xs
xsm
sm
md
lg

ปชป.รับลูก “มาร์ค” สั่งชะลอถก JBC อ้างคำสั่งศาล รธน.หน้าตาเฉย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์
ปชป.โหมข่าวองค์กรต่างประเทศประสานขอสังเกตการณ์เลือกตั้ง บี้รัฐสภาเร่งผ่านร่าง กม.ก่อนเทศกาลสงกรานต์ รับลูก “มาร์ค” ยังไม่จำเป็นต้องเร่งถกกรอบเจบีซี อ้างรอคำสั่งศาล รธน. ชี้ฝ่ายบริหารยังทำงานได้ ซัด พท.ไม่ให้หัวหน้าพรรคเป็นนายกฯ จ้องเลียนแบบระบบ ปธน. เชื่อ “ยิ่งลักษณ์-แกนนำแดง” ปาร์ตี้ลิสต์หน้าสลอน ซัดผลโพล ปชป.แพ้ไร้นัยการเมือง

วันนี้ (4 เม.ย.) นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการดำเนินการในส่วนของรัฐบาลในช่วงเดือนสุดท้ายก่อนยุบสภาว่า เรื่องเร่งด่วนในสัปดาห์นี้ คือ การพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในกรอบเวลาที่นายกฯ ได้กำหนดไว้เพื่อการยุบสภาในเดือน พ.ค.ที่จะถึงนี้ โดยคาดว่าจะสามารถส่งเรื่องให้วุฒิสภามีเวลาพิจารณาในช่วงก่อนและหลังวันหยุดสงกรานต์ ซึ่งในเรื่องดังกล่าวก็มีองค์กรสังเกตการณ์เลือกตั้งระหว่างประเทศ (ANFREL) ซึ่งเคยสังเกตการณ์การเลือกตั้งในไทยที่ผ่านๆ มาได้ติดต่อต่อผ่านตนเพื่อขอเข้าสังเกตการณ์การเลือกตั้งในครั้งนี้ โดยพรรคยืนยันว่าการผ่านกฎหมายเลือกตั้งจะไม่เป็นอุปสรรคและการคืนอำนาจให้ประชาชนน่าจะเป็นทางออกที่ดีในการให้วิถีทางประชาธิปไตย และทิศทางของบ้านเมืองได้ถูกกำหนดโดยประชาชนส่วนใหญ่ ที่พรรคเชื่อว่าไม่เห็นด้วยกับความวุ่นวายจากการชุมนุมทางการเมือง แต่ต้องการให้บ้านเมืองและประเทศเดินหน้า ซึ่งก็ตรงกับแนวทางของพรรคในการสื่อถึงประชาชนว่า ปัญหาของประชาชนจะได้รับการแก้ไขได้ก็ต่อเมื่อประเทศต้องไม่หยุดนิ่งกับความขัดแย้งหรือถอยหลังสู่ความรุนแรง

นพ.บุรณัชย์กล่าวอีกว่า ส่วนที่พรรคเพื่อไทยระบุว่าจะมี ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเตรียมถ่วงเวลาการพิจารณาเพื่อเลื่อนการยุบสภาออกไปนั้น รวมถึงการทำให้สภาล่ม ตนเห็นว่าพรรคเพื่อไทยควรย้อนกลับไปดูตัวเองมากกว่า ที่ ส.ส.ก็อยู่ในห้องประชุมกว่า 40-50 คนทุกครั้งที่มีการนับองค์ประชุม แต่ไม่ยอมแสดงตัว เพื่อต้องการขัดขวางการทำงานของรัฐบาลทุกวิถีทาง รวมถึงการไม่ให้สภาทำงานได้ว่า ตัวเองไม่ใช่หรือที่เป็นอุปสรรค และพยายามถ่วงเวลาเพื่อให้การเมืองกลับสู่ความวุ่นวายในเดือน เม.ย.-พ.ค.สอดรับกับการชุมนุม

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านต้องการให้องค์กรต่างประเทศเข้ามาแทรกแซงปัญหาการเมืองภายในประเทศ รวมถึงการเลือกตั้งนั้น ขอยืนยันว่าการทำงานในส่วนของรัฐบาล อยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใส และพร้อมที่จะให้องค์กรต่างๆ เข้ามาสังเกตการณ์เพื่อยืนยันถึงแนวทางในการทำงานของรัฐบาล แต่ต้องไม่เป็นการแทรกแซงการดำเนินการใดๆ ที่ถือว่าเป็นเรื่องภายใน และมีองค์กรอิสระที่รับผิดชอบเรื่องต่างๆ อยู่แล้ว แต่ยินดีที่จะหารือกับทุกฝ่าย และเชื่อว่าทางกกต.ก็น่าจะพร้อมที่จะให้มีผู้ที่จะสังเกตการณ์เลือกตั้งตามปกติเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มาได้ แต่ต้องไม่ก้าวก่ายการทำงานเท่านั้น

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงการเลื่อนการประชุมร่วมรัฐสภาในเรื่องเจบีซีว่า พรรคเห็นว่าเรื่องดังกล่าวยังสามารถรอได้ โดยรัฐสภาน่าจะยึดตามแนวเบื้องต้นของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่ายังมีขั้นตอนในส่วนของฝ่ายบริหารที่ต้องดำเนินการต่อไปอยู่ รวมถึงการดำเนินการของสภาก็ต้องรอให้กลไกเจบีซีเดินหน้าต่อไปตามกรอบข้อตกลงทวิภาคีก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะสามารถรับเรื่องเพื่อพิจารณาได้ ซึ่งก็ตรงกันกับการเข้าสู่การเจรจาตามกรอบดังกล่าวในวันที่ 7-8 เม.ย.นี้ ส่วนรูปแบบการเข้าร่วมจะเป็นลักษณะใดก็เป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะพิจารณา

นพ.บุรณัชย์กล่าวถึงการเตรียมการเลือกตั้งที่ทางพรรคเพื่อไทยยอมรับว่าจะไม่ให้หัวหน้าพรรคเป็นนายกฯ ว่า ถือว่าเป็นการขัดธรรมเนียมการเลือกตำแหน่งนายกฯในระบบรัฐสภา แต่เป็นการเลียนแบบระบบประธานาธิบดีมากกว่า เพราะระบบรัฐสภาให้ความสำคัญกับหัวหน้าพรรคการเมืองที่ต้องพร้อมที่จะถูกตรวจสอบในการเสนอตัวเข้าเป็นนายกรัฐมนตรี การดำเนินการดังกล่าวยังจะทำให้รัฐสภาชุดหน้าไม่มีผู้นำฝ่ายค้านในสภาตัวจริง ซึ่งรัฐธรรมนูญไทยถือว่าเป็นตำแหน่งที่ต้องโปรดเกล้าฯ แต่เชื่อว่าการเลี่ยงการเสนอตัวหัวหน้าพรรคที่แท้จริง มีเจตนาเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ โดยการไม่ต้องยอมรับผิดชอบในฐานะกรรมการบริหารพรรคตามที่กฎหมายกำหนด

นพ.บุรณัชย์กล่าวอีกว่า ส่วนที่พรรคเพื่อไทยระบุจะมีเซอร์ไพรส์เรื่องผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อหลังยุบสภาว่า ตนคิดว่าไม่น่าจะมีรายชื่อที่ผิดไปจากคนที่ปรากฎ เพราะเชื่อว่านายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จะไม่ถูกใช้ต่อไปโดยการกำหนดให้อยู่เป็นส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 เพราะทั้งสองคนปฏิเสธไม่ยอมสวมเสื้อแดงขึ้นเวทีนอกสภา แต่จะประกอบไปด้วยแกนนำเสื้อแดงซึ่งอยู่ระหว่างการประกันตัว และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ส่วนการสำรวจของเอแบคโพลล์นั้น ตนเห็นว่าสาระสำคัญอยู่ที่ทางผู้สำรวจได้ระบุชัดว่า ผลคะแนนโดยรวมที่แตกต่างกันเพียงประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งก็ถือว่าใกล้เคียงกับผลการเลือกตั้งในระบบสัดส่วนโดยรวมทั้งประเทศ ในปี 2550 แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แสดงให้เห็นถึงการมุ่งแก้ปัญหาประชาชนโดยไม่สร้างความขัดแย้ง ในขณะที่พรรคเพื่อไทยยังยึดติดกับการเคลื่อนไหวนอกสภา และปัญหาทางการเมืองที่นำไปสู่ความวุ่นวาย แต่เชื่อว่าสิ่งที่จะเป็นปัจจัยชี้ชาดในการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะอยู่ที่ 1.นโยบาย ที่พรรคประชาธิปัตย์จะมุ่งไปสู่การให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไป ด้วยนโยบายเพื่อประชาชน โดยเฉพาะการแก้ไขภาระค่าครองชีพประชาชน โดยการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ ทั้งการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 25 เปอร์เซ็นต์ใน 2 ปี และการเพิ่มเงินประกันรายได้เกษตรกรอีก 25 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่พรรคเพื่อไทยยังคงกังวลเกี่ยวกับเรื่องสองมาตรฐาน และปัญหาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

2.ผู้ที่จะมาเป็นผู้นำที่พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าแนวทางการนำบองรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เป็นวิถีทางที่จะทำให้ประเทศยืนยันที่จะเดินหน้าต่อไป แต่ในส่วนของพรรคเพื่อไทยก็ยังคงรอจนนาทีสุดท้ายในการเสนอตัวผู้ที่จะมาเป็นนายกฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบก่อนการยุบสภา และ3. ทิศทางของแต่ละพรรคการเมืองที่พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าปัญหาเร่งด่วนคือการให้บ้านเมืองเดินหน้าเพื่อแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ แต่พรรคเพื่อไทยระบุชัดว่าจะแก้ปัญหาการเมืองของตัวเองโดยการนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมา ซึ่งจะทำให้บ้านเมืองย้อนกลับไปสู่ความวุ่นวาย

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยวิเคราะห์ว่า ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ จะตัดคะแนนพรรคประชาธิปัตย์ใน กทม.ว่า คงเป็นความประสงค์ของพรรคเพื่อไทย ที่หวังจะให้คนอื่นมาสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ในเขต กทม. เพราะคน กทม.ไม่ยอมรับบทบาทของพรรคเพื่อไทยในการทำให้บ้านเมืองวุ่นวายมากกว่า แต่ส่วนตัวเชื่อว่า ร.ต.อ.ปุระชัย ตั้งใจที่จะแบ่งคะแนนโนโหวตจากพรรคการเมืองใหม่ตามที่ได้มีการประกาศไว้ แต่ก็ถือเป็นสิทธิที่จะทำงานได้ เพราะการมีพรรคการเมืองมากขึ้นถือว่าเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ประชาชน หากพรรคการเมืองต่างๆ สนับสนุนวิถีทางของสภามากกว่าการใช้พรรคเป็นเครื่องมือเพื่อสนับสนุนให้มีมวลชนในการเคลื่อนไหวนอกสภา

ส่วนที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวหาเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์โดยใช้คำว่า สาดโคลนให้กับนายเสนาะ เทียนทอง และคนที่ไม่ได้อยู่ข้างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งรวมถึง ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ นั้น ยืนยันว่าไม่จริง นายสุเทพไม่เคยพูดจาให้ร้ายนักการเมืองพรรคอื่น แต่ให้เกียรติคนทุกคน แต่คนเหล่านั้นก็ต้องพร้อมที่จะเข้ารับการตรวจสอบในฐานะที่อาสาเข้ามาทำงานด้วย เพราะกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นผุ้นำในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รมว.มหาดไทยในขณะนั้น คือ ร.ต.อ.ปุระชัย ที่จงใจปล่อยให้กลุ่มญาติของนายเสนาะเข้าใช้ประโยชน์จากธรณีสงฆ์ จนเป็นปัญหาตามมามิใช่หรือ เพราะฉะนั้นยืนยันว่าความจริงคือความจริง เป็นอย่างไรประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน แต่นายพร้อมพงศ์ต้องไม่พยายามฟอกความผิด หรือมีพฤติกรรมที่ทำให้คนสงสัยว่าชอบปั้นน้ำเป็นตัวหรือไม่ก็แล้วกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น