“ประพันธ์” ชี้ “เจิมศักดิ์” เคยร่วมต่อสู้กับพันธมิตรฯ ขับไล่ “ทักษิณ” เพราะหนุนพรรคประชาธิปัตย์ ตอนนี้ทำรายการมีแต่เชลียร์ “อภิสิทธิ์” ปกป้องรัฐบาล ทำเป็นมองไม่เห็น รัฐบาลปล่อยให้พรรคร่วมโกงกิน
นายประพันธ์ คูณมี วิทยากรเวทีพันธมิตรฯ กล่าวในรายการ “ตอบโจทย์ข่าว” ทางไทยพีบีเอส ว่ากรณีที่นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง บอกว่าตนพูดเท็จ ในเรื่องการชวนมาขึ้นเวทีชุมนุมพันธมิตรฯ โดยระบุว่าในตอนนั้นตนได้ไปชวนนายเจิมศักดิ์มาร่วมกับพันธมิตรฯ ได้ไปทานข้าวกับนายเจิมศักดิที่โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค ได้รู้จักกันตั้งแต่สมัยนายอากร ฮุนตระกูล ซึ่งนายอากรเป็นคนมีน้ำใจชอบช่วยเหลือคน สำนักงานของนายเจิมศักดิ์ที่อิมพีเรียลควีนส์ปาร์คก็ได้นายอากรให้การสนับสนุน ตนและนายเจิมศักดิ์ได้รู้จักกันมาตั้งแต่นายเจิมศักดิ์ทำรายการทีวี เคยลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา ตนกับเพื่อนก็เคยไปช่วยนายเจิมศักดิ์หาเสียง ตอนนั้นใช้ออฟฟิศที่อิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค มีตน มี น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ไปด้วย ในตอนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี
หลังจากนั้นมีการไปทานข้าวกันอีก มีนายการุณ ใสงาม พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ตนได้แนะนำชักชวนให้มาร่วมกันแก้ปัญหาให้บ้านเมือง นายเจิมศักดิ์ก็มาร่วม แล้วก็ไปร่วมกันที่เวทีที่สวนลุมพินี มีการเดินขบวน ใครๆ ก็มาร่วมเดินขบวนในวันนั้น ส่วนเรื่องขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ในตอนนั้น ตนไม่ได้บอกว่านายเจิมศักดิ์ มาขอขึ้นเวที แต่ในช่วงการชุมนุมแรกๆ ไม่มีรายการเจิมศักดิ์ พอการชุมนุมผ่านไปรายการของนายเจิมศักดิ์ก็มาขึ้นบนเวที ซึ่งก็ลงตัวของความร่วมมือกันในคราวนั้น เพราะนายเจิมศักดิ์รังเกียจทักษิณ แต่อาจจะอยากให้นายอภิสิทธิ์ขึ้นบริหารประเทศ ตอนนั้นเราก็ไม่มีข้อรังเกียจนายอภิสิทธิ์ แต่ภายหลังจากเป็นนายกฯ บริหารประเทศแล้วเรารังเกียจ
ส่วนประเด็นที่บอกว่าเราไปขออะไรเขา แล้วเขาไม่ให้นั้น นายประพันธ์กล่าวว่าไม่เป็นความจริง เราไม่ได้ขออะไร ตอนที่สู้กับทักษิณ เราเปิดกว้าง มีทั้งพรรคประชาธิปัตย์ มีนายเจิมศักดิ์ เข้ามาร่วมต่อสู้ เราไม่ได้รังเกียจ เป็นแนวร่วมกันมากกว่า ไม่ได้รักหลงใหลเป็นการส่วนตัว แต่ตอนนี้มีปัญหาคือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เราไม่ได้ไปขออะไรรัฐบาลนายอภิสิทธิ แต่เนื่องจากการบริหารประเทศ ส่วนการที่รายการนายเจิมศักดิ์ได้มาออกทีวีช่อง 11 รายการของนายเจิมศักดิ์ได้ร่วมกันกับคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัย์ เพื่อทำรายการโทรทัศน์ ซึ่งได้จัดรายการช่วงรัฐบาลประชาธิปัตย์ และก็หายไปช่วงทักษิณ แล้วตอนนี้ก็กลับมาอีก
รายการของนายเจิมศักดิ์ตอนนี้เชลียร์นายอภิสิทธิ์ ปกป้องนายอภิสิทธิ์ ทำให้คนตั้งข้อสงสัย ว่าไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาเหมือนที่เคยทำ การที่นายเจิมศักดิ์บอกว่าไม่เอาทักษิณ และเลือกข้างอภิสิทธิ์ ตนก็มีทางเลือก แต่เมื่อนายอภิสิทธิ์ทำไม่ถูกต้อง นายเจิมศักดิ์บอกว่าพรรคร่วมรัฐบาลโกง แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้โกง นายเจิมศักดิ์อาจมองไม่เห็น เมื่อดวงตาเป็นแบบนี้ก็ต่างกัน การมองไม่เห็น การมีความสัมพันธ์ส่วนตัว จึงทำให้มองข้ามสาระสำคัญไป ก็ได้เผยตัวตนให้เห็น การที่มาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยกัน การทำรายการมองต่างมุมด้วยกัน ก็เลยทำให้มองข้าม นายอภิสิทธิ์ไม่ได้โกง แต่ปล่อยให้คนอื่นโกง จะมาแก้ตัวแบบนี้ไม่ได้ ถ้าทุกคนแก้ตัวแบบนี้ได้ ตนก็เป็นนายกฯ ได้ จะอ้างว่าถ้าไปว่าเขา เขาก็จะไม่ให้เป็นนายกฯ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงก็เห็นแล้วว่ารัฐบาลชุดนี้มีการทุจริตไม่น้อยกว่ารัฐบาลที่แล้ว
ส่วนประเด็นที่ว่าตนชกข้ามรุ่น นายเจิมศักดิ์เอาตนไปเทียบกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่โจมตี พล.อ.เปรม ถ้าเทียบนายอภิสิทธิ์กับตน ถือว่าตนรุ่นใหญ่กว่านายอภิสิทธิ์ เพราะนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ เพราะมีคนอุปโลกน์ มีการอุ้มสม นายอภิสิทธิ์มีบารมีอะไร มีคุณงามความดีอะไร ถ้าบอกว่าตนชกข้ามรุ่นเพราะวิจารณนายกฯ การที่นายเจิมศักดิ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณก็ต้องถือว่าชกข้ามรุ่นเหมือนกัน การวิจารณ์นายกฯสามารถทำได้ เพราะเขาเป็นบุคคลสาธารณะ นายกฯ คนไหนก็ตามถ้าบริหารประเทศไม่ดี ตนมีหน้าที่ต้องพูดถึง ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ที่ต่างกัน แต่เรามีจุดยืนต่างกัน นายเจิมศักดิ์อาจจะมองไม่เห็น ในที่สุดสังคมจะตรวจสอบเอง
ตอนนี้คนที่เห็นต่างจากพันธมิตรฯ มีนายเจิมศักดิ์เป็นหัวหอก มีการเชิญคนอื่นมาเป็นแนวร่วม เป็นคนที่ตอนนั้นเคยร่วมกันต่อสู้ แต่ตอนนี้ไปปกป้องนายอภิสิทธิ์ เราต่างกันที่จุดยืนการเมือง ตอนนี้เขาเปลี่ยนจุดยืน เขาพอใจแล้ว ไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร แต่เราเห็นว่าบ้านเมืองไม่ได้ดีขึ้น
สำหรับกรณีพรรคการเมืองใหม่ นายประพันธ์กล่าวว่า พรรคการเมืองใหม่เป็นพวกเดียวกัน เป็นพี่น้องกัน พรรคการเมืองใหม่เกิดจากพันธมิตร มีพันธมิตรเป็นเจ้าของ เราก็เรียกร้องให้มาร่วมแสดงจุดยืนร่วมกับพันธมิตรฯ เราเรียกร้องให้แสดงจุดยืนร่วมกับประชาชน พรรคก็รับไปพิจารณา การไม่ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นยุทธวิธีการเมืองอย่างหนึ่ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยใช้ ซึ่งตอนนี้เห็นว่ายังไม่ควรเข้าไปลงเลือกตั้ง ประชาชนเบื่อหน่าย พรรคการเมืองใหม่ควรรณรงค์การปฏิรูปการเมือง การตั้งพรรคเพราะต้องการให้เป็นเครื่องมือของพันธมิตร ไม่ได้หมายความว่าไม่ลงเลือกตั้งคราวนี้ แล้วครั้งหน้าจะไม่ลง การมีพรรคการเมืองไม่ได้มีเรื่องเลือกตั้งเรื่องเดียว แต่ยังมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น การให้ความรู้ การรณรงค์ต่างๆ
ส่วนที่กล่าวว่า หลายคนอยากเป็น ส.ส. อยากเป็นหัวหน้าพรรค นายประพันธ์กล่าวว่า ตอนตั้งพรรคก็มีแข่งขันกันเสนอตัวเป็นหัวหน้าพรรคบ้าง แต่ไม่รุนแรง ในตอนเริ่มต้นนายสนธิเป็นหัวหน้าพรรค เพราะเป็นที่ยอมรับกัน ต่อมานายสมศักดิ์ โกศัยสุข อาสาตัว ทางแกนนำพันธมิตรฯ ก็ให้เงื่อนไขว่าควรเป็นแค่ในช่วงที่ไม่มีเลือกตั้ง เมื่อใกล้จะเลือกตั้งนายสมศักดิ์ก็ควรเปิดโอกาสให้คนอื่นมาทำหน้าที่ เพราะนายสมศักดิ์ยังไม่เหมาะสมที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ได้ วันนี้ถ้าจะมีเลือกตั้งก็ต้องมาทบทวน แต่ตอนนี้ตนอยากขอให้ร่วมกันปฏิรูปการเมืองก่อน ตอนนี้การเลือกตั้งไม่เอื้อให้คนดีเข้ามาแข่งขัน ลงเลือกตั้งไปก็ไม่ทำให้การเมืองดีขึ้น เราควรทำอะไรที่มีประโยชน์มากกว่า ซึ่งนายสนธิไม่ได้คิดเองส่วนตัว แต่ฟังจากเสียงประชาชน ซึ่งอาจจะมีคนบางส่วนไม่สุกงอมทางความคิด ทำให้มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
นายประพันธ์กล่าวในตอนท้ายว่า เราไม่ได้ตั้งใจล้มใคร เราต้องการทำสิ่งถูกต้อง การบริหารประเทศมีการโกงกิน ปกปิดความจริง ในที่สุดก็จะถูกความจริงไล่ล่า บดขยี้ ซึ่งต้องฟังเสียงประชาชน เราไม่ได้ต้องการทำลายล้างใครเป็นส่วนบุคคล