xs
xsm
sm
md
lg

ขบวนการล้มเจ้าเหิมเกริมเพราะรัฐไม่ทำหน้าที่-ดีแต่พูด !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

เป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างยิ่งที่ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศดำเนินคดีจริงจังกับพวก “ขบวนการล้มเจ้า” ซึ่งมีทั้งฟ้องร้องดำเนินคดีและกดดันให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงไปดำเนินการอย่าชักช้า ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็เริ่ม “ตามน้ำ” ออกมาพูดกันแบบระบุชื่อกันตรงๆว่าใครคือ “หัวโจก” หรือ “หัวหน้าขบวนล้มเจ้า” ทำให้ดูเหมือนว่าวันนี้ทุกฝ่ายเริ่ม “ตื่นตัว” เอาจริงเอาจังกันมากขึ้น

อย่างไรก็ดีก็ต้องติดตามจับตาดูกันต่อไปว่าจะทำได้จริงแค่ไหน หรือเป็นแค่ทำเพื่อลดกระแสกดดันจากชาวบ้านที่รู้ทันและทนไม่ไหวกับพฤติกรรมเหิมเกริม “จาบจ้วง” ไปถึง “พระเจ้าอยู่หัว” และ “สมเด็จพระราชินี” เพราะพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ถือว่ามีเป้าหมายเพื่อล้มล้างอย่างชัดเจน และที่สำคัญเป็นการกระทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ

หากวิเคราะห์เฉพาะคำพูดของ “ไอ้ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ “หัวโจก” คนเสื้อแดง และ ส.ส.พรรคเพื่อไทยบนเวทีการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อค่ำวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมาเมื่อเปรียบเทียบกับขบวนการนี้ รวมไปถึงเป้าหมายของ “หัวหน้าขบวนการล้มเจ้า” แล้วยังถือว่า “กระจอก” หรือระดับ “ธรรมดา” มาก เพราะหากวิเคราะห์จากท่าทีและเป้าหมายของ จตุพรในวันนั้น “สาเหตุหลัก” ล้วนเป็นเรื่อง “ส่วนตัว” นั่นคือการ “ยกระดับตัวเอง” ให้ขึ้นมามีความสำคัญในสายตา “นายใหญ่” เพื่อให้ตัวเองมีความโดดเด่นเหนือกว่า “หัวโจก” คนเสื้อแดงคนอื่นที่ออกมาจากคุกชั่วคราวแล้ว และถ้าให้โฟกัสเจาะลึกเข้าไปในใจของจตุพรแล้วก็น่าจะให้โดดเด่นกว่า “ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ” ขวัญใจแม่ยกเสื้อแดงหรือแม้กระทั่งนายใหญ่ เพราะต้องไม่ลืมว่าเวลานี้กำลังเข้าสู่กระแสเลือกตั้ง มันย่อมมีความหมายทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง มีความหมายต่อบทบาทในพรรคเพื่อไทยด้วย มองกันออกไม่มีอะไรซับซ้อน

ดังนั้นเมื่อเป้าหมายอยู่ตรงนั้นก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ “เข้าตานาย” ในที่นี้เมื่อนายมุ่งโจมตีใส่ร้าย ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งทางตรงและทางอ้อมมาตลอด ก็ต้อง “เสี่ยง” เดินในเส้นทางนี้ เพราะยิ่ง รุนแรง สามารถทำลายสั่นสะเทือนได้แรงเท่าไหร่มันก็ “ยิ่งได้ราคา” มากขึ้นตามไปด้วย

นาทีนี้ไม่ต้องมาตอบโต้หรือชี้แจงว่าคำพูดของ จตุพร พรหมพันธุ์ ในวันนั้นมีการ “จาบจ้วง” ไปถึง พระมหากษัตริย์ และสมเด็จพระราชินีหรือไม่ เพราะแม้ว่าไม่ได้ระบุตรงๆ แต่ถ้าพิจารณาในคำพูดโดยรวมตั้งแต่ต้นจนจบแล้วมันมีความหมายชัดเจน เช่น คำว่า “กระสุนพระราชทาน” ทหารรักษาพระองค์ ทหารเสือพระราชินี นั้นสื่อถึงอะไร คนที่พอมีความคิดอยู่บ้างรับรองว่าต้องเข้าใจกันทุกคน

อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาหากพิจารณากันถึงต้นตอจริงๆที่ทำให้พวก ขบวนการล้มเจ้าเหิมเกริม เติบใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้ แม้ระดับปลายแถวอย่าง “ไอ้ตู่” ยังกล้าทำกับเรื่องใหญ่ๆ ที่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ลากโยงย้อนไปถึงรุ่นปู่ยาตาทวดของมันที่ล้วนให้ความเคารพได้ถึงขนาดนี้

ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งมันสะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายบ้านเมืองเจ้าหน้าที่ของรัฐที่รับผิดชอบโดยตรงทั้งรัฐบาล ตำรวจ ทหารที่เรียกว่ารัฐบาลของพระเจ้าอยู่หัว ตำรวจของพระเจ้าอยู่หัว ทหารของพระเจ้าอยู่หัวล้วนแล้วแต่ไม่ได้ทำหน้าที่จริงจัง มิหนำซ้ำบางครั้งยังมีคนพวกนี้ “รู้เห็นเป็นใจ” เสียอีกมันก็ทำให้เกิด “พฤติกรรมเอาอย่าง” ประเภทจาบจ้วงแล้ว “ได้ รางวัล” ปัญหาถึงได้ลุกลามบานปลาย และที่สำคัญถูกนำมาบิดเบือนอ้างว่าเป็นเรื่อง “การเมือง” ทั้งที่ทั้งคำพูดและความหมายมันชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องการสื่อความหมายเพื่อโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน ไม่ต้องมาเฉไฉให้เป็นเรื่องอื่น ทำให้ชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คล้อยตามไปคนละเรื่อง

สรุปก็คือทุกอย่างที่ลุกลามบานปลายอยู่ทุกวันนี้มีสาเหตุเป็นเพราะความ “ไม่เอาไหน” ของรัฐบาลไล่ลงมาตั้งแต่นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ รวมไปถึงฝ่ายกองทัพ ตำรวจ และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องที่ไม่ทำหน้าที่อย่างจริงจัง เด็ดขาดเหมือนกับยุคสมัยที่ผ่านมาที่ไม่มีใครกล้าแตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะหากจำกันได้ไม่ว่าใครก็ตามหาก “บังอาจ” จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องเจอกับการ “ตบเท้า” กดดันที่เข้มข้น เป็นการแสดงให้เห็นว่า “อย่ามายุ่ง” เป็นอันขาด

นาทีนี้ถ้าพิจารณากันตามความเป็นจริงในภาพรวมกรณีของ จตุพร พรหมพันธุ์ ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เพราะมันถือว่าเป็นพวก “ระดับปลายแถว” ที่ต้องการยกระดับตัวเองขึ้นมาให้มีความสำคัญในสายตาของ “เจ้านาย” เท่านั้น
สำหรับตัว “หัวโจกใหญ่” ที่อยู่เบื้องหลังและถือว่าเป็น “หัวหน้าขบวนการล้มเจ้า” คือ “ทักษิณ ชินวัตร” กลับไม่มีใครกล้าจัดการให้เด็ดขาด หากพิจารณากันง่ายๆและมีระเบียบที่ต้องปฏิบัติกันได้อยู่แล้ว เช่น กรณีถอดยศสำหรับผู้กระทำความผิดที่คดีถึงที่สุดแล้วจนบัดนี้ก็ไม่ดำเนินการไปถึงไหน เวลานี้ ก็ยังใช้ยศ พันตำรวจโท กันหน้าตาเฉย การปล่อยให้เวลาล่วงเลย และตื่นตัวเป็นบางครั้งมันก็ถูกแปรเจตนาเป็นเรื่องการเมือง หาว่าเป็นการกลั่นแกล้ง ทั้งที่มีระเบียบปฏิบัติตามปกติ ไม่มีใครเป็น “อภิสิทธิ์ชน” เหมือนกับที่มักชอบกล่าวหาคนอื่น

ดังนั้นหากจะตื่นตัวเอาจริงเอาจังกับคนพวกนี้มันก็ต้อง “กวาดล้าง” ให้หมด และทำอย่างต่อเนื่องจริงจังและให้ครบถ้วน ทั้งตัวบุคคลและองค์ประกอบเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับการจาบจ้วงที่มีทั้งวิทยุชุมชน เว็บไซต์ที่มีอยู่กลาดเกลื่อน เพราะถ้าดำเนินการมาตั้งแต่ต้น ทำตามกฏหมายอย่างเคร่งครัดทุกอย่างก็จะไม่บานปลายจนทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องสั่นคลอน หากจะกล่าวโทษก็ต้องตำหนิฝ่ายรัฐบาลและผู้นำกองทัพทั้งในอดีตและปัจจุบันนั่นแหละที่ไม่ทำหน้าที่ และดีแต่พูดเท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น