ASTVผู้จัดการรายวัน- ดุสิตธานีชี้ ปี 54 พลิกมีกำไรหลัง 2 ปีที่ผ่านมาขาดทุนต่อเนื่องจากปัญหาเมือง เหตุ การเมืองนิ่ง นักท่องเที่ยวกลับเข้ามาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้นส่งผลอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 70-80% เตรียมปรับราคาห้องพักเพิ่มอีก 10% "ผู้บริหาร" เผย เล็งทำธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ให้เช่าในไทยจากมาร์จิ้นสูงหลังประสบความสำเร็จในต่างประเทศ พร้อม เข้าเทกโอเวอร์โรงแรมทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ
นายชนินทธ์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)หรือ DTC เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าปี2554 บริษัทจะกลับมามีกำไรสุทธิ หากไม่มีปัญหาทางการเมือง ซึ่งปัจจุบันจากการที่สถานการณ์ทางการเมืองนิ่งนั้นทำให้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้อัตราการเข้าพักขณะนี้อยู่ที่ 70-80% โดยคาดว่าปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 70% จากปี 2553 ที่เฉลี่ย 50% ทำให้โรงแรมทุกแห่งของบริษัทมีกำไรและบริษัทมีกำไรจากการขายกองทุนรวมอสังหาริมทรพัย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี (DTCPF)หลังจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีผลขาดทุนเพราะจากปัญหาการเมืองในประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าปีนี้จะมีรายได้เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่คาดว่าจะมีรายได้ 3,000 ล้านบาท โดยโรงแรมที่จะสร้างรายได้แก่บริษัทมากสุดคือที่ภูเก็ต เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาท่องเที่ยวมากขึ้นรวมถึงการจัดสัมมนาของชาวต่างชาติ โดยบริษัทเตรียมที่จะมีการปรับเพิ่มราคาห้องพัก 10%หลังจากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาทางบริษัทไม่ได้มีการปรับขึ้นราคาห้องพัก อันเป็นผลกระทบจากปัญหาทางการเมือง แต่การปรับราคาห้องพักนั้นขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับก่อนที่จะเกิดปัญหาการเมืองในประเทศ และราคาห้องพักในประเทศไทยนั้นถือว่ามีราคาถูกว่าโรงแรม 5 ดาวในประเทศเพื่อนบ้านถึง 100-200%
สำหรับปีนี้บริษัทมีแผนที่จะลงทุนทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจโรงแรม คือ การให้เช่าอพาร์ตเม้นท์ , ให้เช่าเรสซิเดนท์ ซึ่งจะทำในประเทศไทย หลังจากประสบความสำเร็จจากการทำที่ตะวันออกกลางที่เปิดไป 2 แห่ง และปีนี้มีแผนที่จะเปิดที่ตะวันออกกลางอีก 3 แห่ง โดยธุรกิจการให้เช่าอพาร์ทเม้นท์และเรสซิเดนท์ มีอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น)ที่สูงถึง 50-60% จากธุรกิจโรงแรมที่มีมาร์จิ้นอยู่ที่ 30% และธุรกิจทางด้านสายการศึกษาจากที่บริษัทเปิดโรงเรียนสอนทำอาหาร
นายชนินทธ์กล่าวถึงแผนการขยายธุรกิจโรงแรมบริษัทมีแผนที่จะขายในส่วนต่างประเทศมากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายรายได้ โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาที่จะเข้าไปซื้อกิจการโรงแรมในต่างประเทศ แถบยุโรป 2-3 แห่งในปีนี้ เพราะราคาสินทรัพย์มีราคาถูก ส่วนในประเทศไทยนั้นบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปซื้อโรงแรมอีก 2-3 แห่ง โดยเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ได้แก่ หัวหิน ภูเก็ต เชียงใหม่ โดยที่ผ่านมา เมืองท่องเที่ยวเหล่านี้ต่างประสบปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง น่าจะมีบางแห่งที่ต้องการขายกิจการออกมา ขณะที่บริษัทมีความพร้อมด้านเงินทุน เนื่องจากมีวงเงินออกหุ้นกู้อยู่จำนวน 5 พันล้านบาทซึ่งได้ขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว และหากจะกู้เงินสถาบันการเงิน บริษัทก็มีความพร้อม เพราะปัจจุบันมีอัตราหนี้สินต่อทุนเพียง 0.1 เท่า
" ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทจะมาจากรายได้ในประเทศ 75% ต่างประเทศ 25% ซึ่งในอีก 2 ปี บริษัทตั้งเป้าจะมีสัดส่วนรายได้ในประเทศ 50% ต่างประเทศ 50% เพื่อที่เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในประเทศจะได้ไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทมากนัก โดยบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปซื้อโรงแรมในต่างประเทศ และทำอพาร์ตเม้นท์ หรือ เรสซิเดนท์ ให้เช่า แต่ในประเทศไทยก็ยังคงขยายอยู่ซึ่งปีนี้มีแผนที่จะซื้อโรงแรมเพิ่มอีก 2-3 แห่ง " นายชนินทธ์ กล่าว
นายชนินทธ์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)หรือ DTC เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าปี2554 บริษัทจะกลับมามีกำไรสุทธิ หากไม่มีปัญหาทางการเมือง ซึ่งปัจจุบันจากการที่สถานการณ์ทางการเมืองนิ่งนั้นทำให้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้อัตราการเข้าพักขณะนี้อยู่ที่ 70-80% โดยคาดว่าปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 70% จากปี 2553 ที่เฉลี่ย 50% ทำให้โรงแรมทุกแห่งของบริษัทมีกำไรและบริษัทมีกำไรจากการขายกองทุนรวมอสังหาริมทรพัย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี (DTCPF)หลังจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีผลขาดทุนเพราะจากปัญหาการเมืองในประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าปีนี้จะมีรายได้เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่คาดว่าจะมีรายได้ 3,000 ล้านบาท โดยโรงแรมที่จะสร้างรายได้แก่บริษัทมากสุดคือที่ภูเก็ต เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาท่องเที่ยวมากขึ้นรวมถึงการจัดสัมมนาของชาวต่างชาติ โดยบริษัทเตรียมที่จะมีการปรับเพิ่มราคาห้องพัก 10%หลังจากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาทางบริษัทไม่ได้มีการปรับขึ้นราคาห้องพัก อันเป็นผลกระทบจากปัญหาทางการเมือง แต่การปรับราคาห้องพักนั้นขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับก่อนที่จะเกิดปัญหาการเมืองในประเทศ และราคาห้องพักในประเทศไทยนั้นถือว่ามีราคาถูกว่าโรงแรม 5 ดาวในประเทศเพื่อนบ้านถึง 100-200%
สำหรับปีนี้บริษัทมีแผนที่จะลงทุนทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจโรงแรม คือ การให้เช่าอพาร์ตเม้นท์ , ให้เช่าเรสซิเดนท์ ซึ่งจะทำในประเทศไทย หลังจากประสบความสำเร็จจากการทำที่ตะวันออกกลางที่เปิดไป 2 แห่ง และปีนี้มีแผนที่จะเปิดที่ตะวันออกกลางอีก 3 แห่ง โดยธุรกิจการให้เช่าอพาร์ทเม้นท์และเรสซิเดนท์ มีอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น)ที่สูงถึง 50-60% จากธุรกิจโรงแรมที่มีมาร์จิ้นอยู่ที่ 30% และธุรกิจทางด้านสายการศึกษาจากที่บริษัทเปิดโรงเรียนสอนทำอาหาร
นายชนินทธ์กล่าวถึงแผนการขยายธุรกิจโรงแรมบริษัทมีแผนที่จะขายในส่วนต่างประเทศมากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายรายได้ โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาที่จะเข้าไปซื้อกิจการโรงแรมในต่างประเทศ แถบยุโรป 2-3 แห่งในปีนี้ เพราะราคาสินทรัพย์มีราคาถูก ส่วนในประเทศไทยนั้นบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปซื้อโรงแรมอีก 2-3 แห่ง โดยเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ได้แก่ หัวหิน ภูเก็ต เชียงใหม่ โดยที่ผ่านมา เมืองท่องเที่ยวเหล่านี้ต่างประสบปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง น่าจะมีบางแห่งที่ต้องการขายกิจการออกมา ขณะที่บริษัทมีความพร้อมด้านเงินทุน เนื่องจากมีวงเงินออกหุ้นกู้อยู่จำนวน 5 พันล้านบาทซึ่งได้ขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว และหากจะกู้เงินสถาบันการเงิน บริษัทก็มีความพร้อม เพราะปัจจุบันมีอัตราหนี้สินต่อทุนเพียง 0.1 เท่า
" ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทจะมาจากรายได้ในประเทศ 75% ต่างประเทศ 25% ซึ่งในอีก 2 ปี บริษัทตั้งเป้าจะมีสัดส่วนรายได้ในประเทศ 50% ต่างประเทศ 50% เพื่อที่เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในประเทศจะได้ไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทมากนัก โดยบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปซื้อโรงแรมในต่างประเทศ และทำอพาร์ตเม้นท์ หรือ เรสซิเดนท์ ให้เช่า แต่ในประเทศไทยก็ยังคงขยายอยู่ซึ่งปีนี้มีแผนที่จะซื้อโรงแรมเพิ่มอีก 2-3 แห่ง " นายชนินทธ์ กล่าว