ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การบริหารประเทศของรัฐบาล ภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ มาถึงขณะนี้คงปฏิเสธภาพแห่งความเป็นจริงไปไม่ได้ว่า เกิดความล้มเหลวในแทบทุกด้าน เอาเพียงแค่เรื่องหลักๆ ก็อ่วมอรทัยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอุทกภัยครั้งล่าสุด ที่แสดงชัดเจนว่าไม่เคยจำบทเรียนที่เคยเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ที่เจ็บแสบแบบไม่น่าให้อภัยเนื่องจากปัญหาน้ำท่วมเกิดในพื้นที่ภาคใต้ของตัวเองแท้ๆ แต่ก็ยังปล่อยให้เกิดปัญหาร้ายแรงจนประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนไปถ้วนหน้า
อีกทั้งยังมีจุดสลบอันเป็นผลงานชิ้นโบว์ดำที่ยังหลอกหลอนประชาชนหนัก ก็หนีไม่พ้นปล่อยให้สินค้าพาเหรดกันขึ้นราคา ไม่ว่าจะเป็นทำน้ำมันปาล์มขาดตลาด ไข่ไก่ขาดตลาด ล่าสุดยังแสดงความบ้อท่าด้วยการปล่อยให้ราคาน้ำมันถั่วเหลืองขึ้นราคาอีกถึงขวดละ 9 บาท และยอมรับอีกว่ามีสินค้าหลายรายการจ่อขึ้นราคาตาม
ซ้ำร้ายนอกเสียจากไม่แก้ปัญหาที่รู้ทั้งรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่ก็ไม่ได้จัดการอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน ทำได้ดีที่สุดเพียงคำแก้ตัวว่าสินค้าที่พาเหรดกันขึ้นราคาพุ่งตามวัตถุดิบ
สอดรับกับผลโพลของศูนย์สำรวจความคิดเห็นของประชาชน “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ความพึงพอใจต่อผลงานรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี” ช่วงระยะเวลาในการสำรวจวันที่ 28-29 มีนาคม 2554 จากประชาชน 1,207 หน่วยตัวอย่าง กระจายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศจากทุกระดับการศึกษาและทุกกลุ่มอาชีพ
ทั้งนี้ ผลโพลที่ออกมาปรากฏว่า คะแนนรัฐบาลโดยรวมต่ำที่สุดตั้งแต่ดำเนินการสำรวจคือ เท่ากับ 5.35 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 รัฐบาลสอบตกในภาคใต้ ซึ่งเคยมีคะแนนสูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ เสมอ จากการสำรวจครั้งนี้ ภาคใต้ให้คะแนนรัฐบาลเพียง 4.97 คะแนน ต่ำกว่าภูมิภาคอื่น ๆ และเป็นคะแนนต่ำที่สุดเท่าที่เคยสำรวจมา
เรื่องนี้แม้แต่คนกันเองที่ถือว่าใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์ อย่าง ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ยังได้แสดงทัศนะว่า “หลายเรื่องรัฐบาลควรจะทำได้ดีกว่านี้ โดยเฉพาะเรื่องของราคาสินค้า เช่น น้ำมันปาล์ม รัฐบาลเข้าไปจัดการช้าเกินไป เรื่องที่เปราะบางหรือส่งกระทบกับประชาชนอย่างรวดเร็ว รัฐบาลต้องรีบเข้าไปจัดการแก้ไข มิเช่นนั้นก็จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาล เช่น ปัญหาภัยพิบัติ ระยะหลังๆ ประเทศไทยประสบกับปัญหาเหล่านี้มากขึ้น แต่หน่วยงานของรัฐยังขาดความพร้อมทำให้การเข้าไปช่วยเหลือไม่ทันท่วงที ซึ่งควรจะต้องไม่เกิน 72 ชั่วโมง หากช้ากว่านี้ผู้ประสบภัยจะคิดว่าไม่ได้รับการเอาใจใส่จากรัฐ เป็นเหตุให้ไม่พอใจ และความน่าเชื่อถือก็จะลดลง”
อย่างไรก็ดี ห้วงเวลาขณะนี้ต้องบอกว่าขยับเข้าสู่โหมดเลือกตั้งอย่างเต็มตัวแล้ว แต่ขณะเดียวกันสภาพก่อนลงสนามเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ก็มีแต่จะสาละวันเตี้ยลง ไม่เว้นแต่ละวัน เพราะดันมาเจอจุดสลบน้ำท่วมฐานเสียงตัวเอง และปัญหาสินค้าพาเหรดกันขึ้นราคาในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนยุบสภาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
และอย่าได้แปลกใจ หากก่อนหน้านี้ไม่กี่วันจะเห็นภาพนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ลงไปปราศรัยเรียกเรตติ้งแม่ยกประชาธิปัตย์ ที่โรงแรมสมุย ปาล์มบีช รีสอร์ท จ.สุราษฎร์ธานี ท่ามกลางสมาชิกพรรคเข้าร่วมงานประมาณ 1,000 คน
การปราศรัยของนายสุเทพ มีนัยยะทางการเมืองหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเช่นการประกาศชื่อแคนดิเดต หัวหน้าพรรคและผู้ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เช่น นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่เข้ามาเป็น ส.ส.เพียงสมัยแรก นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. นัยหนึ่งก็เป็นการโชว์ฟอร์มเหนือคู่แข่ง ต้องการบลัฟพรรคเพื่อไทยว่ายังหาหัวหน้าพรรคไม่ได้ แต่สำหรับพรรคตัวเองมีอะไหล่สำรองไว้เพียบ
และว่ากันว่าในพรรคประชาธิปัตย์ ก็มีเสียงกระแสเบื่อหน่าย อภิสิทธิ์ ก็ดังมาเรื่อยเช่นกัน เนื่องเพราะว่าผลงานที่ไม่ค่อยเห็นในเชิงประจักษ์ นอกเสียจากการวาดสำนวนโวหารไปวันๆ แถมด้วยการถูกคนในพรรคบางกลุ่มตั้งฉายาว่า มิสเตอร์ robot ซึ่งเมื่อกลับมาดูจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมาก็ยิ่งชัดเจน เพราะขนาดเกิดวิกฤตหนักหนาแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ก็ยังไม่แสดงอาการรู้ร้อยรู้หนาว รีบลงไปแก้ไขปัญหาแต่อย่างใดด้วยซ้ำ
คนในพรรคส่วนใหญ่ย่อมรู้ถึงวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ ถึงขนาดว่านายชวน หลีกภัย ยังรับรู้ถึงสัญญาณอันตรายเป็นอย่างดี ยังต้องนั่งเรือเยี่ยมเยียนให้ความช่วยเหลือและสร้างขวัญและกำลังใจให้ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน
ขณะเดียวกันการที่นายสุเทพประกาศชัดว่าจะมีว่าที่หัวหน้าพรรคและว่าที่นายกรัฐมนตรีใหม่ ก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงบารมีอันล้นเหลือภายในพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างดี อีกนัยหนึ่งก็ไม่ต่างจากใช้นายอภิสิทธิ์สร้างภาพดูดีไปวันๆ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ในผลงานการบริหารประเทศของพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างดี และนั่นหมายความว่าเมื่อใดที่นายอภิสิทธิ์ขายไม่ออกอีกต่อไปแล้ว ก็มีสิทธิ์ที่จะถูกเขี่ยทิ้งได้ทุกเมื่อเช่นกัน
ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะนอกจากการส่งสัญญาณหาเสียงกล่อมสาวกพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ นายสุเทพยังได้ส่งนัยทางการเมืองประโยคสำคัญอันเป็นวิชาก้นหีบของพรรคประชาธิปัตย์ว่า “เลือกเพื่อไทยได้ทักษิณ” เหมือนเมื่อครั้งก่อนหน้าที่เคยใช้ว่า "ไม่เลือกเรา เขามาแน่" ขณะเดียวกันนายสุเทพก็ยังสับทับอีกว่า "หากได้กลับมาจริงผมจะใส่สูทผูกไทและเช็ดเท้าให้ด้วย"
ทั้งนี้ การพุ่งเป้าไปที่ ทักษิณ ชินวัตร ก็เพียงเพื่อดิสเครดิตแกมขู่ประชาชนไม่ให้โอนเอียงไปเลือกทักษิณ ชินวัตร ก็เพียงเพื่อหวังใช้ภาพความรุนแรงของการเผาเมืองหลอกหลอนให้คนในเมืองเลือกพรรคประชาธิปัตย์
หากจะกล่าวว่าหมดมุข ก็ไม่ผิดนัก เพราะนอกจากประชาธิปัตย์ ยังไม่ได้มีไม้เด็ดในการโกยคะแนนนิยมที่นับวันยิ่งลดลงๆ แต่ยังมีประเด็นที่น่าสนใจก็คือ เมื่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ออกหนังสือฉบับพิเศษ ชื่อว่า "ประเทศไทยของเรา อย่าให้ใครเผาอีก" โดยเรียบเรียงจากปากคำของนายสุเทพ ทุกถ้อยคำ ส่วนเนื้อหาก็ไม่ได้ผิดคาดแต่อย่างใด เพราะยังคงเป็นเนื้อหาที่เน้นย้ำไปว่าคนเสื้อแดงเป็นคนเผาบ้านเผาเมือง หวังผลก็คือให้คนกรุงเทพที่ยังหวาดผวากับเหตุการณ์ครั้งนั้นเข้าคูหาเพื่อเลือกประชาธิปัตย์กลับมาเป็นรัฐบาลอีกรอบเช่นเดิม
และดูเหมือนว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะไร้น้ำยาในการสร้างเรทติ้งให้พรรคตัวเองก่อนลงสนามเลือกตั้ง เพราะขนาดวันครบรอบ 65 ปี พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ก็ยังพูดไปในแนวทางเดียวกันอีกว่า " หากฝ่ายค้านชนะเลือกตั้ง ขึ้นมาอย่างที่เขาประกาศวนเวียนว่าจะเอาคุณทักษิณ ชินวัตร กลับมา จะทำอะไรต่อมิอะไร ซึ่งมีแต่จะทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น กลายเป็นประเทศเดินวนไปวนมาอยู่กับ3-4ปี"
ขณะเดียวกันที่ดูเฉียดกับนโยบายหาเสียงที่เป็นชิ้นอัน ก็คงเป็นการที่พรรคประชาธิปัตย์ ออกนโยบายพรรคภายใต้แนววิวัฒน์ “เดินหน้าต่อไปด้วยนโยบายประชาชน”โดยสาระสำคัญคือเพื่อให้บ้านเมืองผ่านพ้นภาวะวิกฤติ ใน 3 วาระ ประกอบด้วย การให้ใช้ไฟฟ้าฟรีถาวรสำหรับผู้ใช้ไฟไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน จัดการปัญหายาเสพติด โดยตั้งกองกำลังพิเศษ 2,500 นาย เพิ่มเงินประประกันรายได้ให้เกษตรกร 25 % ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ร้อยละ 25 ในเวลา 2 ปี จัดโฉนดชุมนุมให้เกษตร 2.5 แสนคน บนที่ดินของรัฐ จัดให้มีบำนาญสำหรับประชาชน อายุ 60 ปี ขึ้นไป เล็งผุดรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เชื่อมคุนหมิง ภาคอีสานสู่ภาคใต้ ต่อไปยังประเทศมาเลเซียสร้างเขตเศรษฐกิจเกษตรพิเศษ สร้างแหลมฉบังให้เป็นเมืองท่าสมบูรณ์แบบ พร้อมรถไฟความเร็วสูง ขยายบรอดแบนด์แห่งชาติ 3 จี อินเตอร์เน็ตชุมนุม ภายใน 4 ปี
ทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่นโยบายขายฝันที่หวังล่อให้ประชาชนเลือกลงคะแนนเสียงให้เพื่อกลับมาสานต่อนโยบายนั้นเอง
อย่างไรก็ตาม หากจับสัญญาณหลายอย่างของพรรคประชาธิปัตย์ ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ก็ไม่ได้มีไม้เด็ด กู้เรตติ้งที่นับวันจะตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ให้กลับขึ้นมาดีแต่อย่างใด ซ้ำยังหนักไปทางไล่ดิสเครดิตชาวบ้านเสียเป็นส่วนใหญ่ และแทนที่จะเอาเวลาก่อนยุบสภาไปแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน ก็กลับมิได้นำพา
ดังนั้น คงต้องถามนายสุเทพกลับไปว่าถ้าเลือกประชาธิปัตย์แล้วประชาชนจะได้อะไรมากกว่า ถ้าเลือกพรรคประชาธิปัตย์ยังจะได้นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสนเอื่อยเฉื่อยในการแก้ปัญหา ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศอยู่หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาระยะเวลา 2ปีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้มีน้ำยาไปกว่าพรรคเพื่อไทยเลยแม้แต่น้อย
แถมตัวเองก็ไม่ได้อาศัยโอกาสที่เป็นรัฐบาลทำอะไรได้ดีไปกว่าศัตรูคู่อาฆาตเลยด้วยซ้ำ มาถึงขณะนี้ก็ต้องบอกว่าห่วยพอกันทั้งสองฝ่าย และความซวยหนีไม่พ้นต้องตกอยู่กับประชาชนคนไทยที่ไม่ว่าหันซ้าย มองขวา ก็เจอแต่นักเลือกตั้งหน้าเดิมๆ ซึ่งประชาชนก็รู้เช่นเห็นชาติกันหมดแล้วว่าใครหน้าไหนมียี่ห้ออะไร สุดท้ายคงกล่าวได้เพียงว่าเอวังประเทศไทย