ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การจัดงานครบรอบ 1 ปี การสลายการชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ของคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา พิสูจน์อย่างชัดเจนอีกครั้งว่า แผนปรองดองที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หยิบยื่นให้คนเสื้อแดงหลังจากเหตุการณ์เผาเมืองเมื่อปี 2553 ที่ผ่านมานั้น ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ตามแผนปรองดองที่นายอภิสิทธิ์อ้างว่าจะช่วยยุติความขัดแย้งระหว่างฝ่ายต่างๆ ลงนั้น ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนการสลายการชุมนุมโดยอ้างว่าเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เอาเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายเป็นค่าเยียวยาให้ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บระหว่างการชุมนุม รวมทั้งออกมติ ครม.ให้เห็นชอบการช่วยประกันตัวคนเสื้อแดงที่ถูกจับกุม จนในที่สุดแกนนำคนเสื้อแดง 7 คนที่ถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายก็ได้รับการประกันตัวออกมาใช้ชีวิตอยู่นอกคุกได้อย่างลอยนวล ตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554 หลังจากที่คนของรัฐบาลไปให้การต่อศาลเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายจำเลย ส่วนผู้ต้องหาคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่แกนนำ ก็ได้รับการประกันตัวเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายทั้งหมด 28 คน
แต่ทันทีที่ 7 แกนนำคนเสื้อแดงออกมาอยู่นอกคุกก็ประกาศชัดเจนว่าจะสู้เพื่อนายใหญ่ ทักษิณ ชินวัตร ต่อไปภายใต้ข้ออ้างว่าสู้เพื่อประชาธิปไตย และจะทำทุกอย่างให้คนเสื้อแดงที่ถูกจำคุกอยู่ทั่วประเทศ หลังจากนั้น แกนนำบางคนก็ไปขึ้นเวทีปราศรัยในที่ชุมนุมคนเสื้อแดง โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 12 มีนาคม มีการกล่าวโจมตีระบบกระบวนการยุติธรรมไทย ยุยงให้เกลียดชังตำรวจ-ทหาร ซึ่งถือว่าเข้าข่ายปลุกปั่นประชาชน อันเป็นการผิดเงื่อนไขการประกันตัวที่ศาลวางไว้
แต่เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษยื่นขอถอนการประกันตัว ศาลได้ยกคำร้อง เพราะขั้นตอนของคดีเลยชั้นพนักงานสอบสวนไปแล้ว หากจะมีการยื่นขอถอนประกันต้องเป็นหน้าที่ของพนักงานอัยการ ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าอัยการนั้นมีคนของระบอบทักษิณอยู่เต็มไปหมด ทั้ง 7 แกนนำเสื้อแดงจึงยังสามารถเคลื่อนไหวนอกคุกเพื่อนายใหญ่ได้ต่อไป
การเปิดเวทีที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 10 เมษายน สะท้อนให้เห็นว่า ความขัดแย้งที่นายอภิสิทธิ์ฝันเฟื่องว่าจะขจัดหมดไปด้วยแผนปรองดองนั้น ยังคงดำรงอยู่ ณ จุดเดิม เหมือนกับที่เป็นอยู่เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว และความขัดแย้งจะทวีความเข้มข้นรุนแรงยิ่งขึ้น หากรัฐบาลยังไม่ให้ข้อมูลที่เป็นจริงแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง ทั้งนี้เพราะฝ่ายทักษิณ ชินวัตร ต้องการเดินหน้าทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้กลับสู่อำนาจและได้ทรัพย์สิน 4.6 หมื่นล้านกลับคืน หลังจากถูกศาลตัดสินให้ยึดเข้าหลวงอันเนื่องมาจากพฤติกรรมทุจริตระหว่างเป็นนายกรัฐมนตรี
ตั้งแต่ช่วงบ่ายของการเปิดเวทีเสื้อแดงวันนั้น ฝ่ายคนเสื้อแดงไม่ได้แสดงออกถึงความต้องการสมานฉันท์ปรองดองกับรัฐบาลแม้แต่น้อย แต่กลับเพิ่มดีกรีความขัดแย้งยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยการนำนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขาณุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ต้องหาคดีเผยแพร่วิดีโอคลิปใส่ร้ายศาลรัฐธรรมนูญว่าให้การช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์ในคดียุบพรรค ไปขึ้นเวทีปราศรัยเหน็บแนมกระบวนการยุติธรรมไทย โดยอ้างว่าถ้าเปรียบกับการแข่งขันฟุตบอล ก็เหมือนกรรมการคอยช่วยเหลือบางทีมและกลั่นแกล้งอีกทีมที่เป็นคู่แข่งตลอด และคอยตัดสินตามความต้องการของเจ้าของสนาม คอยฟังคำสั่งจากผู้จัดการสนามตลอด โดยมี“มือวิเศษ”คอยบงการช่วยเหลือบางฝ่ายอยู่ตลอด
เมื่อตกเย็น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดง และเป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายอีกคนหนึ่งที่ไม่ต้องเข้าคุกเพราะเป็น ส.ส. ได้ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยในลักษณะที่หมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงในหลายประเด็น อาทิ การกล่าวหาว่า เอาทหารรักษาพระองค์ และสองทหารเสือพระราชินีมายิงคนเสื้อแดง, การเปรียบเปรยว่าเป็นการฆ่าลูกเพื่อปกป้องพ่อ ฆ่าลูกเพื่อพ่อ ฆ่าลูกเพื่อแม่, การกล่าวกระทบกระเทียบว่าอยากไปออกรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย เป็นต้น
พอถึงเวลาค่ำ ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าใหญ่ของคนเสื้อแดงได้วิดีโอลิงก์จากตะวันออกกลางมายังเวทีที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กล่าวยกย่องสดุดีคนเสื้อแดงที่บาดเจ็บและเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ว่าเป็นผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรม ขณะเดียวกันก็กล่าวหาว่าทหารเป็นฝ่ายใช้ปืนสไนเปอร์ยิงคนเสื้อแดงจนเสียชีวิต ซึ่งเขากำลังให้ทนายความฝรั่งที่จ้างมาทำการยื่นฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ
นอกจากนั้น ทักษิณยังพูดเหน็บแนมว่าการเลือกตั้งที่จะมาถึงต้องเป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์เป็นธรรม เคารพการตัดสินใจของประชาชน ไม่ใช่ให้กรรมการที่ตั้งมาไม่กี่คนทำลายการตัดสินใจของประชาชน ซึ่งโดยนัยก็คือการให้ร้ายต่อระบบยุติธรรมของไทยอย่างที่เคยทำมาตลอดนั่นเอง
หลังจากทักษิณ ชินวัตร วิดีโอลิงก์เสร็จ แกนนำคนเสื้อแดงที่เพิ่งออกมาจากคุก และอยู่ภายใต้เงื่อนไขการประกันตัวของศาล ไม่ว่าจะเป็นนายเหวง โตจิราการ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ขึ้นมาปราศรัยต่อ และยังคงตอกย้ำข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์สั่งให้ทหารฆ่าประชาชนระหว่างการชุมนุมในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 โดยใช้เงินงบประมาณไป 6 พันล้านบาท ขณะเดียวกันก็พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงกรณีการเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ และอีกหลายกรณี ซึ่งพฤติการณ์แบบนี้น่าจะเข้าข่ายผิดเงื่อนไขการให้ประกันตัวของศาล
ไม่เพียงเท่านั้น นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความชาวแคนาดาที่ทักษิณ ชินวัตร ว่าจ้างมาสร้างภาพลักษณ์ให้เขาในต่างประเทศและนำคดีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงไปฟ้องต่อศาลโลก ได้วิดีโอลิงก์มายังเวที อวดอ้างว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเป็นต้นแบบในการลุกขึ้นสู้กับรัฐบาลเผด็จการในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก พร้อมกล่าวหาว่าทหารใช้สไนเปอร์ยิงคนเสื้อแดงเสียชีวิต ซ้ำยังบิดเบือนว่า รัฐบาลได้ออกกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาเพื่อคุกคามประชาชน ทั้งที่มาตราดังกล่าวมีมานานแล้ว และไม่ได้ใช้กฎหมายนี้ไปคุกคามใคร ยกเว้นมีไว้จัดการกับคนที่จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงเท่านั้น
เท่านั้นยังไม่พอ ผู้ปราศรัยบนเวทีคนอื่นๆ ยังคงปราศรัยด้วยถ้อยคำหยาบคาย และกล่าวเหน็บแนมสถาบันเบื้องสูง ตลอดจนกระบวนการยุติธรรมของประเทศตามเคย ไม่ว่าจะเป็นนายทอม ดันดี นายวันชนะ เกิดดี ดารานักร้องที่หันมาเอาดีในการรับใช้ทักษิณ ชินวัตร
การจัดงานของคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2554 น่าจะทำให้นายอภิสิทธิ์ ได้ตาสว่างเสียที ว่าคนเสื้อแดงไม่ได้ใส่ใจไยดีต่อแผนปรองดองแม้แต่น้อย นั่นเพราะเป้าหมายเดียวของคนเสื้อแดงคือการสนองตอบความต้องการของทักษิณ ชินวัตร ที่จะกลับเข้ามามีอำนาจโดยปราศจากความผิดและได้ทรัพย์สินกลับคืนเท่านั้น