xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ตุ๊ดตู่” ท้ารบสถาบัน สงครามครั้งสุดท้ายของ “นายใหญ่”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ออกอาการ “แก้เกี้ยว” กันอย่างหน้าด้านๆ สำหรับการยกโขยงกันไปแจ้งความกลับของพลพรรคเสื้อแดง นำโดย “จตุพร พรหมพันธุ์” แอนด์เดอะแก๊ง อันประกอบด้วย 2 หัวโจกอย่าง “นายวิเชียร ขาวขำและนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์” เพราะทำท่าว่า อาการปากสามหาวของเดอะคางคกแอนด์เดอะแก๊งที่ถูก “พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบกแจ้งความในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจากการปราศรัยบนเวทีเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อ “พรรคเพื่อไทย”

เพราะงานนี้ปฏิเสธกันไม่ออกว่า พรรคเพื่อไทยและม็อบเสื้อแดงไม่ได้มีส่วนรู้เห็นซึ่งกันและกัน เนื่องจาก 2 ใน 3 ผู้ต้องหาตามคำแจ้งความของ พล.อ.ประยุทธ์ คือ นายจตุพรที่นอกจากเป็นแกนนำนปช.แล้วยังมีสถานะเป็น ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และนายวิเชียร ขาวขำที่ดำรงสถานะทางการเมืองเป็น ส.ส.จังหวัดอุดรธานีของพรรคเพื่อไทย

ดังเช่นที่ “เสธ.ไก่อู-พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด” โฆษกกองทัพบก ระบุว่า “ความจริงผู้ที่จาบจ้วงสถาบันมีไม่มาก มีเพียงคนกลุ่มเดียวเท่านั้น อยากให้พิจารณากัน มองให้ลึกว่ากลุ่มคนเหล่านี้ทำงานเพียงลำพึงหรือมีกลุ่มการเมือง พรรคการเมืองหรืออะไรก็แล้วแต่ที่มีการทำงานที่สอดคล้องกับบุคคลที่พยายามจาบจ้วงหรือไม่”

และถ้าจะให้ชัดกว่านี้ก็ดังเช่นที่ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีที่ผู้สื่อข่าวถามถึงการที่ พ.ต.อ.ทักษิณ ชินวัตร ออกมาทวีตว่า ปีใหม่แล้วสงกรานต์แล้วไม่ควรมาสาดโคลนในเรื่องของสถาบันว่า “คุณทักษิณน่ะตัวดี ต้องหยุดสักที หยุดสั่งเสียที ผมฝากไปเลย นี่ก็ทำความผิดอยู่ในประเทศหลายเรื่องแล้ว เขาก็บันทึกมา ผมก็เห็นอยู่ เวลาโทรศัพท์ไปพูดว่าแดงประเทศโน้นประเทศนี้ ใช้คำก็ไม่เหมาะสมทั้งหมด คุณทักษิณเลิกสั่งการเสียที”

ไม่เช่นนั้นแล้ว“นายปลอดประสพ สุรัสวดี” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย คงมิต้องรีบออกมาปฏิเสธถึงความเกี่ยวพันเป็นพัลวันว่า “พรรคไม่เกี่ยวข้อง ขอให้เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของนายจตุพรและพล.อ.ประยุทธ์”

เพราะคนอย่างนายปลอดประสพย่อมรู้ดีว่า สิ่งที่นายจตุพรพูดนั้นหมายถึงอะไร

แต่สำหรับพรรคเพื่อไทยแล้ว แม้จะเขียนแถลงการณ์สวยหรูแก้ตัวว่า “พรรคไม่เกี่ยวข้องกับ ส.ส.ของตัวเองที่ปราศรัยหมิ่นสถาบัน  เพราะพรรคเพื่อไทยยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่ได้มีการอยู่เบื้องหลัง พรรคเพื่อไทยไม่สนับสนุน รวมถึงไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่จาบจ้วงสถาบัน หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หากมีหลักฐานว่าบุคคลใดมีการกระทำดังกล่าว ก็ขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย”

ทว่า นั่นเป็นเพียงคำแถลงการณ์ที่ฟังไม่ขึ้นด้วยประการทั้งปวง เพราะพรรคเพื่อไทยมิอาจปฏิเสธความรู้เห็นได้ถึงรากแห่งความคิดของนายใหญ่ ม็อบเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ เพราะความจริงมีอยู่ว่า นายใหญ่ ม็อบเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยคือเนื้อเดียวกัน แถมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาต่างฝ่ายต่างก็มีเป้าหมายทางการเมืองเหมือนกัน เพียงแต่แบ่งแยกกันทำงานเพื่อให้บรรลุถึง “ความฝันอันสูงสุด” คือการสถาปนารัฐไทยใหม่

เพราะถ้าหากพรรคเพื่อไทยมีเจตนาที่บริสุทธิ์จริง เหตุใดจึงปล่อยให้สมาชิกของตนเองขึ้นเวทีเสื้อแดงไปปราศรัยจาบจ้วงสถาบันทั้งทางตรงและทางอ้อมครั้งแล้วครั้งเล่าโดยมิได้มีการตักเตือนหรือห้ามปรามแต่ประการใด

ดังนั้น การที่ นช.ทักษิณประกาศให้แยกบทบาทของพรรคเพื่อไทยออกจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงจึงเป็นเพียงการเล่นละครตบตาทางการเมืองเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว ม็อบแดงและพรรคเพื่อไทยคืออันหนึ่งอันเดียวกัน โดยเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ภายหลังจากมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง แกนนำ นปช.จำนวนไม่น้อยก็จะแปรสภาพกลายเป็นผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย

ทั้งนี้ สิ่งที่ยืนยัน รวมถึงเป็นประจักษ์พยานของความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับม็อบแดงได้เป็นอย่างดีก็คือ คำให้สัมภาษณ์ของ “รองโรมานอพ” พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทยที่ระบุว่า “พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้บอกว่าให้แยกกันเด็ดขาด แต่บอกว่าเป็นกลุ่มคนที่ประสงค์อย่างเดียวกันคือความยุติธรรมที่เป็นมาตรฐานเดียว ดังนั้น ต้องมีการทำงานคู่ขนาน แต่ต้องแยกบทบาทให้ดี ทั้งนี้ ยอมรับว่าคนเสื้อแดงแบ่งเป็น 2 ส่วนคือคนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยและกลุ่มที่มาเรียกร้องประชาธิปไตยที่ไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ”

แปลไทยเป็นไทยอีกทีได้ว่า ม็อบแดงกับพรรคเพื่อไทยคือก๊วนเดียวกัน เพียงแต่แยกกันทำงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์สูงสุด

และแปลไทยเป็นไทยได้อีกว่า ผู้นำที่แท้จริงของพรรคเพื่อไทยกับม็อบแดงคือ นช.ทักษิณ เพราะมิฉะนั้นแล้วเขาจะไม่สามารถชี้นิ้วสั่งการให้ทั้งสองทัพเคลื่อนพลไปในทิศทางที่เขาต้องการได้

หรือคำพูดทวงบุญคุณของ “นายก่อแก้ว พิกุลทอง” หนึ่งในแกนนำม็อบแดงที่บอกว่า "มวลชนคนเสื้อแดงก็เป็นมวลชนของพรรคเพื่อไทย ดังนั้น อย่าเหนียมกันอีกเลย เพราะหากต่อต้านหรือไม่เห็นด้วยกับแกนนำเสื้อแดง ก็เท่ากับว่าไม่เอามวลชนคนเสื้อแดงเหมือนกัน จริงๆ แล้วเมื่อเราถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นงาน หากเป็นพวกเดียวกันก็ควรที่จะออกมาช่วยเหลือ ปกป้องกัน ไม่ใช่มากระทืบซ้ำ เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เป็นภาพที่ไม่ดี และไม่น่าเกิดขึ้น จริงๆ แล้วพรรคเพื่อไทยควรจะขอบคุณนายจตุพร พรหมพันธ์ ที่ยืนเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันมาตลอด ถ้าไม่มีนายจตุพรไม่รู้ว่าพรรคเพื่อไทยถูกยุบไปกี่ครั้งแล้ว”

เช่นเดียวกับคนเสื้อแดง เพราะถ้าใครเคยเข้าไปร่วมชุมนุมกับม็อบเสื้อแดงก็จะรับรู้ถึงอากัปกิริยาของพวกเขาที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างดีว่า เป็นเช่นไร

ถ้อยคำที่หลายคนไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินได้ฟังในชีวิต ก็สามารถรับฟังได้ในบทสนทนาของคนเสื้อแดง เนื่องจากเป้าประสงค์ของพวกเขามีความชัดเจนมาตั้งแต่ต้นว่า ต้องการ “สถาปนารัฐไทยใหม่”

ดังนั้น คนเสื้อแดงจึงมิใช่ไม่รู้ถึงยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ของนายใหญ่ของพวกเขาว่า มีเป้าประสงค์อย่างไร

พวกเขารู้เต็มอกว่า พวกเขากำลังทำอะไรและต้องการอะไร

มิฉะนั้นแล้ว คนเสื้อแดงคงไม่ยกโขยงกันไปให้กำลังใจเดอะคางคกที่ สน.สำราญราษฎร์ กันอย่างล้นหลามเช่นนี้

ถึงตรงนี้ คำถามสำคัญมีอยู่ว่า เหตุอันใดนายจตุพรถึงได้กล้าจาบจ้วงสถาบันเช่นนั้น คำตอบมีเพียงประการเดียวคือ พวกเขาได้รับสัญญาณจาก “นายใหญ่” ให้เร่งทำศึกกับสถาบันให้ลงลึกไปอีก ทั้งนี้ เนื่องเพราะพวกเขามั่นใจว่า ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง พวกเขาจะกำชัยชนะเอาไว้ได้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ กระทั่งสามารถเถลิงอำนาจก้าวขึ้นเป็นรัฐบาลได้

ทั้งนี้ สังเกตได้จากการที่นายใหญ่ของพวกเขากระโดดลงมาบัญชาการทัพพรรคเพื่อไทยด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่มีความชัดเจนร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่า จะส่ง “เจ๊ปู” น้องสาวในไส้ลงปาร์ตี้ลิสต์อันดับหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายถึงการปูทางให้ก้าวขึ้นไปนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนถัดไป รวมถึงการเตะตัดขา “ก๊วนนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” ที่รวมกลุ่มกันเพื่อยึดพรรคเพื่อไทย

ดังนั้น พวกเขาจึงมิเกรงกลัวอีกต่อไป เพราะเมื่อได้ชัยชนะทางการเมืองและอำนาจตกอยู่ในมือ พวกเขาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ให้เป็นไปในตามแนวทางที่ต้องการได้ นั่นก็คือ การสถาปนารัฐไทยใหม่ที่มีนายใหญ่ของพวกเขามีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทย

ไม่เช่นนั้นแล้ว พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด คงไม่กล้าประกาศด้วยความอหังการว่า ญาติผู้น้องของเขาจะกลับเข้ามาในประเทศไทยก็ต่อเมื่อไม่ต้องรับโทษจำคุก และหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งจะต้องมีการหารือถึงแนวทางขอพระราชทานอภัยโทษ

นี่คือการตั้งธงในการต่อสู้ที่ชัดเจนยิ่งของนายใหญ่ ม็อบเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ จงอย่าแปลกใจว่าทำไมนายจตุพรจึงกล้ากล่าวว่า “ผมเตือนคุณแล้วไม่ใช่หรือ ผมบอกว่า คุณจะเอาหน่วยไหนมาฆ่า พวกผมยังไม่เจ็บปวด ยกเว้นสองหน่วยอย่าเอามาฆ่าผมได้ไหม คือหนึ่งทหารรักษาพระองค์และสองทหารเสือพระราชินี”

ด้วยเหตุนี้ จงอย่าแปลกใจว่าทำไมนายจตุพรจึงกล้ากล่าวคำว่า “กระสุนxxxx”

ด้วยเหตุนี้ จงอย่าแปลกใจว่าทำไมนายจตุพรจึงกล้ากล่าวคำว่า “อยากไปออกรายการของนายวู้ดดี้บ้าง เพราะคนเสื้อแดงไม่ได้เกิดมาคุย แต่เกิดมาตาย”

และด้วยเหตุนี้จงอย่าแปลกใจว่า ทำไมนายจตุพรจึงกล้ากล่าวคำว่า “มีประเทศไหนบ้างในโลกนี้ ฆ่าลูกเพื่อปกป้องพ่อ ฆ่าลูกเพื่อพ่อ ฆ่าลูกเพื่อแม่ มีไอ้ประเทศบ้าประเทศนี้ประเทศเดียว เราไม่เคยล้มสถาบันเลย แต่เขาเอาทหารเสือราชินี ทหารรักษาพระองค์มาฆ่าเรา”

ที่สำคัญคือ ภายหลังจากการแจ้งความของ พล.อ.ประยุทธ์ นายจตุพรก็ยังยืนยันคำพูดคำเดิมว่า “.....จะเอาทหารหน่วยไหนมาก็ได้ แต่ขอให้อย่าเอาทหารรักษาพระองค์และทหารเสือราชินีมาปราบปรามประชาชน เพราะจะทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดี (13 เมษายน)

และนั่นคือที่มีมาของการปราศรัยที่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งท้าทายสังคมไทยมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

แน่นอน เป้าหมายของการปราศรัยในครั้งนี้ ย่อมมิใช่แค่อำมาตย์อย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เท่านั้น เพราะการปราศรัยของพวกเขามีความชัดเจนว่า ต้องการสื่อไปถึงบุคคลที่อยู่สูงกว่า สถาบันองคมนตรี

นี่คือการทำสงครามที่มีเป้าประสงค์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกระดมมวลชนคนเสื้อแดงให้เตรียมตัวรับผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ในกรณีที่พวกเขาพ่ายแพ้ก็จะได้มีข้ออ้างว่า มีมือที่มองไม่เห็นอยู่เบื้องหลังความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ โดยนายจตุพรต้องการ “ชี้เป้า” ให้มวลชนคนเสื้อแดงเห็นกันชัดๆ ชนิดไม่ต้องอ้อมค้อมกันอีกครั้งว่า “ศัตรู” ของคนเสื้อแดงมิใช่แค่ “อำมาตย์” อย่าง “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” หากแต่เป็นสถาบันที่อยู่สูงขึ้นไปกว่านั้น

เป็นการชี้เป้าเพื่อปรับพื้นฐานให้คนเสื้อแดงเตรียมเนื้อเตรียมตัวในการทำศึกครั้งสุดท้ายให้ถึงขั้นแตกหักกับสถาบัน หากพรรคเผาไทยพ่ายแพ้ศึกเลือกตั้ง ซึ่งที่ผ่านมาม็อบแดงก็เตรียมตัวเพื่อการนี้มาเป็นลำดับดังจะเห็นได้จากการเคลื่อนขบวน “โรงเรียน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน” ที่นำทัพโดย “ธิดาแดง”

แต่นั่นหมายความว่า นายใหญ่จะต้องแลกมาซึ่งผลกระทบกับพรรคเผาไทย เพราะย่อมส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจทางการเมืองของ “คนใหญ่คนโต นักธุรกิจและคนมีชื่อเสียง” ที่จะเข้าร่วมหอลงโรงกับพรรคเผาไทยได้ ซึ่งเขาชั่งน้ำหนักแล้วว่า “คุ้มที่จะเสี่ยง”

ถึงตรงนี้ สังคมไทยได้เดินทางมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญว่า ในเมื่อนายใหญ่ประกาศเจตจำนงเช่นนี้แล้ว ในฐานะที่ทุกคนก็เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักร ประชาชนคนไทยจะปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปในลักษณะใด

เพราะนี่มิใช่การยัดข้อหาดังเช่นที่ “เดอะเต้น” พยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่า “คนเสื้อแดงถูกกระทำมาโดยตลอดและกำลังถูกปั้นเรื่องว่า เป็นพวกโค่นล้มสถาบัน ขอบอกว่า ทุกคนมีความอดทน มีขีดจำกัด อย่าบีบคั้นให้เราเป็นประชาชนนอกรัฐ” หากแต่เป็นการเปิดศึกกับสถาบันอย่างตรงไปตรงมาครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์แห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นการทำสงครามครั้งสุดท้ายของ “นายใหญ่” ที่มิอาจกระพริบตาได้แม้แต่เพียงวินาทีเดียว
กำลังโหลดความคิดเห็น