xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

บวร ยสินทร “ตอนที่เข้ามารัฐบาลปฎิญาณเลยว่าสิ่งแรกที่จะทำคือการปกป้องสถาบันกษัตริย์ แต่นี่จวนจะหมดวาระอยู่แล้วก็ยังไม่เห็นทำอะไร”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จากกรณีการปราศรัยของ 'นายจตุพร พรหมพันธุ์' ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งหลายฝ่ายต่างเห็นตรงกันว่านับเป็นการกระทำที่มีเจตนาจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันอันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทยอย่างมิอาจให้อภัยได้ ส่งผลให้ทั้งฝ่ายการเมือง กองทัพ และประชาชนผู้จงรักภักดีต่างตบเท้าออกมาประณามการกระทำดังกล่าวตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

และหนึ่งในเครือข่ายที่ออกมาแสดงพลังก็คือ “เครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน” ที่มี 'บวร ยสินทร ' เป็นประธาน

ทั้งนี้ จากการพูดคุยกับประธานเครือข่ายฯ ทำให้ทราบว่าองค์ดังกล่าวเป็นที่รวมของผู้ที่รักและเทิดทูนสถาบัน และได้ทำงานด้านนี้มานานแล้ว โดยเฉพาะการสกัดกั้นการหมิ่นสถาบันในสังคมออนไลน์ อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงวิชามารของ 'ขบวนการล้มเจ้า' ที่เข้ามาปั่นกระแสในโลกไซเบอร์อีกด้วย

**วันที่ 17 เม.ย. ทำไมอาจารย์และกลุ่มเครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบันจึงออกมาแสดงพลังร่วมกับกลุ่มอื่นๆ

คือมีการประสานงานมาเพราะเขาเห็นว่าเราทำเรื่องการปกป้องสถาบันมานานแล้ว ก็เลยอยากให้ผมช่วยประชาสัมพันธ์ในเฟซบุ๊กซึ่งเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์ก ส่วนมวลชนในส่วนอื่นเขาจะประสานเอง ซึ่งผมเห็นว่าปัจจุบันการหมิ่นสถาบันนั้นรุนแรงขึ้นทุกที การปราศรัยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของคุณจตุพร พรหมพันธุ์ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมาเนี่ยเขาก็พูดแรงจริงๆ เป็นเรื่องที่เรารับไม่ได้ ผมก็เลยรับปากที่จะช่วยประสานในส่วนของเครือข่ายในเฟซบุ๊กและโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ คือเราไปรวมตัวกันเพื่อแสดงออกว่ายังมีประชาชนที่จงรักภักดีอยู่อีกเยอะ และเป็นการแสดงออกว่าเราไม่พอใจการปราศัยของคุณจตุพร

วันนั้นก็มีหลายกลุ่มมาร่วม อย่าง กลุ่มของหมอตุลย์ (นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์) กลุ่มสหพันธ์คนไทยปกป้องสถาบัน กลุ่มพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน จริงๆ แล้วตอนแรกนัดกันที่ สน.สำราญราษฎร์ แต่เนื่องจากกลุ่มอื่นเขานัดกันที่ลานคนเมือง ผมก็เลยให้กลุ่มโซเชียลเน็ตเวิร์กไปรวมที่ลานคนเมืองก่อนแล้วค่อยเคลื่อนไปที่ สน.สำราญราษฎร์ ก่อนหน้านั้นก็มีคนกลัวเหมือนกันว่าจะปะทะกับกลุ่มเสื้อแดงเพราะมีข่าวว่าเขาจะไปแจ้งความเอาผิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่ สน.สำราญราษฎร์เหมือนกัน แต่เสื้อแดงเขาจะไปตอนบ่าย เราไปตอนเช้า ก็น่าจะหลีกกันได้ ผมก็เลยประสานกับทางผู้กำกับให้ช่วยดูแล สุดท้ายก็ไม่มีอะไร ไม่ได้หวิดมีการปะทะกันอย่างที่หนังสือพิมพ์บางฉบับเต้าข่าว (หัวเราะ)

คือที่เรามารวมตัวกันมีวัตถุประสงค์อยู่ 3 เรื่อง คือ 1.เพื่อแสดงความจงรักภักดี 2.เพื่อเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งดำเนินคดีต่อนายจตุพร 3.ขอทราบขั้นตอนและระเบียบปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจในกรณีที่มีการแจ้งความว่ามีผู้หมิ่นสถาบัน อยากทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำอะไรบ้าง 1, 2, 3, 4, 5 และมีกำหนดเวลาหรือไม่

**แล้วกรณีการดำเนินคดีต่อจุพร เจ้าหน้าที่ตำรวจชี้แจงว่าอย่างไรบ้าง

เขาบอกว่าทางเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการตรวจสอบ และเรียกมาสอบสวน ผมก็ถามเขาว่ามีระเบียบปฏิบัติไหม เขาก็บอกมีระเบียบมีขั้นตอน ซึ่งเขาก็มีคณะกรรมการพิจารณาในกรณีที่เป็นคดี ซึ่งเขาก็จะดูว่าเข้าข่ายหมิ่นสถาบันหรือว่าถึงขั้นล้มเจ้า ถ้าเข้าข่ายล้มเจ้าก็เป็นหน้าที่ของดีเอสไอ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ)

**มีกำหนดเวลาไหมว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเชิญมาสอบปากคำภายในกี่วัน
เขาก็บอกว่าเป็นคดีสำคัญ ต้องดำเนินการโดยเร็ว

**คิดว่าการปราศรัยของคุณจตุพรเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา เขาตั้งใจพูดหรือเปล่า

เจตนาอยู่แล้ว และที่ผ่านมาเขาก็พูดจาในลักษณะจาบจ้วงมาโดยตลอด ขึ้นกับจังหวะเวลา แต่วันนี้มันเหมือนกำลังจะถึงไพ่ใบสุดท้ายกันแล้วเขาเลยเกหมดหน้าตัก บางครั้งก็คึกคะนอง คิดว่าพูดแล้วมันดูทันสมัยทันเหตุการณ์ การที่เขาพูดถึงกรณีรายการคุณวู้ดดี้ก็เหมือนกับคนกำลังอิน เขาก็หยิบมาพูด

**ดูเหมือนคุณจตุพรจะจาบจ้วงแบบท้าชนเลย

เหมือนจะท้า แต่ก็ยังเผื่อนะ ไม่ได้เอ่ยตรงๆ เผื่อทางหนีทีไล่ กำกวมว่าเข้าข่ายหรือไม่เข้าข่าย เผื่อทางการไม่เอาจริง แต่จริงๆ คนทั่วไปเขาเข้าใจไปในทางเดียวกันอยู่แล้ว

**เขาต้องการที่จะชักจูงให้ประชาชนรู้สึกว่าศัตรูของคนเสื้อแดงคือใครหรือเปล่า

คือผมไม่อยากพูดว่าเขาถือว่าใครเป็นศัตรู แต่คิดว่าเขาพยายามแสวงหาโอกาสที่จะนำบางคนกลับเข้ามา โดยใช้ทุกวิถีทาง ทำอะไรก็ได้ ทำชั่วทำเลวก็ได้ ถ้าวิธีนี้ทำแล้วได้ประโยชน์ เขาจะทำ แม้กระทั่งบุคคลที่ไม่ควรจะไปแตะต้องก็จะทำ คือคำว่าศัตรูต้องมีอะไรกันมา นี่จริงๆไม่ใช่ศัตรูแต่เขาตั้งให้เป็นศัตรู แต่ถ้าพูดตรงนี้ อัดตรงนี้แล้วเขาได้ประโยชน์เขาก็ทำ เขาพยามสร้างประเด็นซึ่งทำให้ได้รับความสนใจ ทำให้แฟนคลับของเขารู้สึกมั่นใจในการนำของเขา

**อาจารย์มองพฤติกรรมของคนเสื้อแดงในเรื่องของการหมิ่นสถาบันตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบันอย่างไร

ผมว่าเขาก็เรียนรู้ในการที่จะอาศัยช่องว่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะโดยการใช้ภาษา ใช้สัญลักษณ์ ซึ่งผมว่าการแสดงออกในเรื่องการหมิ่นสถาบันนั้นจะดูเฉพาะเรื่องภาษาพูดหรือภาษาเขียนไม่ได้ แต่ต้องดูเรื่องภาษากายและเจตนาด้วย ไม่วาจะเป็นแสดงออกทางสายตา ท่าทาง ซึ่งตรงนี้นักกฎหมายจะต้องนำมาพิจารณาด้วย ซึ่งผมก็เคยพูดบนเวทีปราศรัยว่าการจะดูว่าหมิ่นสถาบันหรือไม่นั้นไม่ได้ดูแค่สิ่งที่พูดที่เขียนเท่านั้น แต่ต้องดู 3 ท่า ด้วย คือ ท่าทาง ท่าที และท่าสุดท้ายคือ ถ้ามันจะต้องติดคุก จะเห็นว่าท่าทางของบางคนในขณะพาดพิงถึงสถาบันเนี่ยมีความกระเหี้ยนกระหือรือ ใช้คำในการสื่อเพื่อให้คนเข้าใจว่าเขาหมายถึงใคร ซึ่งท่าทีเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น เขามักจะใช้สัญลักษณ์ในการพูดพาดพิงจาบจ้วง ทำบ่อยๆ ซ้ำๆ จนกลายเป็นรหัส ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าใจว่าเขาหมายถึงใคร ดังนั้นการจงใจจาบจ้วงในลักษณะนี้ก็น่าจะเข้าข่ายหมิ่นสถาบันด้วย

**จริงๆ แล้วหาก ส.ส. หรือสมาชิกพรรคมีพฤติกรรมที่จาบจ้วงสถาบัน ทางพรรคก็ควรต้องรับผิดชอบ

ผมเห็นด้วยกับ กกต.(คณะกรรมการการเลือกตั้ง) นะว่าเรื่องแบบนี้พรรคต้องรับผิดชอบ จะบอกว่าพรรคไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ อย่างกรณีที่ผมไปร้องทุกข์กล่าวโทษคุณทอม ดันดี ที่ปราศรัยจาบจ้วงเนี่ย เขาก็ปราศรัยบนเวทีพรรคเพื่อไทย ซึ่งหากเขาพูดจาไม่เหมาะสมคุณต้องเบรกเขาแล้ว แต่นี่พากันเฮส่งเสริม แล้วก็ยังเอาเรื่องเหล่านี้ไปขยายซึ่งมันชัดเจนอยู่แล้วว่าหลายๆ คนที่พูดจาจาบจ้วงเนี่ยมีฐานะเป็น ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย คุณจตุพรก็เป็น ส.ส.สัดส่วน แล้วพรรคเพื่อไทยจะไม่แสดงความรับผิดชอบได้ยังไง

คุณจะบอกว่าความผิดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนตัวได้ยังไง ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวแล้วทำไมเวลาโดนคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้คุณกลับมาใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง อย่างนี้แปลว่าคุณเลือกใช้เฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและเป็นประโยชน์ต่อพรรค พอต้องการใช้เอกสิทธิ์คุณบอกคุณเป็น ส.ส. แต่เวลาทำผิดคุณบอกเป็นเรื่องส่วนตัว มันไม่มีสปิริตทางการเมือง ซึ่งในส่วนของ กกต.เองก็ต้องเขามาตรวจสอบพฤติกรรมเหล่านี้เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และมีความผิดตามรัฐธรรมนูญ

**ความผิดนี่ถึงขั้นยุบพรรคไหม

ถ้าพิสูจน์แล้วพบว่ามีพฤติกรรมจาบจ้วงก็ต้องยุบ

**ดูเหมือนเป็นการกระทำที่หวังผลทางการเมือง

ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมันไม่ถูกต้องทั้งธรรมะและจริยธรรมทางการเมือง เวลาเขาพูดเขามักจะบอกว่าคนอื่นแอบอ้างสถาบันเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ถ้าปกป้องจริงต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ถามว่าในที่สุดแล้วใครเสียหาย...สถาบัน สุดท้ายสถาบันเสียหาย คือตอนนี้ก็มีบางพรรคโหนกระแส เอาเรื่องการปกป้องสถาบันมาหาเสียง คนที่ปกป้องจริงก็พลอยเสียหายไปด้วย ผมก็พลอยจะถูกมองอย่างนั้นไปด้วย

**อาจารย์มองว่าทำไมกระบวนการทางกฎหมายที่จะดำเนินการเอาผิดกับผู้จาบจ้วงสถาบันถึงได้ล่าช้ามาก

ในด้านของตัวกฎหมายเป็นอุปสรรคหรือไม่ ยังไม่รู้ แต่การบังคับใช้กฎหมายมีผลแน่ ถ้าการบังคับใช้กฎหมายยังไม่มีประสิทธิภาพ คือมีข้อกำหนดอยู่แล้ว แต่คนปฏิบัติมันไม่ปฏิบัติ ไม่เอาจริงเอาจัง แล้วมาบอกว่าต้องแก้กฎหมายเพื่อดำเนินการเรื่องนี้ผมว่ามันไม่ถูกต้อง ผมว่าระเบียบในเรื่องของเวลาในการดำเนินการก็เป็นเรื่องสำคัญ ถ้ามีการกำหนดว่าภายใน 3 เดือนต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง มันก็จะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย ถ้าถูกกลั่นแกล้งกล่าวหาว่าหมิ่นสถาบัน แต่เขาไม่ได้ทำผิด ก็จะได้พิสูจน์ตัวเองให้พ้นข้อกล่าวหา ไม่ใช่ปล่อยไป 3 ปีคดียังไม่จบ ส่วนผู้ที่กระทำผิดจริงๆก็จะได้รับการลงโทษ แต่นี่มันไม่มีเงื่อนเวลามากำหนดก็เลยปล่อยไปเรื่อยๆ แล้วก็ต้องไปดูเรื่องวิธีปฏิบัติ ถ้ากรณีที่ถูกแจ้งข้อหาว่าหมิ่นสถาบันแล้วหลบหนี จะพิจารณาคดีลับหลังผู้ถูกกล่าวหาได้ไหม ไม่จำเป็นต้องให้จับตัวได้ก่อน เพราะถ้าเขาไม่ยอมมาสู้คดีล่ะ หรือถ้าจะให้โอกาสต่อสู้ก็ให้ผู้ถูกกล่าวหาเขียนแถลงคดีมา คือมันต้องมีการกำหนดวิธีการเพื่อให้คดีจบโดยเร็ว กำหนดไปเลย 6 เดือนคดีต้องจบ

**อาจารย์คิดว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้ที่ทำให้ผู้บังคับใช้กฎหมายเหมือนกับเตะถ่วงในการดำเนินคดี

มันก็เป็นไปได้หลายอย่าง ประการที่ 1ถ้าคิดแบบเข้าข้างเจ้าหน้าที่หน่อยก็อาจจะเป็นเพราะงานล้นมือ เฉพาะงานที่ทำอยู่ก็ไม่มีเวลาอยู่แล้ว ซึ่งก็ต้องไปดูว่าจริงหรือเปล่า ประการที่ 2 อย่าไปยุ่งเลย เรื่องพวกนี้มันเป็นของร้อน ถ้าการเมืองเปลี่ยนก็ไม่รู้ใครจะไปใครจะมา เดี๋ยวถูกใจคนนั้น ไม่ถูกใจคนนี้ ก็เลยเลี่ยงที่จะไม่ทำดีกว่า ซึ่งผมว่าตรงนี้เป็นปัญหาใหญ่ของบ้านเมือง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก ไม่ใช่เรื่องของกฎหมายแรงไป อ่อนไป อย่างที่เขาบอก ถ้าคนไม่คิดจะกระทำผิดก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร ถ้าจะกลั่นแกล้งกันทางการเมืองนี่แกล้งยัดยาบ้าไม่ง่ายกว่าเหรอ เพราะจริงๆ แล้วการกลั่นแกล้งเรื่องคดีหมิ่นสถาบันนี่มันไม่ง่ายนะ เพราะมันต้องเอาคำพูดและเจตนามาประกอบในการพิจารณา นอกจากนั้นมันยังดิ้นได้นะ เหมือนกับที่นักวิชาการเยอะแยะที่อาศัยช่องว่างเขียนเฉียดไปเฉียดมาแล้วเอาผิดไม่ได้

**เท่าที่อาจารย์ดูเรื่องการหมิ่นสถาบัน ตอนนี้กระแสในโลกอินเทอร์เน็ตรุนแรงไหม
ดูเหมือนภาพมันออกมารุนแรงนะ แต่ถามว่าเบื้องหลังตรงนี้มันน่ากลัวไหม ผมไม่กลัว เพราะผมว่าจริงๆ แล้วมีคนที่เกี่ยวข้องไม่เยอะ กลุ่มที่ทำก็คือกลุ่มเดิมแต่สร้างภาพให้ดูเหมือนมีคนแสดงความเห็นทำนองนี้เยอะ เพราะในโลกออนไลน์มันไม่รู้นี่ว่าใครทำ คนทำมีกี่คน มันไม่เหมือนม็อบที่มาชุมนุมกันมากน้อยก็สามารถนับหัวได้เลย แต่ในโลกออนไลน์มีแค่ร้อยคนก็ทำให้ดูเหมือนมีหมื่นคน คนเดียวจะไปเปิดสักกี่ชื่อก็ได้ จะเข้าไปโพสที่ไหนก็ได้ บิดเบือนข้อมูลยังไงก็ได้ โพสตอบโต้กันเองก็ได้ เพื่อให้ภาพออกมาดูเยอะ ดูใหญ่ ดูแรง จริงๆแล้วคนคนเดียวอาจทำเป็นร้อยชื่อ โพสแสดงความเห็นตอบโต้ตัวเอง ไปตัดต่อภาพ ตัดต่อเสียง เอามาลงในเว็บ แล้วลงชื่อว่าเป็นคนนั้นคนนี้ คนที่เข้ามาอ่านก็รู้สึกว่าโอ้โห..มีคนที่คิดเห็นอย่างนี้กันเยอะ มีคนโน้นคนนี้เอาภาพเอาเรื่องราวมาโพสเยอะแยะ มันน่าจะเป็นเรื่องจริง ก็เลยตามแห่กันไป จริงๆแล้วหน้าม้าทั้งนั้นที่เข้ามาปั่นกระแส แล้วเรื่องประเภทติฉินนินทาเนี่ยคนส่วนใหญ่จะอดไม่ได้ ขอดูหน่อย สุดท้ายก็เล่าลือต่อๆ กันไปทั้งที่เป็นเรื่องไม่จริง ไม่มีมูลเลย

**แล้วในโลกออนไลน์นี่มันมีการปะทะทางความคิดระหว่างผู้ที่แสดงความเห็นจาบจ้วงกับคนที่ปกป้องสถาบันเยอะไหม

มันก็ต้องมีการโต้กันอยู่แล้ว ยกตัวอย่างมีแกนนำฝ่ายวิชาการของทางเสื้อแดง เขากล่าวหาผมว่าการที่กลุ่มเครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบันออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการปราศรัยในลักษณะจาบจ้วงของคุณจตุพรเนี่ยเหมือนกับกรณีของกลุ่มนวพลและลูกเสือชาวบ้านในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 19 หาว่าผมกำลังปลุกกระแส ผมก็โต้กลับไปว่านอกจากคุณยังไม่รู้จักผมดีแล้วคุณยังไม่รู้จักกลุ่มกระทิงแดง ไม่รู้จักนวพลด้วย เพราะทั้งเป้าหมายและที่มาของกลุ่มคนเนี่ยมันไม่มีอะไรเหมือนกันเลย สุดท้ายเขาก็สารภาพว่าตอน 6 ตุลาฯ เขาเพิ่ง 8ขวบ และสุดท้ายเขาก็ถอยออกไป แต่ที่น่าสนใจคือหลังจากที่ผมตอบโต้กับแกนนำเสื้อแดงคนนี้แล้วก็มีคนเข้ามาแสดงความเห็นกันเยอะมาก โดยเฉพาะคนเสื้อแดง ซึ่งมันทำให้เราเห็นว่าเสื้อแดงมีอยู่ 2 กลุ่มคือแดงเอาเจ้ากับแดงไม่เอาเจ้า ซึ่งมันเป็นเครื่องยืนยันว่าไม่ใช่เสื้อแดงทั้งหมดที่ไม่เอาสถาบันอย่างที่บรรดาแกนนำพยายามสร้างภาพ

ที่ผ่านมาผมไปไหนผมก็พูดชัดเลยว่าผมไม่เคยปฏิเสธความคิดที่แตกต่างของคนเสื้อแดง แต่ผมไม่เอาแดงล้มเจ้าเท่านั้น เพราะมันเป็นเรื่องที่คนไทยรับไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าพยายามชูประเด็น และอย่าคิดว่าแดงทุกคนต้องการล้มเจ้า คือบรรดาแกนนำพยายามที่จะสร้างเงื่อนไข ผูกเรื่องราวพวกนี้เข้าด้วยกัน อย่ามาจุดกระสร้างภาพว่าเสื้อแดงทั้งประเทศไม่เอาสถาบัน

**เสื้อแดงบางกลุ่มก็เป็นคนที่มีการศึกษาและเข้าถึงโลกออนไลน์ สามารถที่จะหาข้อมูลข่าวสารได้รอบด้าน แล้วทำไมคนเหล่านี้จึงยังเชื่อข้อมูลที่บิดเบือนให้ร้ายสถาบัน

คือเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่รู้นะว่าผู้นำเขาคิดอะไรอยู่ อย่างคนที่อยู่ในม็อบจะรู้เลยว่าจิตวิทยาฝูงชนมันมีอิทธิพลมาก บนเวทีพูดอะไรไม่ได้ยินหรอก เขาเฮก็เฮด้วย เอาด้วยหมด แต่สุดท้ายพูดไปพูดมาแล้วมันมีการถ่ายทอดปากต่อปาก ขยายวงไปเรื่อยๆ ทุกวัน ทุกวัน คนก็เชื่อในที่สุด แล้วเวลาแกนนำพูดเนี่ยเขาไม่ได้พูดถึงเป้าหมายสุดท้ายที่เขาต้องการนี่ว่าเขาต้องการจะไปตรงไหน แต่พูดแค่ให้รู้สึกไม่ดีต่อสถาบันเท่านั้น อย่างคนจะจัดการกับเจ้าของบ้าน เขาก็ค่อยๆ ใส่ร้ายคนรอบข้างของเจ้าของบ้านก่อน คนรอบข้างมีพฤติกรรมอย่างนั้นอย่างนี้ หรือว่าลำเอียง รักลูกไม่เท่ากัน ฟังตอนแรกก็ยังไม่รู้สึก แต่ฟังไปเรื่อยๆ ก็ เออนะ..ท่ าจะจริง พอคนเริ่มคล้อยตามก็ค่อยมาให้ร้ายเจ้าของบ้าน เห็นไหม...เจ้าของบ้านไมมีจิตใจเป็นธรรม เห็นเราเป็นแค่ข้าทาสบริวาร ก็แล้วแต่จะใช้ถ้อยใช้คำกัน กว่าจะรู้ตัว สุดท้ายคนก็เชื่อไปแล้ว

**เขาได้ประโยชน์อะไรจากการกระทำเหล่านี้ แทนที่จะไปโจมตีการทำงานของรัฐบาลประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการเมืองกัน

ผมเชื่อว่าคนทำเขามีเป้าหมายสูง เกมมันโตขึ้นเรื่อยๆ เข้ามาบริหารประเทศแล้วเคยฟันเงินปีหนึ่งเป็นแสนล้าน แต่วันหนึ่งไม่ได้ หรือไม่มีโอกาสจะทำ เขาก็รู้สึกว่าเขาเสียหาย ทั้งๆ ที่เงินที่เขาได้เนี่ยมันไม่ใช่เงินของเขาเลย คนมันเคยทำได้เขาก็ได้ใจ ตอนแรกก็เป็น ส.ส. พอขยับเป็นรัฐมนตรีมันก็ใหญ่ขึ้น พอเป็นนายกรัฐมนตรีก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำท่าจะใหญ่ไม่พอ ก็หวังมากไปกว่าการเป็นนายกฯ

**หวังจะเป็นเจ้าของประเทศ

ขนาดไม่ได้เป็นยังอยากจะเป็นเลย ขนาดมีตำแหน่งเล็กๆ ยังหวังสูง แล้วถ้ามีโอกาสเขาคงหวังยิ่งกว่านั้น หวังเหมือนที่เฟอร์ดินานต์ มาร์กอส(อดีตประธานนาธิบดีของฟิลิปปินส์) เคยได้ แต่ผมเชื่อว่าการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้นปลอดภัยกว่าวิธีอื่น ปลอดภัยกว่าการปกครองที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะตราบใดที่ประชาชนยังไม่มีความเป็นตัวของตัวเองในการเลือกตั้ง ปล่อยให้คนที่เป็นแค่นักเลือกตั้งเข้ามาสู่อำนาจสูงสูดนี่เป็นเรื่องอันตราย เมื่อเขาคิดว่าอำนาจของสถาบันมีส่วนในการทัดทานสิ่งที่ไม่ชอบธรรม ไม่ถูกต้อง เพราะความศรัทธาของประชาชนต่อสถาบันกษัตริย์ยังมีอยู่มากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นต้องทำลายตรงนี้

จริงๆ แล้วทุกองค์กรทุกสถาบันที่ขัดขวางการแสวงประโยชน์ของนักการเมืองเขาไม่ชอบทั้งนั้น แต่เนื่องจากเขาทำลายทุกองค์กรทุกสถาบันได้หมดแล้ว เขาครอบงำระบบราชการ ไปจนถึงองค์กรอิสระบางแห่ง แต่บางสถาบันยังแข็งแรงอยู่ เช่น สถาบันตุลาการ ไมว่าจะเป็น ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ เขาก็ต้องพยายามทำลายความศรัทธาที่มีต่อสถาบันเหล่านี้ ทำลายสถาบันที่เป็นที่พึ่งของประชาชน เกมมันโตขึ้นเรื่อยๆ จนขึ้นไปถึงสถาบันกษัตริย์

**อาจารย์มองการจัดการปัญหาการบ่อนทำลายความมั่นคงของสถาบัน ของรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ยังไง

ผมว่าสอบตกนะ ตอนที่เข้ามาแรกๆ นี่เขาปฏิญาณตนเลยว่าสิ่งแรกที่เขาจะทำคือการปกป้องสถาบันกษัตริย์ แต่จนถึงเดี๋ยวนี้ จวนจะหมดวาระอยู่แล้วก็ยังไม่เห็นทำอะไร กลายเป็นว่าการจาบจ้วงสถาบันกลับมีมากขึ้นและดูท่าว่าจะจัดการไม่ได้ แล้วที่จัดการไม่ได้ก็เพราะไม่ได้จัดการ ผมเองซึ่งเป็นประชาชนคนธรรมดาต้องไปร้องทุกข์กล่าวโทษ ไปเป็นพยาน ทั้งที่เรื่องนี้ถือเป็นความผิดต่อแผ่นดิน แล้วตามกระบวนการเนี่ยผมไม่ต้องไปร้องหรอก เจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะเจ้าหนักงานของรัฐสามารถร้องทุกข์กล่าวโทษและดำเนินคดีกับคนที่หมิ่นสถาบันได้เลย นอกจากนั้นผมเคยเห็นคำสั่งของผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ระบุว่าหากเจ้าหน้าที่ตำรวจพบเห็นการกระทำที่หมิ่นสถาบันก็สามารถดำเนินคดีได้เลย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เห็นทำอะไรเลย ทั้งๆ ที่มันมีการกระทำที่จาบจ้วงเต็มไปหมด มีแต่ประชาชนที่ไปร้อง แต่ประชาชนทำได้แค่ไปกล่าวโทษแต่ไปร้องทุกข์ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะเจ้าพนักงานรัฐทำได้

**อาจารย์คิดว่าทำไมรัฐบาลไม่จัดการเรื่องนี้ ทั้งๆ เป็นเรื่องสำคัญและถ้าทำจริงจังก็ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนด้วย

เขาทำเหมือนกัน แต่ไม่ได้เอาจริงเอาจัง และไม่ใช่เรื่องที่เขาเล่นจริงๆ เขาก็แค่โหนกระแสเพื่อหวังผลในการเลือกตั้ง ถ้ากระแสติดก็ออกมา เขาอาจมัวแต่ไปยุ่งเรื่องอื่นมั้ง เรื่องจัดงานเลี้ยงหาทุนเข้าพรรค ขายโต๊ะ ได้กี่ล้านกี่ล้าน ตรงนี้คือการให้น้ำหนักความสำคัญ คือเหมือนดีแต่พูด พูดน่ะเก่ง แต่ไม่เห็นทำ แค่พูดหาเสียง

**ตอนนี้ กกต.ก็เตรียมออกระเบียบว่าห้ามนำเรื่องการปกป้องสถาบันมาใช้ในการหาเสียง

ผมสนับสนุนแนวคิดนี้นะ เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วทุกพรรคก็มีหน้าที่ในการปกป้องสถาบันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาพูด เพราะการมาพูดว่าเราจะปกป้องมันจะเหมือนไปกล่าวหาว่าพรรคอื่นเขาไม่ปกป้อง ซึ่งตรงนี้มันจะเป็นประเด็นที่พรรคอื่นจะออกมาตอบโต้แล้วสุดท้ายความเสียหายก็ตกแก่สถาบัน สุดท้ายสถาบันถูกนำมาใช้เป็นประเด็น นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ ผมสนับสนุน กกต.นะที่จะยุบพรรคที่นำสถาบันมาหาเสียง ซึ่งก็คงต้องไปแจงให้ชัดว่าลักษณะไหนเรียกว่าการหาเสียง หลักการก็เหมือนกับเรื่องการซื้อเสียง ถ้าเป็นความผิดเฉพาะตัวก็ว่ากันไป แต่ถ้ากรรมการบริหารพรรครู้เห็นด้วย หรือรู้เห็นแล้วไม่ห้ามปรามก็ต้องถูกยุบพรรค

**ที่เห็นได้ชัดคือพรรคภูมิใจไทยซึ่งขึ้นป้ายหาเสียงว่า ..รวมพลังปกป้องสถาบัน

ผมประท้วงเรื่องนี้มานานแล้วว่าป้ายนี้เอาลงได้ไหม คุณบอกว่า..รวมพลังปกป้องสถาบัน แล้วต่อท้ายด้วยนิรโทษกรรมคนผิด ผมนี่ฉุนกึกเลย เพราะคนผิดนี่ก็หมิ่นสถาบันอยู่ ผมเคยทำจดหมายเปิดผนึกถึงหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยให้เอาป้ายนี้ลงนะ แต่เขาก็เฉย ผมเชื่อว่าเดี๋ยวเขาก็ต้องมาค้าน กกต.เพราะเป็นเรื่องที่เขาใช้หาเสียงอยู่

**แล้วที่ผ่านมาเครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบันที่อาจารย์เป็นประธาน ได้ดำเนินการเรื่องอะไรบ้าง

คือผมเริ่มก่อตั้งเครือข่ายนี้หลังจากเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองเมื่อปีที่แล้ว กิจกรรมของเราก็มีทั้งเรื่องการเฝ้าระวังติดตามผู้ที่แสดงความเห็นจาบจ้วงสถาบัน และการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เผยแพร่พระราชกรณียกิจขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและราชวงศ์ เช่น นำนักศึกษาไปชมโครงการในพระราชดำริ ให้ความรู้เชิงประวัติศาสตร์เรื่องการปกครองของไทย ซึ่งในส่วนของการเฝ้าระวังเนี่ย เมื่อไม่นานมานี้เราได้เปิด สน.ยุติธรรม ในเฟซบุ๊กเพื่อที่จะรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันเพื่อเป็นช่องทางในการแจ้งเหตุสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าควรจะติดต่อไปยังหน่วยงานไหน เมื่อได้รับแจ้งแล้วก็แจ้งต่อไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อดำเนินการต่อไป

นอกจากนั้นล่าสุดผมได้ขยายเครือข่ายเป็นกองกำลังจัดการเว็บไซต์ที่หมิ่นสถาบัน ภายใต้ชื่อว่า 'เครือข่ายพลังแผ่นดิน' ซึ่งจากที่เริ่มก่อตั้งไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงตอนนี้เรามีคนที่สมัครเข้ามาเป็นกองกำลัง 1,000 กว่าคนแล้ว แต่คนที่ลงชื่อยืนยันในการที่จะรับหน้าที่ตรวจสอบอย่างจริงจัง คือเขาเปิดเผยชื่อ เปิดเผยสถานะ และเบอร์ติดต่อกับเรา เพื่อที่จะประสานในการทำงานกันได้เนี่ยมีอยู่ประมาณ 200 คน ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากเครือข่ายเดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งการทำงานก็จะมาช่วยกันตรวจสอบ และเมื่อพบเห็นการกระทำที่มิบังควรเราก็จะแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้หน่วยงานนั้นๆ ดำเนินการต่อไป เช่น เมื่อพบเห็นการแสดงความเห็นที่มีลักษณะจาบจ้วงตามเว็บไซต์ต่างๆ เราก็จะแจ้งไปทางผู้ดูแลเว็บไซต์นั้นๆ เพื่อให้เขาเข้ามาจัดการ เพราะถ้ามีคนแจ้งเตือนเข้ามามากๆเขาก็อาจจะตัดสินใจปิดหน้านั้นๆโดยที่ไม่ต้องรอให้กระทรวงไอซีที (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)สั่งปิด นอกจากนั้นก็แจ้งไปยังไอซีทีด้วย แต่หากถึงขั้นเข้าข่ายล้มสถาบันก็จะแจ้งไปยังดีเอสไอ ซึ่งเชื่อว่าการร่วมแรงร่วมใจกันครั้งนี้น่าจะสามารถสกัดกั้นและจัดการไม่ให้ขบวนการหมิ่นสถาบันเหิมเกริมต่อไปได้
กำลังโหลดความคิดเห็น