00 ถูกแล้วที่ ดีเอสไอ โดย ธาริต เพ็งดิษฐ์ เดินหน้ายื่นเรื่องให้อัยการตามขั้นตอนให้ถอนประกันตัว “หัวโจก” แดงที่พูดจาปราศรัยพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์เมื่อวันที่ 10 เมย.ที่ผ่านมา โดยใช้วิธีการแบบ “หัวหมอ” ใช้เล่ห์แบบ “ศรีธนญชัย” ใช้คำพูดเฉียดไปเฉียดมา แต่ความหมายนั้นชัดยิ่งกว่าชัด ถามสักคำว่า “กระสุนพระราชทาน” และ “ทหารรักษาพระองค์” และ “ทหารเสือพระราชินี” ที่บอกว่า “ใช้มาฆ่าคน” นั้น มีพวกที่ “ปัญญานิ่ม” เท่านั้นแหละที่ไม่เข้าใจความหมาย
00 ง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อน ถ้าอยากกล่าวหา จะด่าทอ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือ ผบ.ทบ.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าสั่งฆ่าคนเสื้อแดง ก็ว่ากันไปให้เต็มที่ เพราะถ้าไม่จริงหรือถูกบิดเบือนคนพวกนี้ก็จะออกมาชี้แจง หรือใช้สิทธิ์ตามกฎหมายปกป้องตัวเอง แต่นี่ทำไมต้องใช้คำพูดสื่อความหมาย “พาดพิงสถาบัน” ขนาดนั้น ดังนั้นเมื่อตัวเองต้องการ “เสี่ยง” เองเพราะคิดแล้วว่า “คุ้มค่า” ยิ่งโจมตีสถาบันเบื้องสูง ยิ่งเข้าตา ทักษิณ ชินวัตร ก็ต้องยอมรับดีกว่า อย่าทำตัวแบบ “ปากกล้าขาสั่น” ต่อไปอีกเลย
00 ที่ผ่านมาหากย้อนกลับไปบรรดาหัวโจกคนเสื้อแดงมักจะใช้คำพูดในลักษณะเดียวกัน โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ก็ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ไม่เคยมีการดำเนินคดีอย่างจริงจัง นอกจากพอเป็นข่าวถูกชาวบ้านทนไม่ไหวออกมาโวยวายก็ตื่นตัวกันครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เงียบหายไป บางครั้งก็อ้างว่าไม่เข้าข่าย “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” เนื่องจากมีการตีความตามตัวอักษร จึงต้องปล่อยให้ลอยนวล ไม่เชื่อก็ลองตัวตัวอย่างคดี “อีเพ็ญ” จักรภพ เพ็ญแข จนบัดนี้ยังแปลคำพูดที่เป็นภาษาอังกฤษยังไม่จบเลย ทุด !!
00 ปัญหาสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกจาบจ้วง ถูกโจมตีให้ร้ายโดยพวกเครือข่ายทักษิณ สาเหตุสำคัญเป็นเพราะความ “ไม่เอาไหน” ของรัฐบาล ไล่ลงมาตั้งแต่นายกฯอภิสิทธิ์ ฝ่ายความมั่นคงที่นำโดย สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ปล่อยปละละเลย รอให้เกิดเรื่องก่อนแล้วค่อย “ตื่นตูม” กันครั้งหนึ่ง ทำให้การจาบจ้วงเวลานี้กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ถ้าลองเจ้าหน้าที่เอาจริงลากคอเข้าคุกเป็นตัวอย่างสักรายสองราย ประเภท “ปากจัดจ้าน” อย่างที่เห็นนั่นแหละรับรองว่า “หายซ่าส์” แน่นอน เนื่องจากสิ่งไหนก็ตามเมื่อมีการพูดจาซ้ำๆจนชาชิน ซึ่งที่ผ่านมาก็ใช้วิธีแบบนี้แหละ
00 ถามว่าทั้งคำพูดของ “ไอ้ตู่” จตุพร รวมไปถึงหัวโจกคนอื่นๆ หรือ แม้แต่ ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยจาบจ้วงให้ร้าย บางครั้งเหิมเกริมวิพากษ์วิจารณ์กันตรงๆ เป็น “เรื่องการเมือง” เป็นการ “กลั่นแกล้ง” อย่างนั้นหรือ ก็เปล่า แต่นี่คือความ “จงใจ” และตั้งใจมีเป้าหมายทั้งมีผลประโยชน์ส่วนตัว ทำให้ “นายใหญ่” พอใจ สร้างราคาให้ตัวเอง ถ้าจะบอกว่านี่คือการเมืองก็เป็นการเมืองในหมู่พวกเดียวกันเองมากกว่า นั่นคือต้องการสร้างความ “โดดเด่น” เหนือคนอื่น ทั้งในกลุ่มเสื้อแดง และภายในพรรคเพื่อไทยเท่านั้นแหละ และต้องไม่ลืมด้วยว่ามันจะมีผลต่อ “สถานะ”หลังการเลือกตั้ง เสียด้วยซี !!
00 ง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อน ถ้าอยากกล่าวหา จะด่าทอ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือ ผบ.ทบ.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าสั่งฆ่าคนเสื้อแดง ก็ว่ากันไปให้เต็มที่ เพราะถ้าไม่จริงหรือถูกบิดเบือนคนพวกนี้ก็จะออกมาชี้แจง หรือใช้สิทธิ์ตามกฎหมายปกป้องตัวเอง แต่นี่ทำไมต้องใช้คำพูดสื่อความหมาย “พาดพิงสถาบัน” ขนาดนั้น ดังนั้นเมื่อตัวเองต้องการ “เสี่ยง” เองเพราะคิดแล้วว่า “คุ้มค่า” ยิ่งโจมตีสถาบันเบื้องสูง ยิ่งเข้าตา ทักษิณ ชินวัตร ก็ต้องยอมรับดีกว่า อย่าทำตัวแบบ “ปากกล้าขาสั่น” ต่อไปอีกเลย
00 ที่ผ่านมาหากย้อนกลับไปบรรดาหัวโจกคนเสื้อแดงมักจะใช้คำพูดในลักษณะเดียวกัน โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ก็ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ไม่เคยมีการดำเนินคดีอย่างจริงจัง นอกจากพอเป็นข่าวถูกชาวบ้านทนไม่ไหวออกมาโวยวายก็ตื่นตัวกันครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เงียบหายไป บางครั้งก็อ้างว่าไม่เข้าข่าย “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” เนื่องจากมีการตีความตามตัวอักษร จึงต้องปล่อยให้ลอยนวล ไม่เชื่อก็ลองตัวตัวอย่างคดี “อีเพ็ญ” จักรภพ เพ็ญแข จนบัดนี้ยังแปลคำพูดที่เป็นภาษาอังกฤษยังไม่จบเลย ทุด !!
00 ปัญหาสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกจาบจ้วง ถูกโจมตีให้ร้ายโดยพวกเครือข่ายทักษิณ สาเหตุสำคัญเป็นเพราะความ “ไม่เอาไหน” ของรัฐบาล ไล่ลงมาตั้งแต่นายกฯอภิสิทธิ์ ฝ่ายความมั่นคงที่นำโดย สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ปล่อยปละละเลย รอให้เกิดเรื่องก่อนแล้วค่อย “ตื่นตูม” กันครั้งหนึ่ง ทำให้การจาบจ้วงเวลานี้กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ถ้าลองเจ้าหน้าที่เอาจริงลากคอเข้าคุกเป็นตัวอย่างสักรายสองราย ประเภท “ปากจัดจ้าน” อย่างที่เห็นนั่นแหละรับรองว่า “หายซ่าส์” แน่นอน เนื่องจากสิ่งไหนก็ตามเมื่อมีการพูดจาซ้ำๆจนชาชิน ซึ่งที่ผ่านมาก็ใช้วิธีแบบนี้แหละ
00 ถามว่าทั้งคำพูดของ “ไอ้ตู่” จตุพร รวมไปถึงหัวโจกคนอื่นๆ หรือ แม้แต่ ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยจาบจ้วงให้ร้าย บางครั้งเหิมเกริมวิพากษ์วิจารณ์กันตรงๆ เป็น “เรื่องการเมือง” เป็นการ “กลั่นแกล้ง” อย่างนั้นหรือ ก็เปล่า แต่นี่คือความ “จงใจ” และตั้งใจมีเป้าหมายทั้งมีผลประโยชน์ส่วนตัว ทำให้ “นายใหญ่” พอใจ สร้างราคาให้ตัวเอง ถ้าจะบอกว่านี่คือการเมืองก็เป็นการเมืองในหมู่พวกเดียวกันเองมากกว่า นั่นคือต้องการสร้างความ “โดดเด่น” เหนือคนอื่น ทั้งในกลุ่มเสื้อแดง และภายในพรรคเพื่อไทยเท่านั้นแหละ และต้องไม่ลืมด้วยว่ามันจะมีผลต่อ “สถานะ”หลังการเลือกตั้ง เสียด้วยซี !!
