“สนธิ” ชี้การเมืองไทยถูกครอบงำโดยระบบ “บริษัทพรรคการเมือง” กำหนดนโยบายเอื้อผลประโยชน์นายทุนพรรค วอนประชาชนใช้ประชาธิปไตย 4 วินาที โดยออกมาใช้สิทธิ “ไม่ประสงค์เลือกพรรคใด” สั่งสอนนักการเมืองเลว
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายสนธิ ลิ้มทองกุล”
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปราศรัยบนเวทีรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ว่ารากเหง้าปัญหาของประเทศไทย คือ ตั้งแต่มีนักการเมืองมาไม่เคยมียุคไหนที่นักการเมืองสร้างบ้านสร้างเมือง มีแต่ขายชาติขายบ้านเมือง โดยเฉพาะยุคอภิสิทธิ์เป็นยุครัฐบาลขายชาติ พรรคการเมืองก็คือบริษัทพรรคการเมือง พรรคประชาธิปัตย์ ก็คือ บริษัทพรรคประชาธิปัตย์ จำกัด มีนายทุนประกอบด้วย กลุ่มน้ำมันปาล์มเถื่อน, เหล้า, โทรคมนาคม, พ่อค้าข้าว
การร่างรัฐธรรมนูญแต่ละครั้งจึงเน้นที่พรรคการเมือง เน้นว่าการเมืองต้องมีพรรคการเมือง ไม่ยอมให้มีผู้สมัครอิสระ เพราะการเมืองระบบพรรคทำให้นายทุนกำหนดทิศทางการ เมืองได้ อำนาจอธิปไตยไม่ได้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ประชาธิปไตยเมืองไทยเป็นประชาธิปไตย 4 วินาที คือ แค่เดินเข้าคูหา กาบัตร หย่อนลงหีบ นั่นคือสิทธิเพียง 4 วินาที พอนับคะแนนได้ใครเป็นรัฐบาลแล้วเราก็ไม่มีสิทธิอีกแล้ว ดังนั้นจึงควรใช้ 4 วินาทีครั้งนี้ กาช่องไม่ประสงค์เลือกพรรคใด ซึ่งจะมีคุณค่าถ้ามีการโหวตโนกันมากขึ้นๆ
นายสนธิกล่าวว่า การเป็นบริษัทพรรคการเมืองในปัจจุบัน มี ส.ส.เอาไว้ยกมือในสภา เอาตัวเลขจำนวน ส.ส.เพื่อจัดตั้งรัฐบาล พรรคเล็กๆ ก็ไปซื้อ ส.ส.มาเข้าพรรคเพื่อเข้าร่วมรัฐบาล เพื่อเข้าไปต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรี ใช้จำนวน ส.ส.ยกมือให้ผ่านนโยบายบริษัทพรรคการเมือง แล้วออกเป็นกฎหมาย เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นบริษัทพรรคการเมือง พรคการเมืองต่างๆต้องการถอนทุนคืน การจะให้ ส.ส.ยกมือเลือกนายกฯ ทำให้คนที่อยากเป็นนายกก็ต้องเอาใจ ส.ส. ต้องเอาใจพรรคร่วมรัฐบาล โดยให้งบประมาณ ต้องหลับตาข้างหนึ่งให้พรรคร่วมรัฐบาลโกงกิน แต่จะหลับตาทั้งสองข้างเมื่อพรรคของตนโกงกินเสียเอง
ปัจจุบัน อำนาจนิติบัญญัติไม่ได้เป็นอิสระ เพราะเสียงมาจาก ส.ส. อำนาจบริหารก็ทำเพื่อผู้ถือหุ้นบริษัทพรรคการเมือง ทำให้ทั้งสองอำนาจเป็นพวกเดียวกัน ทำให้อำนาจตุลาการสั่นคลอนไปด้วย
การเกิดขึ้นของระบอบทักษิณเมื่อปี 2540 เป็นการยืนยันว่าพรรคการเมืองเป็น บริษัทพรรคการเมือง มีทักษิณเป็นเจ้าของ ส่วนการเกิดขึ้นของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็นการยืนยันความล้มเหลวของระบบการเมืองไทยในปัจจุบัน ที่บริหารเพื่อนายทุน ไม่ใช่เพื่อประชาชน มีแต่สร้างภาพให้ตัวเอง สร้างคะแนนนิยมให้ตัวเอง ปล่อยให้มีการเผาบ้านเผาเมือง ทำให้มีคนตายทั้งทหาร ประชาชน เพื่อหวังให้คนเกลียดเสื้อแดงแล้วคะแนนนิยมจะกลับมาหาตนเอง เป็นการกระทำที่อำมหิตมาก
กรณีการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ไม่เคยทำอะไรเลย ปล่อยให้มีคนออกมาจาบจ้วงและหมิ่นสถาบันฯ ต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีต ทั้งนายจักรภพ เพ็ญแข, นายใจ อึ้งภากรณ์, พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย, มาร์ค เอเอฟ 7, ทอม ดันดี, จตุพร พรหมพันธุ์, วิเชียร ขาวขำ และสุพร อัตถาวงศ์ มีแต่การห้อยดหนเจ้าเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้าม มีการโชว์แผนผัง เชื่อมโยงขบวนการล้มเจ้า แจกให้นักข่าว แต่ไม่ดำเนินคดีอะไรเลย ไม่แม้กระทั่งล่าสุดที่นายจตุพร ปราศรัยบนเวทีเสื้อแดง ก็ไม่เคยออกมาพูดอะไรแม้แต่คำเดียวว่าเป็นการกระทำที่ไม่ควร ต้องดำเนินคดี
นายสนธิกล่าวว่า ระบบการเมืองในปัจจุบันล้มเหลว และไปต่อไม่ได้จริงๆ วันนี้ไม่รู้ว่าทักษิณ กับอภิสิทธิ์ใครเลวกว่าใคร เพราะสิ่งที่ทั้งทักษิณ และอภิสิทธิ์ทำต่อการต่อสู้ของพันธมิตรฯ เหมือนกันทุกประการ ตั้งแต่การถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ออกจากช่อง 9 การใช้กระบวนการยุติธรรมกลั่นแกล้งมาตลอด ในยุคประชาธิปัตย์ก็ฟ้องร้องคดีปิดสนามบินว่าเป็นการก่อการร้าย มีการดักฟังโทรศัพท์ มีการให้นักวิชาการออกมาตอบโต้ ในยุคนี้ก็มีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทองออกมาตอบโต้ปกป้องรัฐบาล มีขบวนการปล่อยข่าวลือ ทำลายความชอบธรรม ทำลายความน่าเชื่อถือ วิธีการในยุคทักษิณ และยุคอภิสิทธิไม่ต่างกัน
การเมืองก็ไม่แตกต่างกัน พันธมิตรฯ ไม่ได้ยึดถือตัวบุคคล ไม่ได้ยึดถือความหล่อ แต่ประเทศไทยต้องการนายกฯ ที่รับผิดชอบ ต่อประชาชนทุกคน ไม่ใช่สร้างภาพ 2 ปีกว่าๆ ไม่ทำอะไร แล้วมาอ้างว่าถ้ากลับมาอีกจะทำโน่นทำนี่ แล้วสองปีกว่าที่ผ่านมามัวทำอะไรอยู่ ดังนั้นระบบการเมืองในปัจจุบัน เป็นเพียงเลือก ส.ส.เข้าไปยกมือให้ใครเป็นนายกฯ ผ่านนโยบายให้บริษัทพรรคการเมือง ต่อรองตำแหน่ง ต่อรองผลประโยชน์กันในสภา แล้วจะมี ส.ส.ไว้ทำไม การเลือกตั้งครั้งนี้ เราโหวตโนเพื่อแสดงว่า เราไม่เอาการเมืองแบบปัจจุบัน นี้ จากโพลที่ออกมาระบุว่ามี 36% หรือ 10 ล้านคนเห็นด้วยกับการโหวตโน ตนอยากให้ทั้งสิบล้านคนออกมาใช้สิทธิโหวตโน ไม่อยากให้โนโหวตหรือไม่ไปใช้สิทธิ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราไม่เอานักการเมืองเหล่านี้
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายสนธิ ลิ้มทองกุล”
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปราศรัยบนเวทีรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ว่ารากเหง้าปัญหาของประเทศไทย คือ ตั้งแต่มีนักการเมืองมาไม่เคยมียุคไหนที่นักการเมืองสร้างบ้านสร้างเมือง มีแต่ขายชาติขายบ้านเมือง โดยเฉพาะยุคอภิสิทธิ์เป็นยุครัฐบาลขายชาติ พรรคการเมืองก็คือบริษัทพรรคการเมือง พรรคประชาธิปัตย์ ก็คือ บริษัทพรรคประชาธิปัตย์ จำกัด มีนายทุนประกอบด้วย กลุ่มน้ำมันปาล์มเถื่อน, เหล้า, โทรคมนาคม, พ่อค้าข้าว
การร่างรัฐธรรมนูญแต่ละครั้งจึงเน้นที่พรรคการเมือง เน้นว่าการเมืองต้องมีพรรคการเมือง ไม่ยอมให้มีผู้สมัครอิสระ เพราะการเมืองระบบพรรคทำให้นายทุนกำหนดทิศทางการ เมืองได้ อำนาจอธิปไตยไม่ได้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ประชาธิปไตยเมืองไทยเป็นประชาธิปไตย 4 วินาที คือ แค่เดินเข้าคูหา กาบัตร หย่อนลงหีบ นั่นคือสิทธิเพียง 4 วินาที พอนับคะแนนได้ใครเป็นรัฐบาลแล้วเราก็ไม่มีสิทธิอีกแล้ว ดังนั้นจึงควรใช้ 4 วินาทีครั้งนี้ กาช่องไม่ประสงค์เลือกพรรคใด ซึ่งจะมีคุณค่าถ้ามีการโหวตโนกันมากขึ้นๆ
นายสนธิกล่าวว่า การเป็นบริษัทพรรคการเมืองในปัจจุบัน มี ส.ส.เอาไว้ยกมือในสภา เอาตัวเลขจำนวน ส.ส.เพื่อจัดตั้งรัฐบาล พรรคเล็กๆ ก็ไปซื้อ ส.ส.มาเข้าพรรคเพื่อเข้าร่วมรัฐบาล เพื่อเข้าไปต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรี ใช้จำนวน ส.ส.ยกมือให้ผ่านนโยบายบริษัทพรรคการเมือง แล้วออกเป็นกฎหมาย เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นบริษัทพรรคการเมือง พรคการเมืองต่างๆต้องการถอนทุนคืน การจะให้ ส.ส.ยกมือเลือกนายกฯ ทำให้คนที่อยากเป็นนายกก็ต้องเอาใจ ส.ส. ต้องเอาใจพรรคร่วมรัฐบาล โดยให้งบประมาณ ต้องหลับตาข้างหนึ่งให้พรรคร่วมรัฐบาลโกงกิน แต่จะหลับตาทั้งสองข้างเมื่อพรรคของตนโกงกินเสียเอง
ปัจจุบัน อำนาจนิติบัญญัติไม่ได้เป็นอิสระ เพราะเสียงมาจาก ส.ส. อำนาจบริหารก็ทำเพื่อผู้ถือหุ้นบริษัทพรรคการเมือง ทำให้ทั้งสองอำนาจเป็นพวกเดียวกัน ทำให้อำนาจตุลาการสั่นคลอนไปด้วย
การเกิดขึ้นของระบอบทักษิณเมื่อปี 2540 เป็นการยืนยันว่าพรรคการเมืองเป็น บริษัทพรรคการเมือง มีทักษิณเป็นเจ้าของ ส่วนการเกิดขึ้นของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็นการยืนยันความล้มเหลวของระบบการเมืองไทยในปัจจุบัน ที่บริหารเพื่อนายทุน ไม่ใช่เพื่อประชาชน มีแต่สร้างภาพให้ตัวเอง สร้างคะแนนนิยมให้ตัวเอง ปล่อยให้มีการเผาบ้านเผาเมือง ทำให้มีคนตายทั้งทหาร ประชาชน เพื่อหวังให้คนเกลียดเสื้อแดงแล้วคะแนนนิยมจะกลับมาหาตนเอง เป็นการกระทำที่อำมหิตมาก
กรณีการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ไม่เคยทำอะไรเลย ปล่อยให้มีคนออกมาจาบจ้วงและหมิ่นสถาบันฯ ต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีต ทั้งนายจักรภพ เพ็ญแข, นายใจ อึ้งภากรณ์, พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย, มาร์ค เอเอฟ 7, ทอม ดันดี, จตุพร พรหมพันธุ์, วิเชียร ขาวขำ และสุพร อัตถาวงศ์ มีแต่การห้อยดหนเจ้าเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้าม มีการโชว์แผนผัง เชื่อมโยงขบวนการล้มเจ้า แจกให้นักข่าว แต่ไม่ดำเนินคดีอะไรเลย ไม่แม้กระทั่งล่าสุดที่นายจตุพร ปราศรัยบนเวทีเสื้อแดง ก็ไม่เคยออกมาพูดอะไรแม้แต่คำเดียวว่าเป็นการกระทำที่ไม่ควร ต้องดำเนินคดี
นายสนธิกล่าวว่า ระบบการเมืองในปัจจุบันล้มเหลว และไปต่อไม่ได้จริงๆ วันนี้ไม่รู้ว่าทักษิณ กับอภิสิทธิ์ใครเลวกว่าใคร เพราะสิ่งที่ทั้งทักษิณ และอภิสิทธิ์ทำต่อการต่อสู้ของพันธมิตรฯ เหมือนกันทุกประการ ตั้งแต่การถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ออกจากช่อง 9 การใช้กระบวนการยุติธรรมกลั่นแกล้งมาตลอด ในยุคประชาธิปัตย์ก็ฟ้องร้องคดีปิดสนามบินว่าเป็นการก่อการร้าย มีการดักฟังโทรศัพท์ มีการให้นักวิชาการออกมาตอบโต้ ในยุคนี้ก็มีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทองออกมาตอบโต้ปกป้องรัฐบาล มีขบวนการปล่อยข่าวลือ ทำลายความชอบธรรม ทำลายความน่าเชื่อถือ วิธีการในยุคทักษิณ และยุคอภิสิทธิไม่ต่างกัน
การเมืองก็ไม่แตกต่างกัน พันธมิตรฯ ไม่ได้ยึดถือตัวบุคคล ไม่ได้ยึดถือความหล่อ แต่ประเทศไทยต้องการนายกฯ ที่รับผิดชอบ ต่อประชาชนทุกคน ไม่ใช่สร้างภาพ 2 ปีกว่าๆ ไม่ทำอะไร แล้วมาอ้างว่าถ้ากลับมาอีกจะทำโน่นทำนี่ แล้วสองปีกว่าที่ผ่านมามัวทำอะไรอยู่ ดังนั้นระบบการเมืองในปัจจุบัน เป็นเพียงเลือก ส.ส.เข้าไปยกมือให้ใครเป็นนายกฯ ผ่านนโยบายให้บริษัทพรรคการเมือง ต่อรองตำแหน่ง ต่อรองผลประโยชน์กันในสภา แล้วจะมี ส.ส.ไว้ทำไม การเลือกตั้งครั้งนี้ เราโหวตโนเพื่อแสดงว่า เราไม่เอาการเมืองแบบปัจจุบัน นี้ จากโพลที่ออกมาระบุว่ามี 36% หรือ 10 ล้านคนเห็นด้วยกับการโหวตโน ตนอยากให้ทั้งสิบล้านคนออกมาใช้สิทธิโหวตโน ไม่อยากให้โนโหวตหรือไม่ไปใช้สิทธิ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราไม่เอานักการเมืองเหล่านี้