หากจะเปรียบไปสภาพการณ์ ปรากฏการณ์และกระแสของความเป็นไปของการเมืองไทยเปรียบดุจดังคนเป็นโรคออทิสติก ซึ่งลักษณะพิเศษของบุคคลออทิสติก โดยทั่วไปคือ (1) บกพร่องในด้านความสัมพันธ์ทางสังคม (2) บกพร่องในด้านการสื่อสาร (3)พฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมต่างๆ เป็นไปอย่างจำกัดและซ้ำๆ
หากเราพิจารณาระบอบการเมืองไทยซึ่งเป็นระบอบที่ไม่มีระบอบ คือไม่มีหลักการปกครองโดยธรรมแก่ปวงชนไทย มีแต่รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นวิธีการปกครองโดยเพียงด้านเดียว ประดุจดังมีแต่ดาวเคราะห์เพียงด้านเดียวส่วนดาวฤกษ์หรือดวงอาทิตย์หามีไม่ ดวงอาทิตย์มาก่อนหรือเป็นเหตุของดาวเคราะห์ ฉันใด หลักการปกครองต้องมาก่อนวิธีการปกครอง ฉันนั้น หรือจุดมุ่งหมายต้องมาก่อนวิธีการไปสู่จุดมุ่งหมาย ฉันใด หลักการปกครองต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ (วิธีการปกครอง) ฉันใดนั้น
ประเทศไทยไม่เคยมีระบอบ หรือไม่เคยมีหลักการปกครอง มีแต่การร่างและแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะผู้ปกครองหลงผิด คิดผิด พูดผิด และทำผิดว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย นี่คือความเห็นผิดของผู้ปกครองไทยยาวนานมากถึง 78 กว่าปีแล้ว
การไม่มีระบอบหรือหลักการปกครองโดยธรรม ก็เท่ากับไม่มีจุดมุ่งหมายร่วมของปวงชนในชาติ ก็เป็นเหตุให้ชนในชาติแตกความสามัคคี ต่างคนต่างทำ ร้อยคนก็ร้อยจุดมุ่งหมาย หกสิบล้านคนหกสิบล้านจุดมุ่งหมาย ความเป็นไปของประเทศก็จะเต็มไปด้วยความแตกแยก ความขัดแย้งสับสนอลหม่านเป็นตามกิเลสอย่างไม่รู้จบสิ้น
มาดูรัฐบาล อันเป็นผลของรัฐธรรมนูญ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ดุจดังรัฐบาลเป็นโรคออทิสติก ซึ่งเมื่อระบอบผิด รัฐซึ่งเป็นผลของระบอบก็ผิดตามไปด้วย ระบอบออทิสติก รัฐบาลย่อมเป็นออทิสติกตามไปด้วยอย่างเป็นไปเอง ตามกฎแห่งกรรมที่ว่า ผลย่อมมาจากเหตุเสมอไป เหตุเลวผลเลวตามไปด้วย
รัฐบาลอภิสิทธิ์ คิดแต่แก้ไขปัญหาปลายเหตุ กู้เงินมาลงทุนมากมายแต่ผลที่ได้กลับล้มเหลวในทุกเรื่อง หนี้สาธารณะท่วมประเทศ ขณะที่ปวงชนไทยทุกคนต้องแบกรับภาระหนี้สาธารณะไปชั่วชีวิต รัฐบาลอภิสิทธิ์รักษาแต่ผลประโยชน์ของตนเอง เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 ประเด็น ล้วนเป็นประโยนช์ของนักการเมืองล้วนๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชนเลยแม้แต่นิดเดียว และซ้ำร้ายรัฐบาลประชาธิปัตย์กลับทำร้ายประชาชนสร้างตราบาปให้ตกเป็นทาสทางการเมืองของพวกเขาต่อไป
ส.ส.ถูกลดจำนวนลงเหลือ 375 คน และไปเพิ่ม ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เป็น 125 คน รวมเป็น 500 คน ดุจดังโจร 500 ก็ว่าได้ ทั้งนี้เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้รับการสนับสนุนจากนายทุนเพิ่มขึ้น จึงต้องเพิ่ม ส.ส.ปาร์ตี้สิสต์เพื่อให้นายทุนหันมาสนับสนุนพรรคมากขึ้น พวกเขาก็คิดกันแค่นี้เอง ใครก็รู้ทัน
ประเด็นการเลือกตั้งแบบเขตเดียว เบอร์เดียว นั้นดูแล้วเหมือนจะดี แต่หารู้ไหมว่า นี่ก็เป็นแผนร้ายของนายทุนเหมาะสำหรับคนมีเงิน คนมีชื่อเสียง ก็จะได้รับเลือกตั้งไป
ในขณะที่ประชาชนไม่รู้เรื่องการเมือง ไม่มีจิตสำนึกทางการเมืองที่ถูกต้อง ถามว่าประชาชนผิดไหม ประชาชนไม่ผิดแต่เพราะผู้ปกครองไทย รัฐบาลไหนๆ ก็ไม่เคยให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน ให้แต่การเมืองผิดๆ ครอบงำประชาชนมาตลอด ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น
แน่จริงหากจัดให้มีการเลือกตั้ง ในเขตหนึ่งๆ มี ส.ส.ได้อย่างน้อย 3 คน ขึ้นไป และประชาชนแต่ละคนไปเลือกผู้แทนของตนได้เพียงคนเดียว (หนึ่งคนหนึ่งเสียง) ลักษณะอย่างนี้ นานวันเข้าก็จะทำให้ประชาชนมีจิตสำนึกรู้จักเลือกผู้แทนของตนเองได้ ในเขตที่มีจำนวนผู้แทน 3 คนนี้ ก็จะได้นายทุนหรือผู้มีชื่อหนึ่งคน ได้ผู้แทนเกษตรกรหนึ่งคน ได้คนดีหนึ่งคน เป็นต้น ผู้แทนของประชาชนก็จะคละกันไป
แต่ตราบาปที่พรรคประชาธิปัตย์และพวกจัดทำขึ้นนั้น การเลือกตั้งครั้งหน้าเราก็จะได้แต่ ส.ส. และพรรคนายทุนทั้งสิ้น เพราะผลมันออกมาแล้วว่าจิตสำนึกยังไม่เกิด “วัวยังคงรับเงินหลับตาเลือกเสือเป็นผู้แทนต่อไป”
มาดูผู้นำกลุ่มปฏิรูป นับแต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายอานันท์ ปันยารชุน หมอประเวศ วะสี ซึ่งสุมหัวกันคิดปฏิรูปประเทศแบบเพ้อฝันปัญญาอ่อน อย่างเช่น คิดปฏิรูปที่ดิน ซึ่งเป็นปัญหาปลายเหตุ ที่เกิดจากการเมืองผิด การปกครองผิด เหตุคือการเมืองไม่เป็นของปวงชน อำนาจอธิปไตยเป็นของนายทุนเพียงหยิบมือเดียว แล้วท่านทั้งหลายกำลังคิดปฏิรูปที่ดินขอร้องให้เจ้าที่ดิน (Land lord) คืนที่ดินเหลือครอบครัวละ 50 ไร่นั้น มันยากยิ่งกว่าเอาช้างลอดรูเข็มหลายล้านเท่านัก การแก้ปัญหาปลายเหตุ ก็จะเสียเวลาเปล่าและกำลังหลอกลวงประชาชน และทำให้สังคมกลายเป็นอนาธิปไตย (Anarchy) ไร้ทิศ ไร้ทาง ไร้กฎเกณฑ์ ปัญหาต่างๆ จะตามมาเกินกว่าที่จะกล่าว แล้วคอยมาดูกัน
มาดูพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง ก็ออกมาร้องโหวกเหวกโวยวายแต่ผลประโยชน์ของเจ้านาย (ทักษิณ) พวกก่อการร้าย และพวกพ้อง เป็นพวกสับสนทางการเมือง เป็นพวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ (40) อีกขั้วหนึ่ง
มาดูกลุ่มพันธมิตรฯ พวกเขาแสดงออกถึงความรักชาติออกมาเสียสละปกป้องชาติ และมีความก้าวหน้าทางการเมืองกว่ากลุ่มใดๆ ทั้งนี้เพราะไทยเราจะล่มจมเพราะเข้าใจผิดเรื่องระบอบฯ และรัฐบาลอ่อนแอที่สุด เบาปัญญาที่สุดดุจดังคนเป็นโรคออทิสติก ขอให้ช่วยกันตรองดูเถิด
หากเราพิจารณาระบอบการเมืองไทยซึ่งเป็นระบอบที่ไม่มีระบอบ คือไม่มีหลักการปกครองโดยธรรมแก่ปวงชนไทย มีแต่รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นวิธีการปกครองโดยเพียงด้านเดียว ประดุจดังมีแต่ดาวเคราะห์เพียงด้านเดียวส่วนดาวฤกษ์หรือดวงอาทิตย์หามีไม่ ดวงอาทิตย์มาก่อนหรือเป็นเหตุของดาวเคราะห์ ฉันใด หลักการปกครองต้องมาก่อนวิธีการปกครอง ฉันนั้น หรือจุดมุ่งหมายต้องมาก่อนวิธีการไปสู่จุดมุ่งหมาย ฉันใด หลักการปกครองต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ (วิธีการปกครอง) ฉันใดนั้น
ประเทศไทยไม่เคยมีระบอบ หรือไม่เคยมีหลักการปกครอง มีแต่การร่างและแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะผู้ปกครองหลงผิด คิดผิด พูดผิด และทำผิดว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย นี่คือความเห็นผิดของผู้ปกครองไทยยาวนานมากถึง 78 กว่าปีแล้ว
การไม่มีระบอบหรือหลักการปกครองโดยธรรม ก็เท่ากับไม่มีจุดมุ่งหมายร่วมของปวงชนในชาติ ก็เป็นเหตุให้ชนในชาติแตกความสามัคคี ต่างคนต่างทำ ร้อยคนก็ร้อยจุดมุ่งหมาย หกสิบล้านคนหกสิบล้านจุดมุ่งหมาย ความเป็นไปของประเทศก็จะเต็มไปด้วยความแตกแยก ความขัดแย้งสับสนอลหม่านเป็นตามกิเลสอย่างไม่รู้จบสิ้น
มาดูรัฐบาล อันเป็นผลของรัฐธรรมนูญ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ดุจดังรัฐบาลเป็นโรคออทิสติก ซึ่งเมื่อระบอบผิด รัฐซึ่งเป็นผลของระบอบก็ผิดตามไปด้วย ระบอบออทิสติก รัฐบาลย่อมเป็นออทิสติกตามไปด้วยอย่างเป็นไปเอง ตามกฎแห่งกรรมที่ว่า ผลย่อมมาจากเหตุเสมอไป เหตุเลวผลเลวตามไปด้วย
รัฐบาลอภิสิทธิ์ คิดแต่แก้ไขปัญหาปลายเหตุ กู้เงินมาลงทุนมากมายแต่ผลที่ได้กลับล้มเหลวในทุกเรื่อง หนี้สาธารณะท่วมประเทศ ขณะที่ปวงชนไทยทุกคนต้องแบกรับภาระหนี้สาธารณะไปชั่วชีวิต รัฐบาลอภิสิทธิ์รักษาแต่ผลประโยชน์ของตนเอง เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 ประเด็น ล้วนเป็นประโยนช์ของนักการเมืองล้วนๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชนเลยแม้แต่นิดเดียว และซ้ำร้ายรัฐบาลประชาธิปัตย์กลับทำร้ายประชาชนสร้างตราบาปให้ตกเป็นทาสทางการเมืองของพวกเขาต่อไป
ส.ส.ถูกลดจำนวนลงเหลือ 375 คน และไปเพิ่ม ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เป็น 125 คน รวมเป็น 500 คน ดุจดังโจร 500 ก็ว่าได้ ทั้งนี้เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้รับการสนับสนุนจากนายทุนเพิ่มขึ้น จึงต้องเพิ่ม ส.ส.ปาร์ตี้สิสต์เพื่อให้นายทุนหันมาสนับสนุนพรรคมากขึ้น พวกเขาก็คิดกันแค่นี้เอง ใครก็รู้ทัน
ประเด็นการเลือกตั้งแบบเขตเดียว เบอร์เดียว นั้นดูแล้วเหมือนจะดี แต่หารู้ไหมว่า นี่ก็เป็นแผนร้ายของนายทุนเหมาะสำหรับคนมีเงิน คนมีชื่อเสียง ก็จะได้รับเลือกตั้งไป
ในขณะที่ประชาชนไม่รู้เรื่องการเมือง ไม่มีจิตสำนึกทางการเมืองที่ถูกต้อง ถามว่าประชาชนผิดไหม ประชาชนไม่ผิดแต่เพราะผู้ปกครองไทย รัฐบาลไหนๆ ก็ไม่เคยให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน ให้แต่การเมืองผิดๆ ครอบงำประชาชนมาตลอด ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น
แน่จริงหากจัดให้มีการเลือกตั้ง ในเขตหนึ่งๆ มี ส.ส.ได้อย่างน้อย 3 คน ขึ้นไป และประชาชนแต่ละคนไปเลือกผู้แทนของตนได้เพียงคนเดียว (หนึ่งคนหนึ่งเสียง) ลักษณะอย่างนี้ นานวันเข้าก็จะทำให้ประชาชนมีจิตสำนึกรู้จักเลือกผู้แทนของตนเองได้ ในเขตที่มีจำนวนผู้แทน 3 คนนี้ ก็จะได้นายทุนหรือผู้มีชื่อหนึ่งคน ได้ผู้แทนเกษตรกรหนึ่งคน ได้คนดีหนึ่งคน เป็นต้น ผู้แทนของประชาชนก็จะคละกันไป
แต่ตราบาปที่พรรคประชาธิปัตย์และพวกจัดทำขึ้นนั้น การเลือกตั้งครั้งหน้าเราก็จะได้แต่ ส.ส. และพรรคนายทุนทั้งสิ้น เพราะผลมันออกมาแล้วว่าจิตสำนึกยังไม่เกิด “วัวยังคงรับเงินหลับตาเลือกเสือเป็นผู้แทนต่อไป”
มาดูผู้นำกลุ่มปฏิรูป นับแต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายอานันท์ ปันยารชุน หมอประเวศ วะสี ซึ่งสุมหัวกันคิดปฏิรูปประเทศแบบเพ้อฝันปัญญาอ่อน อย่างเช่น คิดปฏิรูปที่ดิน ซึ่งเป็นปัญหาปลายเหตุ ที่เกิดจากการเมืองผิด การปกครองผิด เหตุคือการเมืองไม่เป็นของปวงชน อำนาจอธิปไตยเป็นของนายทุนเพียงหยิบมือเดียว แล้วท่านทั้งหลายกำลังคิดปฏิรูปที่ดินขอร้องให้เจ้าที่ดิน (Land lord) คืนที่ดินเหลือครอบครัวละ 50 ไร่นั้น มันยากยิ่งกว่าเอาช้างลอดรูเข็มหลายล้านเท่านัก การแก้ปัญหาปลายเหตุ ก็จะเสียเวลาเปล่าและกำลังหลอกลวงประชาชน และทำให้สังคมกลายเป็นอนาธิปไตย (Anarchy) ไร้ทิศ ไร้ทาง ไร้กฎเกณฑ์ ปัญหาต่างๆ จะตามมาเกินกว่าที่จะกล่าว แล้วคอยมาดูกัน
มาดูพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง ก็ออกมาร้องโหวกเหวกโวยวายแต่ผลประโยชน์ของเจ้านาย (ทักษิณ) พวกก่อการร้าย และพวกพ้อง เป็นพวกสับสนทางการเมือง เป็นพวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ (40) อีกขั้วหนึ่ง
มาดูกลุ่มพันธมิตรฯ พวกเขาแสดงออกถึงความรักชาติออกมาเสียสละปกป้องชาติ และมีความก้าวหน้าทางการเมืองกว่ากลุ่มใดๆ ทั้งนี้เพราะไทยเราจะล่มจมเพราะเข้าใจผิดเรื่องระบอบฯ และรัฐบาลอ่อนแอที่สุด เบาปัญญาที่สุดดุจดังคนเป็นโรคออทิสติก ขอให้ช่วยกันตรองดูเถิด
