ช่วงนี้ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ให้เกียรติพูดถึงผมบ่อยขึ้นหลายเวที และหลายรายการ โดยเฉพาะในรายการ มุมมองของเจิมศักดิ์ ทางคลื่นวิทยุ FM 92.25 และยังเขียนบทความ ในคอลัมน์ “เจิมศักดิ์ขอคิดด้วยคน” ในหนังสือพิมพ์แนวหน้า โดยเปรียบเทียบผมกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ในบทความเรื่อง “ภาพเหมือนในความต่าง” ฉบับลงวันที่ 18 เม.ย. 2554 และเมื่อผมได้ตอบโต้และชี้แจงในเรื่องดังกล่าวผ่านเวทีชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดินแล้ว อ.เจิมศักดิ์ ยังได้ไปออกรายการตอบโจทก์ของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวี ให้สัมภาษณ์พูดจาพาดพิงถึงผมในทางเสียหายหลายเรื่องหลายประเด็น ถือได้ว่า ในสถานการณ์ที่ผมและพี่น้องพันธมิตรฯ ผู้รักชาติออกมาชุมนุมเพื่อปกป้องแผ่นดิน เรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ โดยให้ยกเลิก MOU 2543 ถอนตัวจากภาคีมรดกโลก และขับไล่ทหารและคนกัมพูชาที่รุกรานดินแดนไทยออกไป
อ.เจิมศักดิ์ ได้ออกมาแสดงจุดยืนปกป้องรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แบบสุดลิ่มทิ่มประตู ปกป้องและเชลียร์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชนิดไม่ลืมหูลืมตา ยืนอยู่คนละฝ่ายกับภาคประชาชนอย่างน่าประหลาดใจ ผิดวิสัยของ อ.เจิมศักดิ์ ที่ผม และประชาชนทั้งหลายเคยสัมผัส หรือรู้จักบทบาทความเป็นนักวิชาการ ผู้จัดรายการทางวิทยุ ทีวี หรือบทบาททางการเมืองในฐานะสมาชิกวุฒิสภา ที่กล้าคิด กล้าแสดงออก และวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา ให้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุและผลอย่างน่ารับฟัง น่าเชื่อถือ และน่าเคารพศรัทธายิ่ง
แต่กลับเรื่องดินแดนและอธิปไตยกลับนิ่งเงียบไม่กล้าแสดงความเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า วันนี้อ.เจิมศักดิ์ ได้ออกมาเป็นกองหน้าในการวิพากษ์วิจารณ์ถึงตัวผมและคุณสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างมีนัยสำคัญ มีความพยายามและมุ่งมั่นที่จะทำลายความน่าเชื่อถือ สำหรับผมและคุณสนธิ อย่างเอาจริงเอาจัง เหมือนต้องการสร้างผลงานให้เป็นที่พอใจ โดยทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์นายอภิสิทธิ์ ไม่ต่างอะไรกับนายนพดล ปัทมะ ปกป้องทักษิณ ชินวัตร หรือนายสมัคร สุนทรเวช และนายดุสิต ศิริวรรณ ที่ทำตัวเป็นปากกระบอกเสียงให้กับรัฐบาลเผด็จการในอดีต
บางคนเมื่อเห็นพฤติกรรม อ.เจิมศักดิ์ ที่ออกมาตอบโต้กับผม และพี่น้องพันธมิตรฯ ได้ตั้งคำถาม และมีข้อสงสัยว่า พันธมิตรฯ ทำไมมาทะเลาะกันเองบ้าง หรือเวทีชุมนุม ทำไมต้องวิพากษ์วิจารณ์ทำลายกัลยาณมิตร และข้อเท็จจริงเกิดอะไรขึ้น คนที่เคยร่วมสู้กันมากับทักษิณ บางคนจึงหันมาวิพากษ์วิจารณ์กันเอง โดยเฉพาะเรื่องระหว่างผมกับอ.เจิมศักดิ์ มีปัญหาและความเป็นมาอย่างไร ทำไมต้องกลายมาเป็นคู่วิวาทะบนเวทีสื่อสาธารณะต่างๆ เพื่อความเข้าใจต่อปัญหานี้ ผมจำเป็นต้องพูดและเขียนเพื่อบอกความจริงกับสังคม และพี่น้องว่าอะไรจริง อะไรเท็จ อะไรคือจุดยืนที่ถูกที่ควร เพราะวันนี้ผมกับอ.เจิมศักดิ์ ต่างยืนอยู่คนละจุด ผมปกป้องแผ่นดิน อ.เจิมศักดิ์ ปกป้องอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ผมรู้จัก อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 หลังจากที่ประชาชนเรือนแสนเรือนล้านได้ออกมาต่อสู้กับรัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร โดยการนำของ พลตรีจำลอง ศรีเมือง และนาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริ ซึ่งผมก็เป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ดังกล่าว ตั้งแต่ต้นจนจบ ผมใช้โรงแรมอิมพีเรียล ของคุณอากร ฮุนตระกูล เป็นที่ประชุมพบปะหารือในการวางแผนและจัดการชุมนุมต่อสู้ จนประชาชนสามารถได้รับชัยชนะ บ้านเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นายอานันท์ ปันยารชุน ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เกิดบรรยากาศประชาธิปไตยกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
พวกเราจึงได้เห็นอ.เจิมศักดิ์ ร่วมกับคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ก่อตั้งมูลนิธิสื่อสร้างสรรค์ และมีรายการมองต่างมุม ทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (ช่อง 11) ถือได้ว่ารายการนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะการต่อสู้ของประชาชน ผมได้พบอ.เจิมศักดิ์ แวะเวียนไปที่โรงแรมอิมพีเรียล ถนนวิทยุ และอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค ถนนสุขุมวิท บ่อยครั้ง เพื่อไปทานข้าวและสนทนาทางการเมืองกับคุณอากร ฮุนตระกูล โดยบางครั้งก็มีผม และ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ร่วมโต๊ะอาหารและสนทนา เพราะผมกับ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ก็เป็นแขกประจำของคุณอากร ทั้งผมเองก็เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายให้กับคุณอากร เป็นส่วนตัว
และเมื่อ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ลงเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในนามพรรคพลังธรรม พร้อมกับคุณอากร ฮุนตระกูล ก็ยิ่งทำให้มีโอกาสได้พบกันบ่อยขึ้น ครั้น น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เมื่อปี พ.ศ. 2535 คุณอากร ฮุนตระกูล ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี ส่วนผมก็เป็นเลขานุการส่วนตัวและเป็นที่ปรึกษาของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริด้วย การที่อ.เจิมศักดิ์ แวะเวียนมาพบคุณอากรบ่อยๆ ก็ได้มีโอกาสสนทนากันบ้างเป็นครั้งคราว และสำนักงานออฟฟิศของ อ.เจิมศักดิ์ ก็ได้รับความอนุเคราะห์จากคุณอากร ฮุนตระกูล เป็นพิเศษ แทบจะเรียกว่าให้อยู่ฟรีก็ว่าได้ ต่อมาแม้คุณอากร จะได้ขายกิจการโรงแรมนี้ให้แก่ คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ไปแล้ว สำนักงานของอ.เจิมศักดิ์ ก็ยังตั้งอยู่ที่เดิม จะโดยได้รับการสนับสนุนจากคุณเจริญ แค่ไหนอย่างไร ตรงนี้ผมไม่ทราบ
เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่ทักษิณ ก่อนเกิดเหตุปฏิวัติรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ผมกับ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ได้มีโอกาสทานข้าวและพูดคุยชักชวนเพื่อให้อ.เจิมศักดิ์ มาร่วมการเคลื่อนไหวกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร อยู่ที่หอประชุมธรรมศาสตร์ และสวนลุมพินี โดยพบปะกันที่คอฟฟี่ช็อปโรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค และพบปะทานอาหารพูดคุยกันอีกครั้งที่โรงแรมโนโวเทล สุขุมวิท
แต่คราวนี้มีบุคคลอื่นๆ มาร่วมด้วยอีกหลายท่าน อาทิ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ, กรรมการ ป.ป.ช. (ไม่ประสงค์เอ่ยนาม), อดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่, สมาชิกวุฒิสภา ร่วมพูดคุยด้วย โดยมีผมเป็นผู้นำเสนอข้อเท็จจริงของสถานการณ์บ้านเมืองและเหตุผลว่าทำไมจึงควรที่จะไปร่วมกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และตอบคำถามข้อข้องใจที่แต่ละท่านมีต่อคุณสนธิ ให้หายความสงสัย และผมก็ได้เสนอให้ท่านพล.ต.อ.ประทิน เป็นประธานและเป็นผู้นำของประชาชน เพราะเป็นผู้ที่มีภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำและความน่าเชื่อถือ จนนำมาสู่การเดินขบวนครั้งแรกของประชาชนจากสวนลุมพินีมายังทำเนียบรัฐบาล โดยมีผมเป็นโฆษกนำการชุมนุมบนเวทีรถเคลื่อนที่ และคำว่า “ทักษิณออกไป..ทักษิณออกไป” เริ่มขึ้นครั้งแรกจากการเดินขบวนวันนั้น
ที่ทวนความจำมาทั้งหมด โดยย่อๆ บางส่วน ก็เพื่อจะบอก อ.เจิมศักดิ์ ว่า ถ้าผมเป็นเพียงลูกหาบในการเคลื่อนไหวของพี่น้องพันธมิตรฯ อย่างที่ อ.เจิมศักดิ์ไปให้สัมภาษณ์ในรายการ ตอบโจทก์ ผมคงไม่มีบทบาทอย่างที่เขียนมา เรื่องระหว่างผมกับอ.เจิมศักดิ์ ยังมีสิ่งที่จะต้องพูดกันอีกยาวว่า จุดยืนของอ.เจิมศักดิ์ วันนี้กับในอดีตได้เปลี่ยนไปจริงหรือไม่ โปรดติดตามอ่านในตอนต่อไป....
อ.เจิมศักดิ์ ได้ออกมาแสดงจุดยืนปกป้องรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แบบสุดลิ่มทิ่มประตู ปกป้องและเชลียร์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชนิดไม่ลืมหูลืมตา ยืนอยู่คนละฝ่ายกับภาคประชาชนอย่างน่าประหลาดใจ ผิดวิสัยของ อ.เจิมศักดิ์ ที่ผม และประชาชนทั้งหลายเคยสัมผัส หรือรู้จักบทบาทความเป็นนักวิชาการ ผู้จัดรายการทางวิทยุ ทีวี หรือบทบาททางการเมืองในฐานะสมาชิกวุฒิสภา ที่กล้าคิด กล้าแสดงออก และวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา ให้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุและผลอย่างน่ารับฟัง น่าเชื่อถือ และน่าเคารพศรัทธายิ่ง
แต่กลับเรื่องดินแดนและอธิปไตยกลับนิ่งเงียบไม่กล้าแสดงความเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า วันนี้อ.เจิมศักดิ์ ได้ออกมาเป็นกองหน้าในการวิพากษ์วิจารณ์ถึงตัวผมและคุณสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างมีนัยสำคัญ มีความพยายามและมุ่งมั่นที่จะทำลายความน่าเชื่อถือ สำหรับผมและคุณสนธิ อย่างเอาจริงเอาจัง เหมือนต้องการสร้างผลงานให้เป็นที่พอใจ โดยทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์นายอภิสิทธิ์ ไม่ต่างอะไรกับนายนพดล ปัทมะ ปกป้องทักษิณ ชินวัตร หรือนายสมัคร สุนทรเวช และนายดุสิต ศิริวรรณ ที่ทำตัวเป็นปากกระบอกเสียงให้กับรัฐบาลเผด็จการในอดีต
บางคนเมื่อเห็นพฤติกรรม อ.เจิมศักดิ์ ที่ออกมาตอบโต้กับผม และพี่น้องพันธมิตรฯ ได้ตั้งคำถาม และมีข้อสงสัยว่า พันธมิตรฯ ทำไมมาทะเลาะกันเองบ้าง หรือเวทีชุมนุม ทำไมต้องวิพากษ์วิจารณ์ทำลายกัลยาณมิตร และข้อเท็จจริงเกิดอะไรขึ้น คนที่เคยร่วมสู้กันมากับทักษิณ บางคนจึงหันมาวิพากษ์วิจารณ์กันเอง โดยเฉพาะเรื่องระหว่างผมกับอ.เจิมศักดิ์ มีปัญหาและความเป็นมาอย่างไร ทำไมต้องกลายมาเป็นคู่วิวาทะบนเวทีสื่อสาธารณะต่างๆ เพื่อความเข้าใจต่อปัญหานี้ ผมจำเป็นต้องพูดและเขียนเพื่อบอกความจริงกับสังคม และพี่น้องว่าอะไรจริง อะไรเท็จ อะไรคือจุดยืนที่ถูกที่ควร เพราะวันนี้ผมกับอ.เจิมศักดิ์ ต่างยืนอยู่คนละจุด ผมปกป้องแผ่นดิน อ.เจิมศักดิ์ ปกป้องอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ผมรู้จัก อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 หลังจากที่ประชาชนเรือนแสนเรือนล้านได้ออกมาต่อสู้กับรัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร โดยการนำของ พลตรีจำลอง ศรีเมือง และนาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริ ซึ่งผมก็เป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ดังกล่าว ตั้งแต่ต้นจนจบ ผมใช้โรงแรมอิมพีเรียล ของคุณอากร ฮุนตระกูล เป็นที่ประชุมพบปะหารือในการวางแผนและจัดการชุมนุมต่อสู้ จนประชาชนสามารถได้รับชัยชนะ บ้านเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นายอานันท์ ปันยารชุน ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เกิดบรรยากาศประชาธิปไตยกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
พวกเราจึงได้เห็นอ.เจิมศักดิ์ ร่วมกับคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ก่อตั้งมูลนิธิสื่อสร้างสรรค์ และมีรายการมองต่างมุม ทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (ช่อง 11) ถือได้ว่ารายการนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะการต่อสู้ของประชาชน ผมได้พบอ.เจิมศักดิ์ แวะเวียนไปที่โรงแรมอิมพีเรียล ถนนวิทยุ และอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค ถนนสุขุมวิท บ่อยครั้ง เพื่อไปทานข้าวและสนทนาทางการเมืองกับคุณอากร ฮุนตระกูล โดยบางครั้งก็มีผม และ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ร่วมโต๊ะอาหารและสนทนา เพราะผมกับ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ก็เป็นแขกประจำของคุณอากร ทั้งผมเองก็เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายให้กับคุณอากร เป็นส่วนตัว
และเมื่อ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ลงเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในนามพรรคพลังธรรม พร้อมกับคุณอากร ฮุนตระกูล ก็ยิ่งทำให้มีโอกาสได้พบกันบ่อยขึ้น ครั้น น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เมื่อปี พ.ศ. 2535 คุณอากร ฮุนตระกูล ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี ส่วนผมก็เป็นเลขานุการส่วนตัวและเป็นที่ปรึกษาของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริด้วย การที่อ.เจิมศักดิ์ แวะเวียนมาพบคุณอากรบ่อยๆ ก็ได้มีโอกาสสนทนากันบ้างเป็นครั้งคราว และสำนักงานออฟฟิศของ อ.เจิมศักดิ์ ก็ได้รับความอนุเคราะห์จากคุณอากร ฮุนตระกูล เป็นพิเศษ แทบจะเรียกว่าให้อยู่ฟรีก็ว่าได้ ต่อมาแม้คุณอากร จะได้ขายกิจการโรงแรมนี้ให้แก่ คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ไปแล้ว สำนักงานของอ.เจิมศักดิ์ ก็ยังตั้งอยู่ที่เดิม จะโดยได้รับการสนับสนุนจากคุณเจริญ แค่ไหนอย่างไร ตรงนี้ผมไม่ทราบ
เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่ทักษิณ ก่อนเกิดเหตุปฏิวัติรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ผมกับ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ได้มีโอกาสทานข้าวและพูดคุยชักชวนเพื่อให้อ.เจิมศักดิ์ มาร่วมการเคลื่อนไหวกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร อยู่ที่หอประชุมธรรมศาสตร์ และสวนลุมพินี โดยพบปะกันที่คอฟฟี่ช็อปโรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค และพบปะทานอาหารพูดคุยกันอีกครั้งที่โรงแรมโนโวเทล สุขุมวิท
แต่คราวนี้มีบุคคลอื่นๆ มาร่วมด้วยอีกหลายท่าน อาทิ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ, กรรมการ ป.ป.ช. (ไม่ประสงค์เอ่ยนาม), อดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่, สมาชิกวุฒิสภา ร่วมพูดคุยด้วย โดยมีผมเป็นผู้นำเสนอข้อเท็จจริงของสถานการณ์บ้านเมืองและเหตุผลว่าทำไมจึงควรที่จะไปร่วมกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และตอบคำถามข้อข้องใจที่แต่ละท่านมีต่อคุณสนธิ ให้หายความสงสัย และผมก็ได้เสนอให้ท่านพล.ต.อ.ประทิน เป็นประธานและเป็นผู้นำของประชาชน เพราะเป็นผู้ที่มีภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำและความน่าเชื่อถือ จนนำมาสู่การเดินขบวนครั้งแรกของประชาชนจากสวนลุมพินีมายังทำเนียบรัฐบาล โดยมีผมเป็นโฆษกนำการชุมนุมบนเวทีรถเคลื่อนที่ และคำว่า “ทักษิณออกไป..ทักษิณออกไป” เริ่มขึ้นครั้งแรกจากการเดินขบวนวันนั้น
ที่ทวนความจำมาทั้งหมด โดยย่อๆ บางส่วน ก็เพื่อจะบอก อ.เจิมศักดิ์ ว่า ถ้าผมเป็นเพียงลูกหาบในการเคลื่อนไหวของพี่น้องพันธมิตรฯ อย่างที่ อ.เจิมศักดิ์ไปให้สัมภาษณ์ในรายการ ตอบโจทก์ ผมคงไม่มีบทบาทอย่างที่เขียนมา เรื่องระหว่างผมกับอ.เจิมศักดิ์ ยังมีสิ่งที่จะต้องพูดกันอีกยาวว่า จุดยืนของอ.เจิมศักดิ์ วันนี้กับในอดีตได้เปลี่ยนไปจริงหรือไม่ โปรดติดตามอ่านในตอนต่อไป....