ASTVผู้จัดการรายวัน-ผบ.พล.1 รอ.ปลุกเลือดทหารปกป้องสถาบันฯ ลั่นขอยอมถวายชีพป้องกษัตริย์ และอยู่หลัง "ประยุทธ์"ปกป้องราชบัลลังก์ ทบ.ยันฟ้อง"ไอ้ตู่" ไม่มีเจตนาแอบแฝงทางการเมือง ดีเอสไอยื่นถอนประกัน "พายัพ-สุภรณ์" เพิ่ม พร้อมออกหมายเรียกแกนนำเสื้อแดงมารับทราบข้อกล่าวหาหมิ่นเบื้องสูง จากการปราศรัย 10 เม.ย. ที่ผ่านมา
เมื่อเวลา 11.30 น. วานนี้ (19 เม.ย.) ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) ได้เดินทางตรวจเยี่ยมความพร้อมรบของ ร.11 รอ. โดยพ.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ร.11 รอ. ได้จัดกำลังทหารจำนวน 1 กองพัน เพื่อแสดงความพร้อมรบในครั้งนี้ด้วย
พล.ต.กัมปนาท กล่าวให้โอวาทกับกำลังพลว่า การเดินทางมาในครั้งนี้เพื่อดูความพร้อมรบ และทดสอบระบอบของ พล.1 รอ.ในฐานะที่เป็นหน่วยกำลังหลักของกองทัพภาคที่ 1 ที่มีภารกิจมากมาย ทั้งภัยคุกคามภายนอก และความมั่นคงภายในประเทศ โดย เฉพาะความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ที่สำคัญ คือ ภารกิจในฐานะที่พวกเราเป็นทหารรักษาพระองค์ ขอให้พวกท่านนายทหาร นายสิบ และพลทหารทุกคน ที่อยู่ในพล.1 รอ. จงตระหนักและภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นทหารรักษาพระองค์ อาชีพทหารเป็นอาชีพที่มีความท้าทาย โดยเฉพาะในเรื่องความอดทน และความเสียสละ ฉะนั้นพวกท่านจงภูมิใจในความเสียสละของพวกเรา เราพร้อมแม้กระทั่งสละชีวิต เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ และความผาสุกของพี่น้องประชาชน นั่นคืออาชีพของทหาร
"ผมต้องการให้ทุกท่าน ทุกคนได้ยึดมั่นใจสัจจะวาจา ที่พวกเราไปถวายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกวันที่ 5 ธ.ค.ของทุกปี ที่เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะยอมตายเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพในพระมหากษัตริย์ เจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดี และถวายความปลอดภัยต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทกว่าชีวิตจะหาไม่"
พล.ต.กัมปนาท กล่าวว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะคงรักษาไว้ด้วยเกียรติยศ และเกียรติศักดิ์ ของทหารรักษาพระองค์ จะประพฤติ และปฏิบัติตนให้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยทุกประการ นี่คือ สัจจะวาจาของทหารรักษาพระองค์ทุกนายที่ถวายฝ่ายพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทั้งนี้ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ คือ ทหารของพระเจ้าอยู่หัว เพราะฉะนั้นทุกท่านจะต้องมีความพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยทันที นอกจากนี้ สิ่งที่ทหารทุกคนต้องผ่านพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ คือ การปฏิญาณตนต่อธงไชยเฉลิมพล ฉะนั้นทุกคนต้องไปทบทวนดูว่า สิ่งที่ท่านได้กล่าวต่อธงไชยเฉลิมพลทั้ง 6 ประการ โดยเฉพาะการเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด และการไม่แพ่งพรายความลับของทางราชการทหารเป็นอันขาด
"เพื่อให้ทุกคนเกิดความภาคภูมิใจในการเป็นทหารรักษาพระองค์ ภาคภูมิใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ ทุกอย่างต้องเตรียมความพร้อมให้สามารถพร้อมเผชิญภัยคุกคามทุกรูปแบบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ขอให้ท่านเชื่อมั่นในผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยในคำสั่งของผู้บังคับบัญชาขอให้ท่านได้เชื่อว่า ผู้บังคับบัญชาทุกคนคิดเหมือนกัน ผบ.ทบ.คิดอย่างไร ผบ.พล.1 รอ.คิดอย่างนั้น และปฏิบัติตมคำสั่งโดยไม่ต้องคิดลังเล ขอให้เชื่อมั่นแบบนั้น ขอบคุณกำลังพลที่แสดงออกในวันนี้" พล.ต.กัมปนาท กล่าว
จากนั้น พล.ต.กัมปนาท ให้สัมภาษณ์ว่า พล.1 รอ.เป็น กองพลหลัก ซึ่งมีภารกิจที่แตกต่างจากกองพลทั่วๆ ไป คือ ในฐานะของทหารรักษาพระองค์ ดังนั้น หน้าที่เราในฐานะบทบาทของทหารรักษาพระองค์ คือ เป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเราต้องยึดมั่นตามสัจจะวาจาที่เราได้กล่าวถวายต่อพระเจ้าอยู่หัวทุกวัน ที่ 5 ธ.ค.ของทุกปี ที่ว่าทุกคนจะต้องจำขึ้นใจเหมือนที่ตนพูดกับทหารโดยไม่ต้องมีโผ มันอยู่ในจิตใจของทหารรักษาพระองค์ทุกนาย ดังนั้น เราจะยึดถือตามสัจจะวาจาที่เราได้เปล่งออกมา คือ การทำหน้าที่ปกป้องและเทิดทูนสถาบันฯ
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ที่หลายฝ่ายพยายามจับตามองท่าทีของทหาร ในช่วงที่การเมืองกำลังเข้มข้น พล.ต.กัมปนาท กล่าวว่า เราไม่กังวล ถือว่าเป็นงานปกติของเรา เรายืนในภารกิจของกองพล ตนไม่พูดเลยกรอบที่ว่าไว้ คือ เรามีหน้าที่ในการเตรียมกำลังและใช้กำลัง ผู้บังคับบัญชาใช้กำลังเมื่อไร ตนสามารถส่งกำลังให้กับผู้บังคับบัญชาได้ทันที สามารถทำงานได้ภายในครึ่งชั่วโมง ภายใน 1 ชั่วโมง ตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายได้
เมื่อถามว่าทหารอึดอัดใจหรือไม่ที่มีกลุ่มคนพยายามจาบจ้วงและดึงสถาบันมาเกี่ยวข้อง พล.ต.กัมปนาท กล่าวว่า พวกเราทุกคนเป็นทหารรักษาพระองค์ มันอยู่ในสายเลือดอยู่แล้วว่า หน้าที่เรา คือ การปกป้องและเทิดทูน ดังนั้น คงไม่ต้องชี้แจง เพราะเรื่องนี้อยู่ในใจ
เมื่อถามถึงกรณีที่ ผบ.ทบ.ออกมาปกป้องสถาบันฯ แล้วถูกพรรคการเมืองบางกลุ่มกล่าวพาดพิง และโจมตี ในส่วนของทหารรู้สึกอย่างไรบ้าง พล.ต.กัมปนาท กล่าวว่า จุดยืนของทหารทุกคนอยู่จุดเดียวกับ ผบ.ทบ.อยู่แล้ว หลังท่านแข็งอยู่แล้วไม่ต้องกลัว พวกเรายืนอยู่หลังท่าน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน และมีจุดยืนเดียวกันในการที่จะปกป้องสถาบันอย่าง เต็มขีดความสามารถเหมือนคำปฏิภาณ เพราะทุกวันนี้ตนพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาตลอดว่าทุกคนต้องยึดถือสัจจะวาจา คำไหนเป็นคำนั้น
** ทบ.ยันฟ้อง"ไอ้ตู่" ไม่เกี่ยวการเมือง
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงการที่ทหารออกมาปกป้องสถาบันฯ ว่า เป็นหน้าที่ทหาร ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ และคนไทยทุกคน หากมีใครมาจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ทนไม่ได้ หากมีใครพบเห็นการกระทำที่มีผลต่อสถาบันหลักของชาติ ก็มีสิทธิ์จะไปร้องทุกข์ กล่าวโทษต่อเจ้าพนักงาน ให้ดำเนินคดีต่อบุคคล หรือกลุ่มที่กระทำได้ ส่วนการดำเนินการร้องทุกข์แกนนำกลุ่มนปช.ในครั้งนี้ กองทัพบก ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของข้าราชการ กระทรวงกลาโหม คือ ทำในนามทุกเหล่าทัพทั้งหมด ในการแสดงจุดยืนว่า กองทัพจะไม่ยอมให้ใครมาล่วงละเมิดต่อสถาบันฯ ที่เป็นศูนย์รวมดวงใจคนไทยเป็นอันขาด
กองทัพทำไปโดยหน้าที่ของความเป็นทหาร ข้าราชการ เป็นพลเมืองไทย ไม่ได้คิดสิ่งใดแอบแฝง เมื่อการกระทำอันมิบังควรของพรรคใด สีใด เกิดขึ้น ช่วงเวลาใดก็ตามกองทัพจำเป็นต้องออกมาปกป้องสถาบัน กองทัพไม่ได้ออกมาเพราะใกล้เลือกตั้ง เพราะต้องการจะสนับสนุนพรรคการเมืองหนึ่ง และจะกีดกันขัดขวางอีกพรรคหนึ่ง
นอกจากนี้ การที่พรรคการเมืองบางพรรคออกมาระบุว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือคนที่ในพรรคที่พูดล่วงละเมิดจาบจ้วงสถาบันฯ จะบอกไม่เกี่ยวอย่างเดียวไม่ได้ ต้องออกมาตำหนิ ต้องออกมาดุ หรือปรามคนของตนเอง ที่ทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม
"วันนี้ ผู้ใหญ่ในพรรคได้แสดงจุดยืนแล้ว ทำให้เป็นสัญญาณที่ดีให้สังคมเกิดความสบายใจได้ส่วนหนึ่งว่า การที่มีคนในพรรค กระทำจาบจ้วงสถาบันฯ ผู้ใหญ่ในพรรคไม่เห็นด้วย แต่การที่คนในพรรคออกมาแถลงข่าว หรือหัวหน้าพรรคให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าว คงไม่พอ ต้องออกมาปรามและตำหนิบุคคลในสมาชิกพรรคที่ได้ออกมาทำผิดว่าไม่ควรทำอย่าเกรงใจบุคคลในพรรคทำสิ่งที่ไม่ดี เพื่อให้ให้สังคมเกิดความสบายใจว่า พรรคนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องการจาบจ้วงสถาบันฯ"โฆษกทบ.ระบุ
ส่วนการที่กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) ได้มีการฝึกเตรียมพร้อมรบของหน่วยตามปกติแล้วได้แสดงให้เห็นว่า ไม่ต้องการให้ใครมาจาบจ้วงสถาบันฯ เป็นสิทธิ์ที่อยู่ในกฎหมาย สามารถทำได้ อยู่ในกฎกติกากองทัพ เขาไม่ได้อะไรที่ผิด ส่วนจะมีหน่วยอื่นทำตามหรือไม่ เราไม่ทราบแต่เป็นสิทธิ์ ที่อยู่ในขอบเขตที่สามารถทำได้
** 7 วันรู้ผลถอนประกัน"โจกแดง"
นายรุจ เขื่อนสุวรรณ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 กล่าวถึงความคืบหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ยื่นเอกสารหลักฐานให้พิจารณาเพื่อยื่นเรื่องต่อศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รวม 9 คน ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาสำนวน รวมทั้งพยานหลักฐาน ภายหลังดีเอสไอยื่นเรื่องเมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยอัยการจะต้องพิจารณาข้อมูลทั้งหมดเสียก่อนที่จะมีความเห็นว่า จะยื่นถอน ประกันต่อศาลหรือไม่ ซึ่งอาจจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์
ส่วนกรณีที่ดีเอสไอจะดำเนินคดีกับแกนนำนปช.ในความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันฯ ว่า เรื่องดังกล่าวมีอัยการอีกชุดที่เข้าไปทำงานร่วมกับดีเอสไอ ซึ่งการพิจารณาเรื่องถอนประกัน จะไม่รอผลของการสืบสวนคดีดังกล่าว เนื่องจากการทำสำนวนคดีอาจจะใช้เวลานาน กว่าการพิจารณาเรื่องประกัน
**ทนาย นปช.ยื่นขอความเป็นธรรม
นายคารม พลทะกลาง ทนายความกลุ่มนปช. กล่าวว่า ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ นายรุจ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 แล้ว โดยนำซีดีบันทึกการปราศรัย และเนื้อหาที่ถอดเทปคำปราศรัยของแกนนำนปช.ในวันที่ 10 เม.ย. ยื่นประกอบเพื่อจะชี้ให้อัยการเห็นว่า แกนนำนปช.ทั้ง 9 คนไม่ได้มีพฤติกรรมที่ผิดเงื่อนไขของศาล ตามที่ดีเอสไออ้าง ซึ่งการชุมนุมในวันดังกล่าวได้มีการนัดหมายล่วงหน้า และชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ ไม่มีความรุนแรง
นายคารมยังกล่าวชี้แจงกรณีที่มีการอ้างว่า แกนนำพาดพิงสถาบันฯ ด้วยว่า เป็นการพูดเพื่อไม่ให้ใครนำเรื่องสถาบันฯ มาเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งอยากให้อัยการดูภาพโดยรวม เพราะเนื้อหาทั้งหมดที่แกนนำนปช.พูด ก็เพื่อปกป้องสถาบันฯ และเหตุที่ต้องชี้แจงเรื่องนี้ เพราะข้อมูลทั้งหมดก็อยู่ในสำนวนของดีเอสไอด้วย
**ดีเอสไอ ถอนประกัน"พายัพ-สุภรณ์"
วันเดียวกันนี้ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ได้มีคำสั่งให้ พ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 1 คดีก่อการร้าย ส่งหนังสือถึงนายประกัน และทนายความของ นายพายัพ ปั้นเกตุ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำนปช. ที่ได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวนจากดีเอสไอ เพื่อแจ้งถอนประกันทั้ง 2 คน เนื่องจากทำผิดเงื่อนไขการประกันตัวในชั้นสอบสวนที่ห้ามไม่ให้เข้าร่วมชุมนุมกับบุคคล หรือกลุ่มบุคคลตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป อันมิชอบด้วยกฎหมาย โดยนัดให้นายพายัพ และนายสุภรณ์ มาพบพนักงานสอบสวน ดีเอสไอ ในวันจันทร์ที่ 25 เม.ย.นี้ เพื่อนำตัวส่งอัยการ ซึ่งดีเอสไอ จะส่งตัวผู้ต้องหาพร้อมสำนวนคดีก่อการร้ายต่อพนักงานอัยการ หากผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ไม่มาพบพนักงานสอบสวนตามกำหนด จะถูกยึดเงินประกันจำนวน 6 แสนบาท และดีเอสไอ จะดำเนินการขอหมายจับต่อไป
**หมายเรียกแจ้งข้อหาหมิ่นสถาบันฯ
นอกจากนั้น นายธาริต ยังได้ทำการออกหมายเรียกแกนนำกลุ่มนปช. กรณีการกล่าวปราศรัยล่วงละเมิดสถาบันฯ ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา โดยแยกเป็น ผู้ต้องหาที่เข้ารับทราบข้อกล่าวหาชุดแรก ในวันที่ 2 พ.ค. ประกอบด้วย นพ.เหวง โตจิราการ นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ นายวีระ หรือวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศีรษะ
ส่วนชุดที่ 2 เข้ารับทราบข้อกล่าวหาวันที่ 3 พ.ค. ประกอบด้วย นายสมชาย ไพบูลย์ นายขวัญชัย ไพรพนา นายวิเชียร ขาวขำ นายวิภูแถลง พิพัฒนาภูมิไทย นายการุณ โหสกุล นายก่อแก้ว พิกุลทอง และ ชุดที่ 3 ในวันที่ 4 พ.ค. ได้แก่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด นายนิสิต สินธุไพร นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก และ นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ
เมื่อเวลา 11.30 น. วานนี้ (19 เม.ย.) ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) ได้เดินทางตรวจเยี่ยมความพร้อมรบของ ร.11 รอ. โดยพ.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ร.11 รอ. ได้จัดกำลังทหารจำนวน 1 กองพัน เพื่อแสดงความพร้อมรบในครั้งนี้ด้วย
พล.ต.กัมปนาท กล่าวให้โอวาทกับกำลังพลว่า การเดินทางมาในครั้งนี้เพื่อดูความพร้อมรบ และทดสอบระบอบของ พล.1 รอ.ในฐานะที่เป็นหน่วยกำลังหลักของกองทัพภาคที่ 1 ที่มีภารกิจมากมาย ทั้งภัยคุกคามภายนอก และความมั่นคงภายในประเทศ โดย เฉพาะความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ที่สำคัญ คือ ภารกิจในฐานะที่พวกเราเป็นทหารรักษาพระองค์ ขอให้พวกท่านนายทหาร นายสิบ และพลทหารทุกคน ที่อยู่ในพล.1 รอ. จงตระหนักและภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นทหารรักษาพระองค์ อาชีพทหารเป็นอาชีพที่มีความท้าทาย โดยเฉพาะในเรื่องความอดทน และความเสียสละ ฉะนั้นพวกท่านจงภูมิใจในความเสียสละของพวกเรา เราพร้อมแม้กระทั่งสละชีวิต เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ และความผาสุกของพี่น้องประชาชน นั่นคืออาชีพของทหาร
"ผมต้องการให้ทุกท่าน ทุกคนได้ยึดมั่นใจสัจจะวาจา ที่พวกเราไปถวายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกวันที่ 5 ธ.ค.ของทุกปี ที่เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะยอมตายเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพในพระมหากษัตริย์ เจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดี และถวายความปลอดภัยต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทกว่าชีวิตจะหาไม่"
พล.ต.กัมปนาท กล่าวว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะคงรักษาไว้ด้วยเกียรติยศ และเกียรติศักดิ์ ของทหารรักษาพระองค์ จะประพฤติ และปฏิบัติตนให้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยทุกประการ นี่คือ สัจจะวาจาของทหารรักษาพระองค์ทุกนายที่ถวายฝ่ายพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทั้งนี้ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ คือ ทหารของพระเจ้าอยู่หัว เพราะฉะนั้นทุกท่านจะต้องมีความพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยทันที นอกจากนี้ สิ่งที่ทหารทุกคนต้องผ่านพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ คือ การปฏิญาณตนต่อธงไชยเฉลิมพล ฉะนั้นทุกคนต้องไปทบทวนดูว่า สิ่งที่ท่านได้กล่าวต่อธงไชยเฉลิมพลทั้ง 6 ประการ โดยเฉพาะการเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด และการไม่แพ่งพรายความลับของทางราชการทหารเป็นอันขาด
"เพื่อให้ทุกคนเกิดความภาคภูมิใจในการเป็นทหารรักษาพระองค์ ภาคภูมิใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ ทุกอย่างต้องเตรียมความพร้อมให้สามารถพร้อมเผชิญภัยคุกคามทุกรูปแบบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ขอให้ท่านเชื่อมั่นในผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยในคำสั่งของผู้บังคับบัญชาขอให้ท่านได้เชื่อว่า ผู้บังคับบัญชาทุกคนคิดเหมือนกัน ผบ.ทบ.คิดอย่างไร ผบ.พล.1 รอ.คิดอย่างนั้น และปฏิบัติตมคำสั่งโดยไม่ต้องคิดลังเล ขอให้เชื่อมั่นแบบนั้น ขอบคุณกำลังพลที่แสดงออกในวันนี้" พล.ต.กัมปนาท กล่าว
จากนั้น พล.ต.กัมปนาท ให้สัมภาษณ์ว่า พล.1 รอ.เป็น กองพลหลัก ซึ่งมีภารกิจที่แตกต่างจากกองพลทั่วๆ ไป คือ ในฐานะของทหารรักษาพระองค์ ดังนั้น หน้าที่เราในฐานะบทบาทของทหารรักษาพระองค์ คือ เป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเราต้องยึดมั่นตามสัจจะวาจาที่เราได้กล่าวถวายต่อพระเจ้าอยู่หัวทุกวัน ที่ 5 ธ.ค.ของทุกปี ที่ว่าทุกคนจะต้องจำขึ้นใจเหมือนที่ตนพูดกับทหารโดยไม่ต้องมีโผ มันอยู่ในจิตใจของทหารรักษาพระองค์ทุกนาย ดังนั้น เราจะยึดถือตามสัจจะวาจาที่เราได้เปล่งออกมา คือ การทำหน้าที่ปกป้องและเทิดทูนสถาบันฯ
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ที่หลายฝ่ายพยายามจับตามองท่าทีของทหาร ในช่วงที่การเมืองกำลังเข้มข้น พล.ต.กัมปนาท กล่าวว่า เราไม่กังวล ถือว่าเป็นงานปกติของเรา เรายืนในภารกิจของกองพล ตนไม่พูดเลยกรอบที่ว่าไว้ คือ เรามีหน้าที่ในการเตรียมกำลังและใช้กำลัง ผู้บังคับบัญชาใช้กำลังเมื่อไร ตนสามารถส่งกำลังให้กับผู้บังคับบัญชาได้ทันที สามารถทำงานได้ภายในครึ่งชั่วโมง ภายใน 1 ชั่วโมง ตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายได้
เมื่อถามว่าทหารอึดอัดใจหรือไม่ที่มีกลุ่มคนพยายามจาบจ้วงและดึงสถาบันมาเกี่ยวข้อง พล.ต.กัมปนาท กล่าวว่า พวกเราทุกคนเป็นทหารรักษาพระองค์ มันอยู่ในสายเลือดอยู่แล้วว่า หน้าที่เรา คือ การปกป้องและเทิดทูน ดังนั้น คงไม่ต้องชี้แจง เพราะเรื่องนี้อยู่ในใจ
เมื่อถามถึงกรณีที่ ผบ.ทบ.ออกมาปกป้องสถาบันฯ แล้วถูกพรรคการเมืองบางกลุ่มกล่าวพาดพิง และโจมตี ในส่วนของทหารรู้สึกอย่างไรบ้าง พล.ต.กัมปนาท กล่าวว่า จุดยืนของทหารทุกคนอยู่จุดเดียวกับ ผบ.ทบ.อยู่แล้ว หลังท่านแข็งอยู่แล้วไม่ต้องกลัว พวกเรายืนอยู่หลังท่าน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน และมีจุดยืนเดียวกันในการที่จะปกป้องสถาบันอย่าง เต็มขีดความสามารถเหมือนคำปฏิภาณ เพราะทุกวันนี้ตนพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาตลอดว่าทุกคนต้องยึดถือสัจจะวาจา คำไหนเป็นคำนั้น
** ทบ.ยันฟ้อง"ไอ้ตู่" ไม่เกี่ยวการเมือง
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงการที่ทหารออกมาปกป้องสถาบันฯ ว่า เป็นหน้าที่ทหาร ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ และคนไทยทุกคน หากมีใครมาจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ทนไม่ได้ หากมีใครพบเห็นการกระทำที่มีผลต่อสถาบันหลักของชาติ ก็มีสิทธิ์จะไปร้องทุกข์ กล่าวโทษต่อเจ้าพนักงาน ให้ดำเนินคดีต่อบุคคล หรือกลุ่มที่กระทำได้ ส่วนการดำเนินการร้องทุกข์แกนนำกลุ่มนปช.ในครั้งนี้ กองทัพบก ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของข้าราชการ กระทรวงกลาโหม คือ ทำในนามทุกเหล่าทัพทั้งหมด ในการแสดงจุดยืนว่า กองทัพจะไม่ยอมให้ใครมาล่วงละเมิดต่อสถาบันฯ ที่เป็นศูนย์รวมดวงใจคนไทยเป็นอันขาด
กองทัพทำไปโดยหน้าที่ของความเป็นทหาร ข้าราชการ เป็นพลเมืองไทย ไม่ได้คิดสิ่งใดแอบแฝง เมื่อการกระทำอันมิบังควรของพรรคใด สีใด เกิดขึ้น ช่วงเวลาใดก็ตามกองทัพจำเป็นต้องออกมาปกป้องสถาบัน กองทัพไม่ได้ออกมาเพราะใกล้เลือกตั้ง เพราะต้องการจะสนับสนุนพรรคการเมืองหนึ่ง และจะกีดกันขัดขวางอีกพรรคหนึ่ง
นอกจากนี้ การที่พรรคการเมืองบางพรรคออกมาระบุว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือคนที่ในพรรคที่พูดล่วงละเมิดจาบจ้วงสถาบันฯ จะบอกไม่เกี่ยวอย่างเดียวไม่ได้ ต้องออกมาตำหนิ ต้องออกมาดุ หรือปรามคนของตนเอง ที่ทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม
"วันนี้ ผู้ใหญ่ในพรรคได้แสดงจุดยืนแล้ว ทำให้เป็นสัญญาณที่ดีให้สังคมเกิดความสบายใจได้ส่วนหนึ่งว่า การที่มีคนในพรรค กระทำจาบจ้วงสถาบันฯ ผู้ใหญ่ในพรรคไม่เห็นด้วย แต่การที่คนในพรรคออกมาแถลงข่าว หรือหัวหน้าพรรคให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าว คงไม่พอ ต้องออกมาปรามและตำหนิบุคคลในสมาชิกพรรคที่ได้ออกมาทำผิดว่าไม่ควรทำอย่าเกรงใจบุคคลในพรรคทำสิ่งที่ไม่ดี เพื่อให้ให้สังคมเกิดความสบายใจว่า พรรคนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องการจาบจ้วงสถาบันฯ"โฆษกทบ.ระบุ
ส่วนการที่กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) ได้มีการฝึกเตรียมพร้อมรบของหน่วยตามปกติแล้วได้แสดงให้เห็นว่า ไม่ต้องการให้ใครมาจาบจ้วงสถาบันฯ เป็นสิทธิ์ที่อยู่ในกฎหมาย สามารถทำได้ อยู่ในกฎกติกากองทัพ เขาไม่ได้อะไรที่ผิด ส่วนจะมีหน่วยอื่นทำตามหรือไม่ เราไม่ทราบแต่เป็นสิทธิ์ ที่อยู่ในขอบเขตที่สามารถทำได้
** 7 วันรู้ผลถอนประกัน"โจกแดง"
นายรุจ เขื่อนสุวรรณ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 กล่าวถึงความคืบหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ยื่นเอกสารหลักฐานให้พิจารณาเพื่อยื่นเรื่องต่อศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รวม 9 คน ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาสำนวน รวมทั้งพยานหลักฐาน ภายหลังดีเอสไอยื่นเรื่องเมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยอัยการจะต้องพิจารณาข้อมูลทั้งหมดเสียก่อนที่จะมีความเห็นว่า จะยื่นถอน ประกันต่อศาลหรือไม่ ซึ่งอาจจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์
ส่วนกรณีที่ดีเอสไอจะดำเนินคดีกับแกนนำนปช.ในความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันฯ ว่า เรื่องดังกล่าวมีอัยการอีกชุดที่เข้าไปทำงานร่วมกับดีเอสไอ ซึ่งการพิจารณาเรื่องถอนประกัน จะไม่รอผลของการสืบสวนคดีดังกล่าว เนื่องจากการทำสำนวนคดีอาจจะใช้เวลานาน กว่าการพิจารณาเรื่องประกัน
**ทนาย นปช.ยื่นขอความเป็นธรรม
นายคารม พลทะกลาง ทนายความกลุ่มนปช. กล่าวว่า ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ นายรุจ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 แล้ว โดยนำซีดีบันทึกการปราศรัย และเนื้อหาที่ถอดเทปคำปราศรัยของแกนนำนปช.ในวันที่ 10 เม.ย. ยื่นประกอบเพื่อจะชี้ให้อัยการเห็นว่า แกนนำนปช.ทั้ง 9 คนไม่ได้มีพฤติกรรมที่ผิดเงื่อนไขของศาล ตามที่ดีเอสไออ้าง ซึ่งการชุมนุมในวันดังกล่าวได้มีการนัดหมายล่วงหน้า และชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ ไม่มีความรุนแรง
นายคารมยังกล่าวชี้แจงกรณีที่มีการอ้างว่า แกนนำพาดพิงสถาบันฯ ด้วยว่า เป็นการพูดเพื่อไม่ให้ใครนำเรื่องสถาบันฯ มาเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งอยากให้อัยการดูภาพโดยรวม เพราะเนื้อหาทั้งหมดที่แกนนำนปช.พูด ก็เพื่อปกป้องสถาบันฯ และเหตุที่ต้องชี้แจงเรื่องนี้ เพราะข้อมูลทั้งหมดก็อยู่ในสำนวนของดีเอสไอด้วย
**ดีเอสไอ ถอนประกัน"พายัพ-สุภรณ์"
วันเดียวกันนี้ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ได้มีคำสั่งให้ พ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 1 คดีก่อการร้าย ส่งหนังสือถึงนายประกัน และทนายความของ นายพายัพ ปั้นเกตุ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำนปช. ที่ได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวนจากดีเอสไอ เพื่อแจ้งถอนประกันทั้ง 2 คน เนื่องจากทำผิดเงื่อนไขการประกันตัวในชั้นสอบสวนที่ห้ามไม่ให้เข้าร่วมชุมนุมกับบุคคล หรือกลุ่มบุคคลตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป อันมิชอบด้วยกฎหมาย โดยนัดให้นายพายัพ และนายสุภรณ์ มาพบพนักงานสอบสวน ดีเอสไอ ในวันจันทร์ที่ 25 เม.ย.นี้ เพื่อนำตัวส่งอัยการ ซึ่งดีเอสไอ จะส่งตัวผู้ต้องหาพร้อมสำนวนคดีก่อการร้ายต่อพนักงานอัยการ หากผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ไม่มาพบพนักงานสอบสวนตามกำหนด จะถูกยึดเงินประกันจำนวน 6 แสนบาท และดีเอสไอ จะดำเนินการขอหมายจับต่อไป
**หมายเรียกแจ้งข้อหาหมิ่นสถาบันฯ
นอกจากนั้น นายธาริต ยังได้ทำการออกหมายเรียกแกนนำกลุ่มนปช. กรณีการกล่าวปราศรัยล่วงละเมิดสถาบันฯ ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา โดยแยกเป็น ผู้ต้องหาที่เข้ารับทราบข้อกล่าวหาชุดแรก ในวันที่ 2 พ.ค. ประกอบด้วย นพ.เหวง โตจิราการ นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ นายวีระ หรือวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศีรษะ
ส่วนชุดที่ 2 เข้ารับทราบข้อกล่าวหาวันที่ 3 พ.ค. ประกอบด้วย นายสมชาย ไพบูลย์ นายขวัญชัย ไพรพนา นายวิเชียร ขาวขำ นายวิภูแถลง พิพัฒนาภูมิไทย นายการุณ โหสกุล นายก่อแก้ว พิกุลทอง และ ชุดที่ 3 ในวันที่ 4 พ.ค. ได้แก่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด นายนิสิต สินธุไพร นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก และ นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ