาความพอดีและความลงตัวของตัวเองไม่เจอ
ความคิดเห็นที่แตกต่างในกรณีที่ว่าพรรคควรที่จะส่งสมาชิกเข้าสู่สนามการเลือกตั้งหรือเว้นวรรคในครั้งนี้นั้น มีคำอธิบายและเหตุผลที่ควรจะได้เรียนรู้ร่วมกันว่าแต่ละฝ่ายวิเคราะห์สถานการณ์เบื้องหน้าและมองไปในอนาคตแตกต่างกันในมิติไหนบ้าง ฝ่ายที่เห็นว่าพรรคควรที่จะได้ส่งสมาชิกลงสมัครลงรับการเลือกตั้งก็มองว่า เป้าหมายของการจัดตั้งพรรคการเมืองและโดยเฉพาะพรรคการเมืองใหม่ที่มีการวางเป้าหมายในการก่อเกิดว่า เพื่อให้เป็นเครื่องมือหนึ่งของการเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ลุกขึ้นมาต่อกรกับระบบการเมือง พรรคการเมืองเก่าๆ ที่สืบทอดกันมาของสังคมไทย ที่ไม่สามารถตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคมไทยให้ไปในทิศทางที่เป็นประชาธิปไตยที่เอาผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เป็นตัวตั้งได้ และที่สำคัญให้ถือว่าพรรคการเมืองใหม่คืออีกหนึ่งเครื่องมือของการเคลื่อนไหวไปสู่เป้าหมายที่วางไว้
ดังนั้น ในเมื่อพรรคได้รับการจัดตั้งขึ้นได้เป็นที่เรียบร้อยตามกฎกติกาที่ระบุไว้ตามรัฐธรรมนูญ ที่ประกอบด้วยนโยบาย โครงสร้างขององค์กรที่ประกอบด้วยสมาชิกพรรค สาขาหรือศูนย์ประสานงานพรรคที่กระจายอยู่ครบทุกภาคตามที่ถูกระบุไว้ตามกฎหมายของพรรคการเมืองและในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา พรรคโดยเฉพาะคณะกรรมการบริหารพรรค กรรมการสาขาหรือศูนย์ประสานงานพรรค ต่างได้ทำหน้าที่ตามบทบาทอย่างเต็มที่เต็มความสามารถ หลายๆ พื้นที่มีความพร้อม บ้างก็ลงทุนทำกิจกรรมเตรียมความพร้อมมาพอสมควร มีมวลชน มีผู้สมัครที่พอจะสู้กับพรรคอื่นๆ ได้ หรือแม้จะสู้ไม่ได้เราก็จะได้ใช้โอกาสโฆษณานโยบายของพรรค เปิดตัวพรรคให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น ฯลฯ แล้วไฉนพรรคจึงจะต้องมาเว้นวรรคไม่ส่งผู้สมัครของพรรคลงสู่สนามการเลือกตั้งด้วยเล่า?
หลายๆ ท่านอาจจะรู้สึกว่าอ้อ...หรือเป็นเพราะว่าเวทีของการชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่มัฆวานฯ ชี้นำและสั่งการ? พรรคควรจะทำตาม? หรือแยกกันเดินแล้วรวมกันตี? หรือพรรคควรประกาศความเป็นอิสระจากกัน? นี่คือโจทย์ที่มากมายและซับซ้อนของพรรคที่เกิดขึ้นตามพลวัตทางสังคมและการเมืองที่เคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งพรรคจะต้องนำมาวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะคณะกรรมการบริหารที่จะต้องหาทางคลี่คลายปัญหาและให้พรรคเดินหน้าไปและดำรงอยู่ให้ได้
ฝ่ายที่เห็นว่าพรรคควรที่จะเว้นวรรคในการที่จะส่งสมัครในฤดูกาลเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ก็เพราะยึดกุมแนวทางที่ยึดโยงกับการก่อกำเนิดของพรรคที่เกิดจากฉันทามติของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ดังนั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงต้องมีส่วนกำหนดวิธีการและทิศทางของพรรค และในแนวทางพรรคมวลชนที่ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ของบรรดาสมาชิก ที่เข้าร่วมในกติกาของพรรคโดยเฉพาะในการประชุมสามัญประจำปีซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของพรรคการเมืองแนวมวลชน ที่ต้องรับฟังและปฏิบัติตามนั้น
วันที่ 24 เมษายน 2554 ที่ผ่านมา จึงถือว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของพรรคที่แอคทีฟและเข้าร่วมตามกติกาของพรรคได้แจ้ง ประกาศให้สมาชิกมาประชุมกันโดยพร้อมเพรียงในการมารับรู้ รับรอง ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และมีประเด็นสำคัญๆ ที่ทั้งกรรมการและสมาชิกสามารถหยิบยกกันขึ้นมาเพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อกรณีนั้นๆ หากตัดประเด็นความคิดเห็นต่อเหตุการณ์ที่พูดถึงกัน ไม่ว่ากรณีการชี้นำสั่งการจากเวทีการชุมนุมหรือการเกณฑ์สมาชิกที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างเข้ามาเพื่อเอาชนะคะคานกันด้วยจำนวน หรือบรรยากาศและวิธีการในการดำเนินการประชุมออกไป ถือว่าเป็นความสวยงามและเป็นพัฒนาการที่สำคัญของความเป็นพรรคมวลชนอย่างน่าประทับใจ ที่ยังไม่มีพรรคการเมือง (ในระบบ) ไหนดำเนินการมาก่อนในสังคมไทย
ความเห็นที่แตกต่างจึงเป็นภาระอันหนักอึ้งของเหล่ากรรมการบริหารพรรค ส่วนหนึ่งที่สำคัญของคณะกรรมการบริหารพรรค (ซึ่งก็รวมถึงผมคนหนึ่งในนั้นด้วย) ที่มีความเห็นว่าพรรคควรที่จะเว้นวรรคในการส่งสมาชิกเพื่อลงรับการเลือกตั้งในครั้งนี้ นอกเหนือจากให้ความสำคัญกับการก่อเกิดและยึดโยงเป็นหนึ่งเดียวกันกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่พรรคไม่ควรจะขัดแย้งกับมวลชนที่ให้การก่อเกิดพรรคมาแล้ว
การวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันและหลังการเลือกตั้งว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในสังคมไทย ตลอดถึงการมองความพร้อมของพรรคในด้านต่างๆรวมไปถึงมองว่าบทบาทของพรรคต่อคำว่า “การเมืองใหม่” ที่ไม่ได้หมายถึงเพียงว่าเป็นชื่อของพรรคเท่านั้น แต่หมายถึงปฏิบัติการและเนื้อหาความหมายของการเมืองใหม่ ที่พรรคจะต้องยึดโยงกับปัญหาของมวลชนในพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีสาขาพรรคหรือศูนย์ประสานงานของพรรคการเมืองใด ที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับชุมชนหรือมวลชนในพื้นที่ ยามพื้นที่หรือชุมชนประสบกับปัญหาต่างๆ ไม่ว่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในพื้นที่ ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ปัญหาอันเป็นผลกระทบจากนโยบายของรัฐหรือเอกชน ปัญหาโครงการใหญ่ๆ ที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ฯลฯ เราจะพบว่ามวลชนหรือชาวบ้านในแต่ละพื้นที่ต้องต่อสู้ ลุกขึ้นสู้ อย่างโดดเดี่ยวกันเป็นส่วนใหญ่
การเว้นวรรคของพรรคในประเด็นการไม่ส่งผู้สมัครในการลงเลือกตั้งในครั้งนี้ จึงเสมือนโอกาสของพรรคในการที่จะพัฒนาตัวเองและสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรคโดยการทำงานการเมืองในระดับพื้นที่ เพื่อพิสูจน์เจตนารมณ์ที่ร่วมสร้างกันขึ้นว่าเราจะต้องเป็นพรรคที่ “ซื่อสัตย์ เสียสละ กล้าหาญและทำงานเป็น” ที่บรรดาสมาชิก สาขาหรือศูนย์ประสานงานจะต้องนำไปปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับมวลชนและสมาชิก จากการกระทำ จากการลงมือปฏิบัติจริงในพื้นที่ ไม่ใช่แค่คำขวัญอันสวยงามในแผ่นกระดาษ ในแผ่นป้ายต่างๆ ที่มีไว้สำหรับช่วงเวลารณรงค์ในเทศกาลหาเสียงเท่านั้น
การอดเปรี้ยวไว้กินหวานจึงไม่ใช่ทัศนะที่ถูกต้องสำหรับการตัดสินใจของพรรคการเมืองใหม่ในการที่จะเว้นวรรคหรือการประกาศส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งในครั้งนี้หรือไม่ เพราะหลายๆ ครั้งเราก็อยากกินมะม่วงเปรี้ยวๆ กับน้ำจิ้ม เพราะรอให้มะม่วงสุกก็จะเป็นอีกรสชาติที่ไม่ใช่วัตถุประสงค์เดียวกันในแต่ละเป้าหมายของการกินมะม่วงในแต่ละครั้ง การจะกินผลไม้รสเปรี้ยวหรือหวานจึงไม่ใช่อยู่ที่การรอคอยเท่านั้น แต่มันหมายถึงวัตถุประสงค์และเป้าหมายของเรามากกว่าว่าเราต้องการอย่างไร “เปรี้ยวเกินไปก็เข็ดฟัน.. หวานเกินไปก็เลี่ยน” ก็เป็นอีกความหมายของการมองไปในทิศทางแบบสุดโต่งของด้านใดด้านหนึ่ง ก็ได้แต่หวังว่าพรรคการเมืองใหม่จะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น จนหาความพอดีและความลงตัวของตัวเองไม่เจอ