ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังเหตุการณ์ “แดงเผาบ้านเผาเมือง” เหตุการณ์การเมืองที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย คงไม่มีใครคาดคิดว่า มวลชนคนเสื้อแดงจะกลับมาสร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับคนไทยได้อีกครั้ง เนื่องเพราะบรรดา “โจกแดง” ถูกจับกุมคุมขังจนแทบไม่มีหัวขบวนในการขับเคลื่อนทางการเมือง
แต่แล้วด้วยความ “อ่อนหัด” และภาวะ “เด็กเล่นขายของ” ของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ภายใต้คำแนะนำของ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงที่ตัดสินใจเล่นเกม “ปรองดอง” โดยให้ประกันตัว “โจกแดง” ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างจากการปล่อยตัวออกมา ได้ส่งผลทำให้มวลชนคนเสื้อแดงมีความเข้มแข็งขึ้นมาในฉับพลันทันที
และความเข้มแข็งดังกล่าวก็ได้สร้างความสะเทือนให้กับสังคมไทยอย่างเห็นกันในชั่วเคี้ยวหมากแหลก เพราะกองทัพแดงที่บังเกิดความฮึกเหิมพร้อมที่จะปฏิบัติการชิงบ้านชิงเมืองให้กับนายใหญ่ รวมทั้งปฏิบัติการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงโดยที่มิต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป
ดังจะเห็นได้จากการที่ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ผู้นำสูงสุดแห่งกองทัพแดงประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำผ่านบทสัมภาษณ์ในเว็บไซต์หนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอนัลที่บ้านพักในนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า “ถ้าหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นเร็วๆ นี้ เป้าหมายที่รัฐบาลต้องดำเนินการทันทีคือการปรับลดภาษีและผลักดันนิรโทษกรรมผู้ต้องหาคดีการเมืองทุกคนจากเหตุความวุ่นวายในประเทศไทยตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา”
แน่นอน การนิรโทษกรรมดังกล่าวย่อมหมายรวมถึงตัวของ นช.ทักษิณเองด้วย ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของตัวเองชนิดหมดเปลือกว่า ต้องการเป็น “ไพร่ตัวพ่อ” ที่อยู่เหนือกฎหมาย กลายเป็น “ไพร่ตัวพ่อ” ที่ต้องโทษแล้วไม่ต้องรับโทษตามกฎหมายพร่ตัวพ่อ"ือกฎหมาย กลายเป็นุแท้ของตัวเองชนิดหมดเปลือกว่า ต้องการเป็น "
และการที่ นช.ทักษิณประกาศด้วยความมั่นใจเช่นนี้ ย่อมมิอาจมองเป็นอื่นได้ว่า เขามั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เป็นผลสำเร็จและพร้อมทั้งกลับมาเป็นใหญ่ในแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทยอีกครั้ง ซึ่งนายห้างตราดูไบผู้นี้ก็ประกาศออกมาชัดเจนแล้วว่า เขาต้องการจบเกมด้วยการให้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลเพื่อที่จะได้นำตัวเขากลับบ้านโดยที่ไม่ต้องรับโทษ รวมทั้งกลับมามีบทบาทสำคัญในการบริหารประเทศ
นอกจากนี้ในอีกท่อนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ นช.ทักษิณผู้นี้ยังเรียกร้องให้ยกเลิกวัฒนธรรมการเซ็นเซอร์ของสื่อมวลชน ซึ่งแน่นอนว่า นช.ทักษิณมิได้หมายถึงการเซ็นเซอร์การนำเสนอข่าวโดยทั่วไป หากแต่เป็นการยกเลิกการเซ็นเซอร์ที่ทุกคนรู้ดีว่า เขาหมายถึงสถาบันไหนในประเทศไทย ดังจะเห็นได้จากคำพูดของเขาก่อนหน้านี้ที่มีเจตนาท้าชนสถาบันมาโดยตลอด
แน่นอน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชามิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบ เพราะความกล้าแข็งของกองทัพแดงทุกวันนี้มีผลโดยตรงมาจากการ “ดีแต่พูด” ปกป้องประเทศชาติและสถาบันด้วย “ปาก” โดยที่ไม่เห็นถึงรูปธรรมในการดำเนินการแม้แต่ครั้งเดียว
รวมทั้งเป็นความเข้มแข็งที่นำมาซึ่งการปราศรัยของ “เดอะคางคก-นายจตุพร พรหมพันธุ์” บนเวทีปราศรัยของม็อบแดงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. โดยประกาศอย่างไม่เกรงกลัวว่า.... “ผมเตือนคุณแล้วไม่ใช่หรือ ผมบอกว่าคุณจะเอาหน่วยไหนมาฆ่าผม คุณใช้งบประมาณ 6,000 ล้าน คุณเอาหน่วยไหนมาฆ่า พวกผมยังไม่เจ็บปวด ยกเว้นสองหน่วยอย่าเอามาฆ่าผมได้ไหม คือ หนึ่งทหารรักษาพระองค์ และสองทหารเสือพระราชินี เพราะพวกเรามีความเจ็บปวด (เสียงโห่ของมวลชนเสื้อแดง จากนั้นเสียงขาดหาย) ... ว่าเป็นกระสุน........(เซ็นเซอร์)ใช่ไหม ...”
ความง่อยเปลี้ยเสียขาของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ใช่หรือไม่ ที่ส่งผลทำให้นายจตุพรกล้าพูดเยี่ยงนี้ โดยเฉพาะคำว่า “กระสุน.....” ที่นายจตุพรบิดเบือนอย่างหน้าด้านๆ ด้วยเจตนาที่ต้องการสื่อให้มวลชนคนเสื้อแดงรับทราบว่า ใครอยู่เบื้องหลังความตายของคนเสื้อแดง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ต้องไม่ลืมว่า คนเสื้อแดงมีกองทัพที่มีอาวุธสงครามเป็นของตนเอง ไม่ใช่การชุมนุมตามหลักสงบ สันติ อหิงสา
เหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง เผาเซ็นทรัลเวิลด์ และเผาศาลากลางจังหวัดอีกหลายแห่งคือประจักษ์พยานการกระทำของกองทัพแดงได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ความไม่เอาไหนของนายอภิสิทธิ์ยังทำให้บนเวทีเดียวกัน นายจตุพรถึงกับพูดออกมาอย่างมีเจตนาที่จะหมายถึงสถาบันเบื้องสูงโดยตรง เพราะการที่นายจตุพรประกาศว่า “อยากไปออกรายการของนายวู้ดดี้ (วุฒิธร มิลินทจินดา) บ้าง เพราะคนเสื้อแดงไม่ได้เกิดมาคุย แต่เกิดมาตาย” นายจตุพรย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ต้องการสื่อสารไปถึงใคร และเจตนาให้คนเสื้อแดงรับทราบสารที่สื่อออกไปในลักษณะไหน
แน่นอน แม้นายจตุพรจะไม่ได้บ่งบอกเหตุผลชัดๆ ว่าทำไมถึงออกไปออกรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย แต่วิญญูชนผู้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ย่อมรู้ดีว่า ผู้ที่นายจตุพรหมายถึงนั้น เป็นใคร
เชื่อหัวไอ้เรืองได้เลยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่กล้าทำอะไรหัวขบวนคนเสื้อแดงอย่างนายจตุพร
และอีกคำพูดในอีกช่วงหนึ่งที่สะท้อนในหัวอกของประชาชนชาวไทยอย่างแสนสาหัสไม่แพ้กันก็คือ คำพูดที่ว่า.....
“มีประเทศไหนบ้างในโลกนี้ ฆ่าลูกเพื่อปกป้องพ่อ ฆ่าลูกเพื่อพ่อ ฆ่าลูกเพื่อแม่ มีไอ้ประเทศบ้าประเทศนี้ประเทศเดียว ... เราไม่เคยล้มสถาบันเลย แต่เขาเอาทหารเสือราชินี ทหารรักษาพระองค์มาฆ่าเรา มาฆ่าเรา มาฆ่าเรา ...”
วิญญูชนย่อมรู้อีกเช่นกันว่า คำว่า “ฆ่าลูกเพื่อปกป้องพ่อ ฆ่าลูกเพื่อพ่อ ฆ่าลูกเพื่อแม่” นั้น นายจตุพรหมายความว่าอย่างไร
และในเวทีเดียวกันนั้นเอง นายประแสง มงคลศิริ อดีต ส.ส.อุทัยธานี พรรคพลังประชาชน ก็ได้ขึ้นปราศรัยเกี่ยวกับการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมราชานุภาพ เรียกว่า เป็นปฏิบัติการท้าชนฟ้าอย่างซึ่งๆ หน้าๆ แม้จะไม่โดยตรงแต่ทุกคนย่อมรู้ว่า การที่กองทัพแดงมีความเหิมเกริมเช่นนี้ เป็นเพราะพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาจะชนะทั้งการเลือกตั้งและชนะทั้งเกมชิงบ้านชิงเมือง
เชื่อหัวไอ้เรืองได้เลยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่กล้าทำอะไรหัวขบวนคนเสื้อแดงอย่างนายจตุพร
เช่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกที่ประกาศนักประกาศหนาว่าจะจัดการกับคนล้มสถาบันก็คงไม่สามารถทำอะไร เพราะติดเชื้อร้าย “ดีแต่พูด” จากนายอภิสิทธิ์ไปเรียบร้อยแล้ว
ประจักษ์พยานที่ยืนยันว่าดีแต่พูดก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ทำได้เพียงแค่พูดว่า “ผม ขอรับประกันด้วยเกียรติและชีวิตว่า สถาบันไม่เคยยุ่งเกี่ยวในทุกเรื่อง ซึ่งบุคคลใด ที่มีเจตนาไม่ดีต่อสถาบัน ขอให้ไม่ประสบความสำเร็จ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ต้องออกมาช่วยกันไม่ให้คนบางกลุ่ม ทำให้สถาบันเสียหาย และทำร้ายอีก”
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ แล้วพล.อ.ประยุทธ์ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารบก เคยถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าธงชัยเฉลิมพลล่ะ ทำอะไรเพื่อเป็นการปกป้องสถาบันบ้างนอกจากการพูด
และผลพวงของการดีแต่พูด ได้ส่งผลทำให้เวลานี้สถาบันหลักของชาติอย่างสถาบันพระมหากษัตริย์ตกอยู่ในอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนท่าทีและความเคลื่อนไหวของ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ประกาศจะดำเนินคดีกับนายจตุพร โดยระบุว่า พบถ้อยคำส่อไปในทางดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูงอย่างรุนแรงนั้น คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ดีเอสไอจะทำจริงดังว่าหรือไม่ เพราะคดีหมิ่นเบื้องสูงจำนวนมากก่อนหน้านี้ก็มิได้คืบหน้าให้เห็นผลในเชิงรูปธรรมเลยแม้แต่น้อย