เมื่อเวลา 11.30 น. วานนี้ (31 มี.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรครวมชาติพัฒนา ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางของพรรครวมชาติพัฒนา ในการเลือกตั้งครั้งหน้า หลังมีข่าวจับมือกับกลุ่มการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะ"กลุ่ม 3 พี" จากพรรคเพื่อแผ่นดินว่า ช่วงนี้ใกล้เลือกตั้งแล้ว นายกฯส่งสัญญาณมาแล้ว เราก็ต้องเตรียมพร้อม สำหรับพรรครวมชาติพัฒนา ก็มีการเปิดตัวผู้สมัคร ซึ่งพรรคการเมืองเล็กๆ ก็คงต้องอาศัยความเป็นพรรคการเมืองท้องถิ่นนิยม ไม่เช่นนั้นคงสู้กระแสพรรคการเมืองใหญ่ไม่ได้
" วันนี้ผมว่าการเมืองพัฒนาไปเยอะแล้ว เป็นเรื่องของพรรคใหญ่ เป็นเรื่องของนโยบาย และมีคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ขึ้นมา ดังนั้นโอกาสของพรรคเล็ก ถ้าไม่รักษาฐานการเมืองในแต่ละจังหวัดไว้ ผมว่าอยู่ยาก แต่ก็ยังโชคดีอยู่ที่ว่า การเมืองเรายังเป็นการเมืองแบบ 2 ขั้ว ดังนั้นการเมืองครั้งนี้โครงสร้างทางการเมืองก็คงจะไม่ต่างจากโครงสร้างทางการเมืองในปัจจุบัน คือเป็นการแข่งขันระหว่างการเมือง 2 ขั้ว แต่นัยยะสำคัญของพรรคเล็กต่อเสถียรภาพทางการเมืองนั้น ยังมีอยู่ ซึ่งที่พูดอย่างนี้ผมก็อยากเป็นกำลังใจให้พรรคเล็ก ไม่ว่าจะเล็กแค่ไหนก็ยังมีความสำคัญต่อบ้านเมืองในระบบการเมืองปัจจุบัน" นายสุวัจน์ กล่าว
นายสุวัจน์ กล่าวด้วยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ คงมีการย้ายพรรคเป็นปกติ และอาจจะย้ายมากกว่าเดิม เพราะความไม่แน่นอนทางการเมืองสูง และเราก็ยังมีการเปลี่ยนกติกาเลือกตั้งด้วย จึงเหมือนกับการเริ่มต้นกันใหม่ ด้วยกติกาใหม่ ทำให้ฐานที่ว่าจะไปอยู่ไหนก็จะเปลี่ยนไปหมด ดังนั้นการวิเคราะห์การเมืองวันนี้ว่าพรรคใดชนะ พรรคใดแพ้ ตนว่ามันยังไม่ชัดเจน จนกว่ากกต.จะมีการกำหนดเขตเลือกตั้งที่ชัดเจน วันนั้นจึงจะเห็นภาพว่า ใครแพ้ ใครชนะ และนักการเมืองเมื่อเห็นการแบ่งเขตเลือกตั้งที่ชัดเจนแล้ว ถึงจะตัดสินใจได้ชัดเจนว่า จะย้ายไปอยู่พรรคไหน
ดังนั้นวันนี้ก็คงเป็นเรื่องของการพูดคุย ทาบทาม จีบกันไป แต่ความชัดเจนต้องรอดูการแบ่งเขตเลือกตั้งของกกต.ก่อน
เมื่อถามว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรครวมชาติพัฒนาตั้งเป้าไว้เท่าไร เพราะเห็นว่าจะให้เป็นพรรคการเมืองอันดับ 3 นายสุวัจน์ กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องของพรรคเขา แต่เชื่อว่าพรรคเล็กก็ยังมีความหมาย แต่ก็ยังมั่นใจว่าเป็นเรื่องของ 2 ขั้ว เขาเหมือนเดิม
" วันนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเราต้องช่วยกันรักษาบรรยากาศไปสู่การเลือกตั้ง และต้องมีการเลือกตั้ง ทำอย่างไรให้ทุกคนยอมรับผลการเลือกตั้ง และจบ ไม่เช่นนั้นหากเลือกตั้งมาแล้ว ไม่ยอมรับผลกัน ก็ไม่จบอีก" แกนนำพรรครวมชาติพัฒนา กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จนถึงขณะนี้ยังมั่นใจว่าจะมีการยุบสภา และมีเลือกตั้งแน่ ใช่หรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า ก็นายกฯพูดชัดว่าจะมีการยุบสภาแน่นอน ต้นเดือนพฤษภาคม ก็ต้องเชื่อนายกฯ แต่คนนั้น คนนี้ อาจจะหวั่นเกรงกัน เพราะดูสถานการณ์หลายอย่าง ก็เป็นเรื่องของการวิเคราะห์ วันนี้ทุกคนก็ต้องยืนไปสู่จุดนี้ ว่าควรที่จะมีการเลือกตั้ง ประชาธิปไตยเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเมืองในขณะนี้ เมื่อถามว่าส่วนตัวมองว่าการยุบสภาต้ยเดือนพฤษภาคมตามที่นายกฯบอก มีความเหมาะสมหรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า ก็เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรไม่เหมาะ ยกเว้นสมมุติเกิดมีภัยธรรมชาติ มีอะไรขึ้นมา ที่เรานึกไม่ออก และวันนั้นถ้าจะเลือกตั้งในวันที่ทุกคนออกจากบ้านไม่ได้ มันก็เลือกไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าทุกอย่างยังเป็นอย่างนี้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ ที่บอกว่ากติกาใหม่ อะไรๆ ก็ใหม่หมด คิดว่าจะมีอะไรที่ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า เราจะได้การเมืองใหม่ที่ดี นายสุวัจน์ กล่าวว่า นี่เป็นความรับผิดชอบของพรรคการเมืองแล้ว นอกเหนือจาก กกต.ที่ต้องควบคุมดูแลการเลือกตั้ง นอกเหนือจากความจริงใจของรัฐบาลที่จะให้มีการเลือกตั้งเพื่อลดความขัดแย้ง เพราะการเลือกตั้งเป็นข้อเรียกร้องข้อหนึ่ง ที่นำไปสู่ความขัดแย้งในสังคม ซึ่งวันนี้รัฐบาลก็คืนให้แล้ว กกต.ก็ดูการเลือกตั้งให้ดีที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร จะดุเดือด จะถูกกฎหมาย หรือจะได้รับการยอมรับหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของนักการเมืองและพรรคการเมืองแล้ว
ดังนั้นวันนี้ถ้าเห็นว่า การเลือกตั้งที่ได้รับการยอมรับจะนำไปสู่การสิ้นสุดของปัญหาของความขัดแย้ง ก็เป็นหน้าที่ของนักการเมือง และพรรคการเมืองต้องมองจุดนี้ และต้องพยายามให้เกิดความเป็นธรรมในการเลือกตั้ง อะไรที่ไม่ถูกต้อง เถื่อนๆ หรือไม่ถูกกฎหมาย หรืออะไรที่ทำให้เห็นว่าไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ก็ต้องถอยห่าง ต้องอย่าให้เกิด
เมื่อถามว่ามองกระแสเรียกร้องให้ โนโหวต อย่างไร นายสุวัจน์ กล่าวว่า ก็เป็นสิทธิ ทุกคนก็มีสิทธิจะรณรงค์ให้โหวต หรือ ไม่โหวต เป็นเรื่องปกติ แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประชาชน กระแสอะไรจะปลุกขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพื้นฐานและที่มา ที่ไป ก็แล้วแต่ประชาชน ที่จะเป็นผู้ตัดสินในการเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่าในครั้งหน้าหากพรรคอันดับ 1 และ 2 จับมือกัน พรรคเล็กๆ พร้อมเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ และคิดว่าจะช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมได้หรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่กรณีนี้ต้องยอมรับว่า เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ถ้ามันเกิด อย่างน้อยเสถียรภาพการเมืองมันก็ไม่เหมือนเสถียรภาพการเมืองในปัจจุบัน การเมืองก็จะมีการเปลี่ยนแปลง อะไรที่เป็นไปไม่ได้ คงใช้กับการเมืองไม่ได้ อะไรจะเกิดก็เกิดได้ทั้งนั้น แต่ตนไม่ทราบ แต่ก็เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ของแต่ละพรรคก็ออกมาพูดว่า แนวทางในเรื่องของแนวทางการจับไม้จับมือกันเป็นอย่างไร ก็เริ่มมีภาพขึ้นมา แต่วันนี้บรรยากาศการเมือง ยังเป็น 2 ขั้วอยู่
เมื่อถามว่า ทำอย่างไรจะไม่ให้ประชาชนมองว่า นักการเมืองก็ยังคงเล่นการเมืองแบบเดิม ๆ อยู่ แกนนำพรรครวมชาติพัฒนา กล่าวว่า วันนี้ถ้าจะมองว่าการเมืองเหมือนหวยล็อก ก็เหมือนเดิม เพราะมันไม่มีตัวแปรใหม่ ๆ ไม่มีทางเลือกใหม่ ๆ ให้กับประชาชน เพราะมันไม่มีสินค้าตัวใหม่ให้เลือก
" ดูแล้ววันนี้ก็ยังไม่เห็นเลยว่า จะมีพรรคการเมืองอะไรใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้เกิดผลของการเปลี่ยนแปลง หรือเป็นทางเลือกมากๆ ให้ประชาชนได้คิดมากๆ ได้เลือกมากๆ เพราะนักการเมืองที่เป็นบุคคลที่อย่ในรุ่นที่ 2 ของการเมืองที่มีประสบการณ์ แต่เขาถูกล็อก ด้วยการอยู่บ้านเลขที่ 111 ซึ่งคนเหล่านี้เป็น ส.ส. 4-5 สมัย เป็นนักการเมืองอาวุโส ที่มีประสบการณ์ในทุกๆ ด้าน แต่เขาไม่สามารถที่จะมาสร้างทางเลือกให้กับประชาชน ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องรออีกปีหนึ่ง ดังนั้น ก็ต้องยอมรับสภาพการเมืองที่ต้องเดินไปแบบนี้ วันนี้ สมมติว่าคนบ้านเลขที่ 111 จะมีอิสรภาพ ผมว่าการเมืองเปลี่ยน ขั้วการเมืองเปลี่ยน โครงสร้างทางการเมืองเปลี่ยน โอกาสของประชาชน ในการเลือกพรรคการเมืองต่าง ๆ เปลี่ยนเพราะจะมีหน้าใหม่ ๆ มีนโยบายใหม่ๆ มีคนที่พร้อมที่จะเป็นผู้นำทางการเมืองที่จะเสนอตัวให้สังคมเลือกได้อีกเยอะ ส่วนพรรคประชาสันติ นั้นก็เป็นอีกสินค้าหนึ่ง แต่จริงๆ ควรจะมีมากกว่านี้" นายสุวัจน์ กล่าว
นายสุวัจน์ กล่าวด้วยว่า ที่พูดเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเรียกร้อง อยากให้คนในบ้านเลขที่ 111 กลับมา เพราะถึงอย่างไรก็เหลืออีกเพียงปีเดียว เพียงแต่วิเคราะห์ให้ฟังว่า ทำไมการเมืองบ้านเรามันวนเวียนอยู่อย่างนี้ ก็เพราะว่าส่วนหนึ่งเรามีขีดจำกัดในเรื่องของตัวบุคคลากรทางการเมือง ดังนั้นก็ต้องรอปีหน้า พฤษภาคมปี 2555 สมมติคนบ้านเลขที่ 111 ออกจากบ้าน คิดว่าตัวจริงเขาก็อยากลงสนาม ตอนนั้นการเมืองก็คงสนุกอีกครั้งหนึ่งในปีหน้า ซึ่งคงมีอะไรที่เคลื่อนไหว แต่เชื่อว่าอย่างไร หลังการเลือกตั้งประเทศต้องดีขึ้น แต่จะดีขึ้นแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง อย่างไรต้องดีขึ้นเพราะการเลือกตั้งเป็นข้อเรียกร้องอย่างหนึ่งของความขัดแย้ง ดังนั้นเมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่การเลือกตั้ง ก็น่าจะเป็นการส่งสัญญาณที่ดี ทั้งเศรษฐกิจและการเมือง
เมื่อถามถึงการแข่งขันในจ.นครราชสีมา จะดุเดือดหรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า การเลือกตั้งไม่มีคำว่าไม่ดุเดือด ส่วนกระแสการซื้อตัว หรือดูดส.ส.นั้น นายสุวัจน์ กล่าวว่า อยากให้นักการเมืองด้วยกันช่วยสร้างบรรยากาศดีๆ เพื่อที่เมื่อเลือกตั้งมาแล้ว เราจะได้ตอบได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า เราชอบธรรม ปัญหาของบ้านเมืองจะได้จบ แต่ถ้าหลังเลือกตั้งแล้วยังถูกมองว่า ไม่ชอบธรรม เป็นแค่สัญลักษณ์ของประชาธิปไตยเท่านั้น สถานการณ์ต่างๆ มันก็คงไม่ดีขึ้น ซึ่งก็เป็นหน้าที่ที่พรรคการเมืองต้องตระหนักและช่วยกันรักษาบรรยากาศที่ดีไว้
เมื่อถามว่า ที่ จ.นครราชสีมา พรรครวมชาติพัฒนา จะสามารถบล๊อคพรรคภูมิใจไทย กับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่คิดว่าคนโคราชรู้ดีว่า เขาจะเลือกใคร
" วันนี้ผมว่าการเมืองพัฒนาไปเยอะแล้ว เป็นเรื่องของพรรคใหญ่ เป็นเรื่องของนโยบาย และมีคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ขึ้นมา ดังนั้นโอกาสของพรรคเล็ก ถ้าไม่รักษาฐานการเมืองในแต่ละจังหวัดไว้ ผมว่าอยู่ยาก แต่ก็ยังโชคดีอยู่ที่ว่า การเมืองเรายังเป็นการเมืองแบบ 2 ขั้ว ดังนั้นการเมืองครั้งนี้โครงสร้างทางการเมืองก็คงจะไม่ต่างจากโครงสร้างทางการเมืองในปัจจุบัน คือเป็นการแข่งขันระหว่างการเมือง 2 ขั้ว แต่นัยยะสำคัญของพรรคเล็กต่อเสถียรภาพทางการเมืองนั้น ยังมีอยู่ ซึ่งที่พูดอย่างนี้ผมก็อยากเป็นกำลังใจให้พรรคเล็ก ไม่ว่าจะเล็กแค่ไหนก็ยังมีความสำคัญต่อบ้านเมืองในระบบการเมืองปัจจุบัน" นายสุวัจน์ กล่าว
นายสุวัจน์ กล่าวด้วยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ คงมีการย้ายพรรคเป็นปกติ และอาจจะย้ายมากกว่าเดิม เพราะความไม่แน่นอนทางการเมืองสูง และเราก็ยังมีการเปลี่ยนกติกาเลือกตั้งด้วย จึงเหมือนกับการเริ่มต้นกันใหม่ ด้วยกติกาใหม่ ทำให้ฐานที่ว่าจะไปอยู่ไหนก็จะเปลี่ยนไปหมด ดังนั้นการวิเคราะห์การเมืองวันนี้ว่าพรรคใดชนะ พรรคใดแพ้ ตนว่ามันยังไม่ชัดเจน จนกว่ากกต.จะมีการกำหนดเขตเลือกตั้งที่ชัดเจน วันนั้นจึงจะเห็นภาพว่า ใครแพ้ ใครชนะ และนักการเมืองเมื่อเห็นการแบ่งเขตเลือกตั้งที่ชัดเจนแล้ว ถึงจะตัดสินใจได้ชัดเจนว่า จะย้ายไปอยู่พรรคไหน
ดังนั้นวันนี้ก็คงเป็นเรื่องของการพูดคุย ทาบทาม จีบกันไป แต่ความชัดเจนต้องรอดูการแบ่งเขตเลือกตั้งของกกต.ก่อน
เมื่อถามว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรครวมชาติพัฒนาตั้งเป้าไว้เท่าไร เพราะเห็นว่าจะให้เป็นพรรคการเมืองอันดับ 3 นายสุวัจน์ กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องของพรรคเขา แต่เชื่อว่าพรรคเล็กก็ยังมีความหมาย แต่ก็ยังมั่นใจว่าเป็นเรื่องของ 2 ขั้ว เขาเหมือนเดิม
" วันนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเราต้องช่วยกันรักษาบรรยากาศไปสู่การเลือกตั้ง และต้องมีการเลือกตั้ง ทำอย่างไรให้ทุกคนยอมรับผลการเลือกตั้ง และจบ ไม่เช่นนั้นหากเลือกตั้งมาแล้ว ไม่ยอมรับผลกัน ก็ไม่จบอีก" แกนนำพรรครวมชาติพัฒนา กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จนถึงขณะนี้ยังมั่นใจว่าจะมีการยุบสภา และมีเลือกตั้งแน่ ใช่หรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า ก็นายกฯพูดชัดว่าจะมีการยุบสภาแน่นอน ต้นเดือนพฤษภาคม ก็ต้องเชื่อนายกฯ แต่คนนั้น คนนี้ อาจจะหวั่นเกรงกัน เพราะดูสถานการณ์หลายอย่าง ก็เป็นเรื่องของการวิเคราะห์ วันนี้ทุกคนก็ต้องยืนไปสู่จุดนี้ ว่าควรที่จะมีการเลือกตั้ง ประชาธิปไตยเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเมืองในขณะนี้ เมื่อถามว่าส่วนตัวมองว่าการยุบสภาต้ยเดือนพฤษภาคมตามที่นายกฯบอก มีความเหมาะสมหรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า ก็เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรไม่เหมาะ ยกเว้นสมมุติเกิดมีภัยธรรมชาติ มีอะไรขึ้นมา ที่เรานึกไม่ออก และวันนั้นถ้าจะเลือกตั้งในวันที่ทุกคนออกจากบ้านไม่ได้ มันก็เลือกไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าทุกอย่างยังเป็นอย่างนี้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ ที่บอกว่ากติกาใหม่ อะไรๆ ก็ใหม่หมด คิดว่าจะมีอะไรที่ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า เราจะได้การเมืองใหม่ที่ดี นายสุวัจน์ กล่าวว่า นี่เป็นความรับผิดชอบของพรรคการเมืองแล้ว นอกเหนือจาก กกต.ที่ต้องควบคุมดูแลการเลือกตั้ง นอกเหนือจากความจริงใจของรัฐบาลที่จะให้มีการเลือกตั้งเพื่อลดความขัดแย้ง เพราะการเลือกตั้งเป็นข้อเรียกร้องข้อหนึ่ง ที่นำไปสู่ความขัดแย้งในสังคม ซึ่งวันนี้รัฐบาลก็คืนให้แล้ว กกต.ก็ดูการเลือกตั้งให้ดีที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร จะดุเดือด จะถูกกฎหมาย หรือจะได้รับการยอมรับหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของนักการเมืองและพรรคการเมืองแล้ว
ดังนั้นวันนี้ถ้าเห็นว่า การเลือกตั้งที่ได้รับการยอมรับจะนำไปสู่การสิ้นสุดของปัญหาของความขัดแย้ง ก็เป็นหน้าที่ของนักการเมือง และพรรคการเมืองต้องมองจุดนี้ และต้องพยายามให้เกิดความเป็นธรรมในการเลือกตั้ง อะไรที่ไม่ถูกต้อง เถื่อนๆ หรือไม่ถูกกฎหมาย หรืออะไรที่ทำให้เห็นว่าไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ก็ต้องถอยห่าง ต้องอย่าให้เกิด
เมื่อถามว่ามองกระแสเรียกร้องให้ โนโหวต อย่างไร นายสุวัจน์ กล่าวว่า ก็เป็นสิทธิ ทุกคนก็มีสิทธิจะรณรงค์ให้โหวต หรือ ไม่โหวต เป็นเรื่องปกติ แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประชาชน กระแสอะไรจะปลุกขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพื้นฐานและที่มา ที่ไป ก็แล้วแต่ประชาชน ที่จะเป็นผู้ตัดสินในการเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่าในครั้งหน้าหากพรรคอันดับ 1 และ 2 จับมือกัน พรรคเล็กๆ พร้อมเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ และคิดว่าจะช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมได้หรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่กรณีนี้ต้องยอมรับว่า เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ถ้ามันเกิด อย่างน้อยเสถียรภาพการเมืองมันก็ไม่เหมือนเสถียรภาพการเมืองในปัจจุบัน การเมืองก็จะมีการเปลี่ยนแปลง อะไรที่เป็นไปไม่ได้ คงใช้กับการเมืองไม่ได้ อะไรจะเกิดก็เกิดได้ทั้งนั้น แต่ตนไม่ทราบ แต่ก็เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ของแต่ละพรรคก็ออกมาพูดว่า แนวทางในเรื่องของแนวทางการจับไม้จับมือกันเป็นอย่างไร ก็เริ่มมีภาพขึ้นมา แต่วันนี้บรรยากาศการเมือง ยังเป็น 2 ขั้วอยู่
เมื่อถามว่า ทำอย่างไรจะไม่ให้ประชาชนมองว่า นักการเมืองก็ยังคงเล่นการเมืองแบบเดิม ๆ อยู่ แกนนำพรรครวมชาติพัฒนา กล่าวว่า วันนี้ถ้าจะมองว่าการเมืองเหมือนหวยล็อก ก็เหมือนเดิม เพราะมันไม่มีตัวแปรใหม่ ๆ ไม่มีทางเลือกใหม่ ๆ ให้กับประชาชน เพราะมันไม่มีสินค้าตัวใหม่ให้เลือก
" ดูแล้ววันนี้ก็ยังไม่เห็นเลยว่า จะมีพรรคการเมืองอะไรใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้เกิดผลของการเปลี่ยนแปลง หรือเป็นทางเลือกมากๆ ให้ประชาชนได้คิดมากๆ ได้เลือกมากๆ เพราะนักการเมืองที่เป็นบุคคลที่อย่ในรุ่นที่ 2 ของการเมืองที่มีประสบการณ์ แต่เขาถูกล็อก ด้วยการอยู่บ้านเลขที่ 111 ซึ่งคนเหล่านี้เป็น ส.ส. 4-5 สมัย เป็นนักการเมืองอาวุโส ที่มีประสบการณ์ในทุกๆ ด้าน แต่เขาไม่สามารถที่จะมาสร้างทางเลือกให้กับประชาชน ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องรออีกปีหนึ่ง ดังนั้น ก็ต้องยอมรับสภาพการเมืองที่ต้องเดินไปแบบนี้ วันนี้ สมมติว่าคนบ้านเลขที่ 111 จะมีอิสรภาพ ผมว่าการเมืองเปลี่ยน ขั้วการเมืองเปลี่ยน โครงสร้างทางการเมืองเปลี่ยน โอกาสของประชาชน ในการเลือกพรรคการเมืองต่าง ๆ เปลี่ยนเพราะจะมีหน้าใหม่ ๆ มีนโยบายใหม่ๆ มีคนที่พร้อมที่จะเป็นผู้นำทางการเมืองที่จะเสนอตัวให้สังคมเลือกได้อีกเยอะ ส่วนพรรคประชาสันติ นั้นก็เป็นอีกสินค้าหนึ่ง แต่จริงๆ ควรจะมีมากกว่านี้" นายสุวัจน์ กล่าว
นายสุวัจน์ กล่าวด้วยว่า ที่พูดเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเรียกร้อง อยากให้คนในบ้านเลขที่ 111 กลับมา เพราะถึงอย่างไรก็เหลืออีกเพียงปีเดียว เพียงแต่วิเคราะห์ให้ฟังว่า ทำไมการเมืองบ้านเรามันวนเวียนอยู่อย่างนี้ ก็เพราะว่าส่วนหนึ่งเรามีขีดจำกัดในเรื่องของตัวบุคคลากรทางการเมือง ดังนั้นก็ต้องรอปีหน้า พฤษภาคมปี 2555 สมมติคนบ้านเลขที่ 111 ออกจากบ้าน คิดว่าตัวจริงเขาก็อยากลงสนาม ตอนนั้นการเมืองก็คงสนุกอีกครั้งหนึ่งในปีหน้า ซึ่งคงมีอะไรที่เคลื่อนไหว แต่เชื่อว่าอย่างไร หลังการเลือกตั้งประเทศต้องดีขึ้น แต่จะดีขึ้นแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง อย่างไรต้องดีขึ้นเพราะการเลือกตั้งเป็นข้อเรียกร้องอย่างหนึ่งของความขัดแย้ง ดังนั้นเมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่การเลือกตั้ง ก็น่าจะเป็นการส่งสัญญาณที่ดี ทั้งเศรษฐกิจและการเมือง
เมื่อถามถึงการแข่งขันในจ.นครราชสีมา จะดุเดือดหรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า การเลือกตั้งไม่มีคำว่าไม่ดุเดือด ส่วนกระแสการซื้อตัว หรือดูดส.ส.นั้น นายสุวัจน์ กล่าวว่า อยากให้นักการเมืองด้วยกันช่วยสร้างบรรยากาศดีๆ เพื่อที่เมื่อเลือกตั้งมาแล้ว เราจะได้ตอบได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า เราชอบธรรม ปัญหาของบ้านเมืองจะได้จบ แต่ถ้าหลังเลือกตั้งแล้วยังถูกมองว่า ไม่ชอบธรรม เป็นแค่สัญลักษณ์ของประชาธิปไตยเท่านั้น สถานการณ์ต่างๆ มันก็คงไม่ดีขึ้น ซึ่งก็เป็นหน้าที่ที่พรรคการเมืองต้องตระหนักและช่วยกันรักษาบรรยากาศที่ดีไว้
เมื่อถามว่า ที่ จ.นครราชสีมา พรรครวมชาติพัฒนา จะสามารถบล๊อคพรรคภูมิใจไทย กับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่คิดว่าคนโคราชรู้ดีว่า เขาจะเลือกใคร