นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้นำฝ่ายค้านโดยธรรมชาติของปวงชนไทย ในนาม กลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า “เอือมการเมืองในสภา หน้าหล่อหรือเหลี่ยมก็ชั่วเหมือนกัน ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครเชื่อใคร เป็นสภาของพวกสัตว์นรก ชี้การอภิปรายแค่เล่นโวหารโต้คารมยามว่าง ส่วนเวลาจริงคือโกงบ้านโกงเมือง” นายสนธิ พูดได้ถูกต้อง กล่าวคือ...
ความจริงที่พิสูจน์ได้ด้วยปัญญา ต้องร่วมกันกระชากหน้ากากลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ มันเหลือเชื่อว่าการเมืองไทยมันผิดพลาดมานับแต่ 2475 ยาวนานร่วม 79 ปีแล้ว ทั้งคณะผู้ริเริ่มการเปลี่ยนและสืบทอดมาจนถึงทุกวัน เป็นพวกลัทธิรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นลัทธิเผด็จการทางกฎหมาย เรียกว่า “ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ” ลัทธินี้เชื่อในปรัชญาทางกฎหมาย แต่พวกเขาไม่เชื่อในหลักนิติธรรมหรือไม่เข้าใจหลักนิติธรรม แต่ครอบงำประชาชนด้วยหลักนิติรัฐ กฎหมายเท่านั้นที่จะปกครองกดขี่ให้ประชาชนเชื่อฟังได้ นี่คือความเชื่อของพวกเขาที่สืบทอดตามๆ กันมา ทั้งทักษิณ และอภิสิทธิ์
ซึ่งลัทธินี้เป็นลัทธิรูปแบบและวิธีการ โดยขาดเนื้อหาสาระสำคัญยิ่งของการเมือง คือ หลักการปกครองโดยธรรมหรือเรียกว่าระบอบโดยธรรม คำว่า ระบอบ(Regime) หมายถึงหลักการปกครอง (Principle of Government) คุณจะปกครองใครคุณต้องมีหลักการปกครองเสียก่อนหรือจุดมุ่งหมายในการปกครอง จากนั้นเมื่อจะดำเนินการปกครอง คุณก็ต้องมีรูปแบบและวิธีการปกครอง
ยกตัวอย่าง นายอภิสิทธิ์ จะไปเชียงใหม่ เชียงใหม่เป็นหลักการหรือจุดมุ่งหมาย ส่วนรูปแบบและวิธีการในการที่จะไปให้ถึงเชียงใหม่ ย่อมมีความแตกต่างหลากหลาย เช่น เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน รถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน ฯลฯ
ในขณะเดียวกัน หากเป็นการเมืองการปกครอง เราจะต้องมีจุดมุ่งหมายร่วมกันทางการเมืองที่ยุติธรรมของปวงชนในแผ่นดิน ว่านี่คือหลักการปกครองโดยธรรม (หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9) ของปวงชน มีรูปแบบและวิธีการของรัฐเป็นแบบนี้ รูปแบบก็คือระบบรัฐสภา (Parliamentary System) ส่วนวิธีการปกครอง (Methods of government) ก็คือ รัฐธรรมนูญ (Constitution) ได้แก่หมวดและมาตราต่างๆ อันแตกต่างหลากหลาย เป็นวิธีการที่จะนำไปบังคับใช้ในองค์กรต่างๆ ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ
กล่าวคือ “จุดมุ่งหมายย่อมมาก่อนวิธีการไปสู่จุดมุ่งหมาย ฉันใด หลักการปกครอง ต้องมาก่อนวิธีการปกครองคือรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น” นี่คือความถูกต้องยิ่งใหญ่ของชาติ ง่ายๆ แบบนี้ แต่ผู้ปกครองไทย ทำผิดมาแล้ว 27 นายกรัฐมนตรี ทั้งรัฐประหารทั้งกบฏ มาแล้ว 20 กว่าครั้ง และในปีนี้ นายกฯ ชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคพวกเอาเปรียบประชาชนสาขาอาชีพต่างๆ ด้วยการเพิ่มจำนวน ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ เพื่อพรรคพวกของตัวเอง และเปลี่ยนเขตเลือกตั้งเป็นหนึ่งเขต ส.ส.คนเดียว นี่คือจะเอาให้ได้แต่พวกกู พวกนายทุนคนมีชื่อเสียงเท่านั้นหรือ นี่คือการทำบาปที่ให้ประชาชนเป็นได้เพียงทาสทางการเมืองของผู้ปกครองเท่านั้น อธิบายอย่างไรๆ มันก็ผิดตลอดไป
ระบอบการเมืองใดๆ ที่ไม่มีหลักการปกครอง มันเป็นระบอบเผด็จการทั้งสิ้น มันจึงทำลายองค์ประกอบของรัฐ ทำลายรัฐบาล ทำลายกลไกรัฐ ทำลายประชาชนคนดีของชาติ แต่มันส่งเสริมคนชั่วให้เติมโตทั่วทุกหัวระแหง เมื่อไม่มีหลักการปกครองซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายทั่วไปร่วมของปวงชนในชาติหรือเอกภาพทั่วไปร่วมของปวงชนในชาติ มันจึงมีแต่จุดหมายและวิธีการของคณะผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียว ของพรรคฯ ของบุคคล มันจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้ง มันจึงทำลายหลักธรรมอันสำคัญยิ่งของชาติ
กล่าวคือ 1. ทำลายหลักธรรมาธิปไตย 2. ทำลายหลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ กลายเป็นประมุขระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ 3. ทำลายหลักอำนาจอธิปไตยของปวงชนกลายเป็นอำนาจอธิปไตยเป็นของผู้ปกครอง 4. ทำลายหลักเสรีภาพบริบูรณ์ทางความคิด ประชาชนเป็นทาสทางการเมือง 5. ทำลายหลักความเสมอภาคทางโอกาส 6. ทำลายหลักภราดรภาพ กลายเป็นสังคมแห่งความขัดแย้ง 7. ทำลายหลักดุลยภาพในทุกๆ องค์กร 8. ทำลายหลักเอกภาพรวมของชาติและทุกระดับสังคม 9. ทำลายหลักนิติธรรมไปยึดเอาหลักนิติรัฐ ซึ่งเป็นเพียงกฎหมายของคณะผู้ปกครองที่บัญญัติขึ้นด้วยความเห็นแก่ตัว และพวกพ้องของผู้ปกครอง
ขณะที่ สถาบันองค์ประกอบของรัฐ (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กองทัพ) ซึ่งกำลังจะตายและถูกทำลายให้อ่อนแอลงเรื่อยๆ ดุจดังคนป่วยเพราะไว้เนื้อเชื่อใจหมอเถื่อน (เผด็จการรัฐธรรมนูญ) ให้รักษา ฉุกคิดใหม่เปลี่ยนใจตัดสินใจใหม่ ไม่ยอมอยู่ใต้เงื่อนไขของหมอเถื่อนอีกต่อไป
แนวทางแก้ไข ผู้แทนสถาบันหลักของชาติ ร่วมมือกันทั้งราชบัณฑิต นักคิดผู้มีปัญญาของแผ่นดิน ผู้นำฝ่ายค้าน (เผด็จการรัฐธรรมนูญ) โดยธรรมชาติ ฯลฯ เรียกร้อง ผลักดัน สถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นหลักการปกครองของชาติ ยกวันสถาปนาฯ ขึ้นเป็นวันพระราชทานหลักการปกครองธรรมาธิปไตยแห่งชาติหรือระบอบธรรมาธิปไตยแห่งชาติ
จากนั้น รัฐบาลเฉพาะกาล (Provisional Government) การแก้ไขรัฐธรรมให้ถูกต้องสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับหลักการปกครองธรรมาธิปไตย ดังนี้แล้ว เราจะได้นักการเมืองใกล้เคียงกับพระโพธิสัตว์ หากไม่เปลี่ยนไม่รู้สึกตัวก็ยังคงได้นักการเมือง-รัฐบาลสัตว์นรกทุกชุดไป สมจริงดังที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล พูดไว้
ความจริงที่พิสูจน์ได้ด้วยปัญญา ต้องร่วมกันกระชากหน้ากากลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ มันเหลือเชื่อว่าการเมืองไทยมันผิดพลาดมานับแต่ 2475 ยาวนานร่วม 79 ปีแล้ว ทั้งคณะผู้ริเริ่มการเปลี่ยนและสืบทอดมาจนถึงทุกวัน เป็นพวกลัทธิรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นลัทธิเผด็จการทางกฎหมาย เรียกว่า “ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ” ลัทธินี้เชื่อในปรัชญาทางกฎหมาย แต่พวกเขาไม่เชื่อในหลักนิติธรรมหรือไม่เข้าใจหลักนิติธรรม แต่ครอบงำประชาชนด้วยหลักนิติรัฐ กฎหมายเท่านั้นที่จะปกครองกดขี่ให้ประชาชนเชื่อฟังได้ นี่คือความเชื่อของพวกเขาที่สืบทอดตามๆ กันมา ทั้งทักษิณ และอภิสิทธิ์
ซึ่งลัทธินี้เป็นลัทธิรูปแบบและวิธีการ โดยขาดเนื้อหาสาระสำคัญยิ่งของการเมือง คือ หลักการปกครองโดยธรรมหรือเรียกว่าระบอบโดยธรรม คำว่า ระบอบ(Regime) หมายถึงหลักการปกครอง (Principle of Government) คุณจะปกครองใครคุณต้องมีหลักการปกครองเสียก่อนหรือจุดมุ่งหมายในการปกครอง จากนั้นเมื่อจะดำเนินการปกครอง คุณก็ต้องมีรูปแบบและวิธีการปกครอง
ยกตัวอย่าง นายอภิสิทธิ์ จะไปเชียงใหม่ เชียงใหม่เป็นหลักการหรือจุดมุ่งหมาย ส่วนรูปแบบและวิธีการในการที่จะไปให้ถึงเชียงใหม่ ย่อมมีความแตกต่างหลากหลาย เช่น เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน รถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน ฯลฯ
ในขณะเดียวกัน หากเป็นการเมืองการปกครอง เราจะต้องมีจุดมุ่งหมายร่วมกันทางการเมืองที่ยุติธรรมของปวงชนในแผ่นดิน ว่านี่คือหลักการปกครองโดยธรรม (หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9) ของปวงชน มีรูปแบบและวิธีการของรัฐเป็นแบบนี้ รูปแบบก็คือระบบรัฐสภา (Parliamentary System) ส่วนวิธีการปกครอง (Methods of government) ก็คือ รัฐธรรมนูญ (Constitution) ได้แก่หมวดและมาตราต่างๆ อันแตกต่างหลากหลาย เป็นวิธีการที่จะนำไปบังคับใช้ในองค์กรต่างๆ ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ
กล่าวคือ “จุดมุ่งหมายย่อมมาก่อนวิธีการไปสู่จุดมุ่งหมาย ฉันใด หลักการปกครอง ต้องมาก่อนวิธีการปกครองคือรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น” นี่คือความถูกต้องยิ่งใหญ่ของชาติ ง่ายๆ แบบนี้ แต่ผู้ปกครองไทย ทำผิดมาแล้ว 27 นายกรัฐมนตรี ทั้งรัฐประหารทั้งกบฏ มาแล้ว 20 กว่าครั้ง และในปีนี้ นายกฯ ชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคพวกเอาเปรียบประชาชนสาขาอาชีพต่างๆ ด้วยการเพิ่มจำนวน ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ เพื่อพรรคพวกของตัวเอง และเปลี่ยนเขตเลือกตั้งเป็นหนึ่งเขต ส.ส.คนเดียว นี่คือจะเอาให้ได้แต่พวกกู พวกนายทุนคนมีชื่อเสียงเท่านั้นหรือ นี่คือการทำบาปที่ให้ประชาชนเป็นได้เพียงทาสทางการเมืองของผู้ปกครองเท่านั้น อธิบายอย่างไรๆ มันก็ผิดตลอดไป
ระบอบการเมืองใดๆ ที่ไม่มีหลักการปกครอง มันเป็นระบอบเผด็จการทั้งสิ้น มันจึงทำลายองค์ประกอบของรัฐ ทำลายรัฐบาล ทำลายกลไกรัฐ ทำลายประชาชนคนดีของชาติ แต่มันส่งเสริมคนชั่วให้เติมโตทั่วทุกหัวระแหง เมื่อไม่มีหลักการปกครองซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายทั่วไปร่วมของปวงชนในชาติหรือเอกภาพทั่วไปร่วมของปวงชนในชาติ มันจึงมีแต่จุดหมายและวิธีการของคณะผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียว ของพรรคฯ ของบุคคล มันจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้ง มันจึงทำลายหลักธรรมอันสำคัญยิ่งของชาติ
กล่าวคือ 1. ทำลายหลักธรรมาธิปไตย 2. ทำลายหลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ กลายเป็นประมุขระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ 3. ทำลายหลักอำนาจอธิปไตยของปวงชนกลายเป็นอำนาจอธิปไตยเป็นของผู้ปกครอง 4. ทำลายหลักเสรีภาพบริบูรณ์ทางความคิด ประชาชนเป็นทาสทางการเมือง 5. ทำลายหลักความเสมอภาคทางโอกาส 6. ทำลายหลักภราดรภาพ กลายเป็นสังคมแห่งความขัดแย้ง 7. ทำลายหลักดุลยภาพในทุกๆ องค์กร 8. ทำลายหลักเอกภาพรวมของชาติและทุกระดับสังคม 9. ทำลายหลักนิติธรรมไปยึดเอาหลักนิติรัฐ ซึ่งเป็นเพียงกฎหมายของคณะผู้ปกครองที่บัญญัติขึ้นด้วยความเห็นแก่ตัว และพวกพ้องของผู้ปกครอง
ขณะที่ สถาบันองค์ประกอบของรัฐ (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กองทัพ) ซึ่งกำลังจะตายและถูกทำลายให้อ่อนแอลงเรื่อยๆ ดุจดังคนป่วยเพราะไว้เนื้อเชื่อใจหมอเถื่อน (เผด็จการรัฐธรรมนูญ) ให้รักษา ฉุกคิดใหม่เปลี่ยนใจตัดสินใจใหม่ ไม่ยอมอยู่ใต้เงื่อนไขของหมอเถื่อนอีกต่อไป
แนวทางแก้ไข ผู้แทนสถาบันหลักของชาติ ร่วมมือกันทั้งราชบัณฑิต นักคิดผู้มีปัญญาของแผ่นดิน ผู้นำฝ่ายค้าน (เผด็จการรัฐธรรมนูญ) โดยธรรมชาติ ฯลฯ เรียกร้อง ผลักดัน สถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นหลักการปกครองของชาติ ยกวันสถาปนาฯ ขึ้นเป็นวันพระราชทานหลักการปกครองธรรมาธิปไตยแห่งชาติหรือระบอบธรรมาธิปไตยแห่งชาติ
จากนั้น รัฐบาลเฉพาะกาล (Provisional Government) การแก้ไขรัฐธรรมให้ถูกต้องสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับหลักการปกครองธรรมาธิปไตย ดังนี้แล้ว เราจะได้นักการเมืองใกล้เคียงกับพระโพธิสัตว์ หากไม่เปลี่ยนไม่รู้สึกตัวก็ยังคงได้นักการเมือง-รัฐบาลสัตว์นรกทุกชุดไป สมจริงดังที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล พูดไว้
