ASTVผู้จัดการรายวัน – อุตสาหกรรมสีเหนื่อยหนักวัตถุดิบขาดแคลน ราคาพุ่ง เหตุญี่ปุ่นผู้ส่งออกหลักประสบภัยธรรมชาติไม่ส่งออกสินค้า แถมต้องนำเข้ามาใช้เอง ส่งผลวัตถุดิบปรับขึ้นกว่าเท่าตัว เฉพาะไททาเนียม ทินเนอร์ขึ้นกว่า 100% บางชนิดขาดตลาด ขณะที่ผู้ประกอบการขึ้นราคาขายแล้ว 3-5% แต่ยังไม่เท่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นกว่า 10% คาดอีกไม่เกิน 3 เดือนรายเล็กทยอยเจ๊ง - ขายกิจการ ด้าน”ทีโอเอ”ยันรายได้ยังโตคงเป้ารายได้ทั้งปี 12,000 ล้านบาท ล่าสุดโทนกระแสโลกร้อนเปิดตัว “ซุปเปอร์ซิลด์ ไททาเนียม”
นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดสีทาอาคารในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้มีอัตราเติบโตขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในแง่ของมูลค่าเนื่องจากผู้ผลิตทุกรายปรับขึ้นราคาสีเฉลี่ยประมาณ 3-5% โดยคาดว่าตลาดทั้งปีมูลค่าตลาดสีทาอาคารจะเพิ่มขึ้นจาก 12,300 ล้านบาทในปี 53 เป็น 15,000 ล้านบาทในปีนี้ ส่วนหนึ่งมาจากพิติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาเปลี่ยนสีทาอาคารเร็วขึ้นประมาณ 5-6 ปี ต่างจากในอดีตที่จะเปลี่ยนสีทาอาคารใหม่นานกว่า 10 ปี นอกจากนี้ภาวะโลกร้อนและภัยทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญต่อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอีกด้วย
สำหรับปัญหาใหญ่ของอุตสาหกรรมสีในปัจจุบัน คือ ต้นทุนผลิตปรับขึ้นกว่า 10% เนื่องจากญี่ปุ่นซึ่งประเทศผู้ส่งออกวัตถุดิบหลักประสบภัยแผ่นดินไหวและสึนามิ ทำให้ไม่สามารถผลิตสินค้าและส่งออกสินค้าอีกทั้งยังสั่งนำเข้าเป็นจำนวนมากเพื่อใช้ภายในประเทศ ทำให้วัตถุดิหลายชนิดปรับขึ้นกว่า 100% อาทิ ทินเนอร์จาก 40 บาท/ลิตรขึ้นเป็นกว่า 100 บาท/ลิตรในปัจจุบัน, ไททาเนียม จาก 2,000 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีที่ผ่านมาปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าถึงสิ้นปีจะขึ้นไปถึง 4,000 เหรียญสหรัญ/ตัน รวมถึงสารเคมีอีกหลายชนิดที่ปรับขึ้นกว่าเท่าตัว บางชนิดถึงกับขาดตลาดเช่น เมล็ดฝ้ายที่ใช้ทำให้สีข้นขึ้น ประเทศผู้ผลิตในแถบยุโรปประสบภาวะโลกร้อนทำให้ผลิตที่ได้น้อยลงมากจนถึงขั้นขาดแคลน
“ปัญหาใหญ่ของผู้ผลิตในปีนี้คือ ต้นทุนขึ้นไปสูงมากจนอาจทำให้ขาดทุนได้ เพราะไม่สามารถขึ้นราคาได้เท่ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ทั้งจากการแข่งขันในตลาดของผู้ผลิตรายอื่นและอาจทำให้ผู้บริโภคตกใจจนตลาดชะลอตัวได้ ดังนั้นจะต้องบริหารจัดการต้นทุนให้ดี สำหรับทีโอเอยังได้เปรียบในแง่ของการเป็นรายใหญ่สั่งซื้อสินค้าครั้งละจำนวนมากทำให้ล็อกราคาวัตถุดิบบางตัวไว้ได้ในระดับหนึ่ง ประกอบกับเทคโนโลยีระดับสูงสามารถใช้วัตถุดิบทดแทนได้ในบางชนิด”
ที่ผ่านมาผู้ประกอบการได้ปรับขึ้นราคาขายเฉลี่ย 3-5% บางรายปรับขึ้นมาแล้ว 3-4 ครั้ง และคาดว่าจะมีหลายรายที่ไม่สามารถแบกรับต้นทุนได้ปทะยอยปรับขึ้นราคาอีกภายในปีนี้ เพราะขณะนี้แนวโน้มของราคาวัตถุดิบยังปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดขึ้นราคา อย่างไรก็ตามกำไรของผู้ประกอบการในปีนี้จะลดลงอย่างมากจากต้นทุนที่ปรับขึ้น เพราะแม้ว่าจะปรับขึ้นราคาขายมาบ้างแล้วแต่ยังไม่ครอบคลุมต้นทุนที่ปรับขึ้นประมาณ 10%
แหล่งข่าวจากตัวแทนจำหน่ายสีเปิดเผยว่า มีผู้ประกอบการรายย่อย 3-4 ราย ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ในต่างจังหวัด อยู่ในภาวะวิกฤตใกล้ปิดกิจการ บางรายอยู่ระหว่างเจรจาขายกิจการ และจะเห็นภาพชัดเจนในอีกไม่เกิน 2-3 เดือนข้างหน้านี้ เนื่องจากทนแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่ไหว และจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า หลังจากใช้สต๊อกวัตถุดิบหมดลง
นายจตุภัทร์กล่าวต่อว่า ปัจจุบันทีโอเอเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มสีทาอาคารเกรดอัลตร้าพรีเมี่ยม และพรีเมี่ยมหรือเกรดบนกว่า 60% หรือคิดเป็น 3,500 ล้านบาท จากตลาดทั้งหมดที่มีถึง 5,800 ล้านบาท ในขณะที่ตลาดสีทาอาคารปัจจุบันมีมูลค่า 12,300 ล้านบาท ปีนี้ทีโอเอยังคงมั่นใจในคุณภาพสีซุปเปอร์ชิลด์ ไททาเนียม พร้อมชูจุดขายใหม่ สีทน สะท้อนความร้อน ด้วยส่วนผสมจากไททาเนียมระดับนาโน ชนิดคุณภาพสูงสุด โดยตั้งเป้างบการตลาดประมาณ 300 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายรายได้ทั้งบริษัท 12,000 ล้านบาท โตขึ้นกว่า 10% จากปี 53
นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดสีทาอาคารในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้มีอัตราเติบโตขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในแง่ของมูลค่าเนื่องจากผู้ผลิตทุกรายปรับขึ้นราคาสีเฉลี่ยประมาณ 3-5% โดยคาดว่าตลาดทั้งปีมูลค่าตลาดสีทาอาคารจะเพิ่มขึ้นจาก 12,300 ล้านบาทในปี 53 เป็น 15,000 ล้านบาทในปีนี้ ส่วนหนึ่งมาจากพิติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาเปลี่ยนสีทาอาคารเร็วขึ้นประมาณ 5-6 ปี ต่างจากในอดีตที่จะเปลี่ยนสีทาอาคารใหม่นานกว่า 10 ปี นอกจากนี้ภาวะโลกร้อนและภัยทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญต่อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอีกด้วย
สำหรับปัญหาใหญ่ของอุตสาหกรรมสีในปัจจุบัน คือ ต้นทุนผลิตปรับขึ้นกว่า 10% เนื่องจากญี่ปุ่นซึ่งประเทศผู้ส่งออกวัตถุดิบหลักประสบภัยแผ่นดินไหวและสึนามิ ทำให้ไม่สามารถผลิตสินค้าและส่งออกสินค้าอีกทั้งยังสั่งนำเข้าเป็นจำนวนมากเพื่อใช้ภายในประเทศ ทำให้วัตถุดิหลายชนิดปรับขึ้นกว่า 100% อาทิ ทินเนอร์จาก 40 บาท/ลิตรขึ้นเป็นกว่า 100 บาท/ลิตรในปัจจุบัน, ไททาเนียม จาก 2,000 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีที่ผ่านมาปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าถึงสิ้นปีจะขึ้นไปถึง 4,000 เหรียญสหรัญ/ตัน รวมถึงสารเคมีอีกหลายชนิดที่ปรับขึ้นกว่าเท่าตัว บางชนิดถึงกับขาดตลาดเช่น เมล็ดฝ้ายที่ใช้ทำให้สีข้นขึ้น ประเทศผู้ผลิตในแถบยุโรปประสบภาวะโลกร้อนทำให้ผลิตที่ได้น้อยลงมากจนถึงขั้นขาดแคลน
“ปัญหาใหญ่ของผู้ผลิตในปีนี้คือ ต้นทุนขึ้นไปสูงมากจนอาจทำให้ขาดทุนได้ เพราะไม่สามารถขึ้นราคาได้เท่ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ทั้งจากการแข่งขันในตลาดของผู้ผลิตรายอื่นและอาจทำให้ผู้บริโภคตกใจจนตลาดชะลอตัวได้ ดังนั้นจะต้องบริหารจัดการต้นทุนให้ดี สำหรับทีโอเอยังได้เปรียบในแง่ของการเป็นรายใหญ่สั่งซื้อสินค้าครั้งละจำนวนมากทำให้ล็อกราคาวัตถุดิบบางตัวไว้ได้ในระดับหนึ่ง ประกอบกับเทคโนโลยีระดับสูงสามารถใช้วัตถุดิบทดแทนได้ในบางชนิด”
ที่ผ่านมาผู้ประกอบการได้ปรับขึ้นราคาขายเฉลี่ย 3-5% บางรายปรับขึ้นมาแล้ว 3-4 ครั้ง และคาดว่าจะมีหลายรายที่ไม่สามารถแบกรับต้นทุนได้ปทะยอยปรับขึ้นราคาอีกภายในปีนี้ เพราะขณะนี้แนวโน้มของราคาวัตถุดิบยังปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดขึ้นราคา อย่างไรก็ตามกำไรของผู้ประกอบการในปีนี้จะลดลงอย่างมากจากต้นทุนที่ปรับขึ้น เพราะแม้ว่าจะปรับขึ้นราคาขายมาบ้างแล้วแต่ยังไม่ครอบคลุมต้นทุนที่ปรับขึ้นประมาณ 10%
แหล่งข่าวจากตัวแทนจำหน่ายสีเปิดเผยว่า มีผู้ประกอบการรายย่อย 3-4 ราย ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ในต่างจังหวัด อยู่ในภาวะวิกฤตใกล้ปิดกิจการ บางรายอยู่ระหว่างเจรจาขายกิจการ และจะเห็นภาพชัดเจนในอีกไม่เกิน 2-3 เดือนข้างหน้านี้ เนื่องจากทนแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่ไหว และจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า หลังจากใช้สต๊อกวัตถุดิบหมดลง
นายจตุภัทร์กล่าวต่อว่า ปัจจุบันทีโอเอเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มสีทาอาคารเกรดอัลตร้าพรีเมี่ยม และพรีเมี่ยมหรือเกรดบนกว่า 60% หรือคิดเป็น 3,500 ล้านบาท จากตลาดทั้งหมดที่มีถึง 5,800 ล้านบาท ในขณะที่ตลาดสีทาอาคารปัจจุบันมีมูลค่า 12,300 ล้านบาท ปีนี้ทีโอเอยังคงมั่นใจในคุณภาพสีซุปเปอร์ชิลด์ ไททาเนียม พร้อมชูจุดขายใหม่ สีทน สะท้อนความร้อน ด้วยส่วนผสมจากไททาเนียมระดับนาโน ชนิดคุณภาพสูงสุด โดยตั้งเป้างบการตลาดประมาณ 300 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายรายได้ทั้งบริษัท 12,000 ล้านบาท โตขึ้นกว่า 10% จากปี 53