เรื่องน่ารู้“16 วันในคุกเขมร”
“พนิช”เผย ชะตากรรม “วีระ สมความคิด”
ขณะที่ นายวีระ สมความคิด และ นางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ 2 คนไทยซึ่งยังถูกกุมขังอยู่ที่เรือนจำเปรย์ ซอร์ ประเทศกัมพูชา โดยมีกระแสข่าวจากระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าทั้ง 2 คน ลงนามในเอกสารขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว และมีการเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยเอกสารหลักฐานดังกล่าวนั้น ล่าสุดได้อ่านพ็อกเก็ตบุ๊คที่ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.เขต 6 พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็น 1 ใน 7 คนไทย ซึ่งถูกทางการกัมพูชาจับกุมในคราวเดียวกันได้ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต“16 วันในคุกเขมร”พร้อมกับได้เล่าถึงความเป็นมาและเหตุผลในการลงพื้นที่ จ.สระแก้ว จนนำไปสู่การถูกจับกุมและประสบการณ์ที่ต้องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ เปรย์ ซอร์ นานถึง 16 วัน ซึ่งเห็นว่าสิ่งที่ นายพนิช เล่าเรื่องผ่านตัวอักษรน่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อจะได้ร่วมรับรู้ถึงข้อเท็จจริง เกี่ยวกับชีวิตของ"นายวีระ และนางสาวราตรี"ในหลากหลายแง่มุม
ในเนื้อหาหนังสือดังกล่าว นายพนิช ได้ระบุถึงประสบการณ์ที่ใช้ชีวิตร่วมห้องขังเดียวกันกับนายวีระ ว่า ทั้งนายพนิชและนายวีระ ต่างมีโรคประจำตัวด้วยกันทั้งคู่ โดยนายพนิช เป็นโรคประจำตัวเส้นประสาทเส้นที่ 7 อักเสบมาตั้งแต่ปี 2552 แม้อาการจะปกติแต่ก็ต้องทานยาต่อเนื่อง ขณะที่นายวีระ เป็นโรครูมาตอยด์ซึ่งจะเจ็บและคันมาก ถ้าไม่ได้ทานยาภายใน 2-3 วัน
นายพนิช ยังได้เล่าถึงสาเหตุการเพิ่มข้อหาจารกรรมให้กับนายวีระ และนางสาวราตรี ว่า “คุณวีระได้พก “กล้องรูเข็ม”ที่เพิ่งซื้อมาจากต่างประเทศติดตัวมา ระหว่างอยู่ที่สระน้ำ คุณวีระ คงเชื่อว่า น่าจะสามารถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึกบริเวณที่พวกเรานั่งกันอยู่ โดยให้คุณราตรี ลองถ่ายเก็บไว้ดูเล่น ๆ คุณราตรี ก็เลยพกติดตัวไว้แต่คุณวีระ คงไม่ทราบ ผมเอง ณ วันนั้น ก็ไม่ทราบว่ากล้องนี้ถูกยึดในเช้าวันที่ 30 ธันวาคม 2553 ซึ่งเราจะต้องให้ของใช้และสมบัติติดตัวกับเจ้าหน้าที่ ตม.ก่อนที่จะออกจาก สำนักงานตม.ไปยังศาล คุณวีระ เองก็ไม่นึกอะไร เลยไปรับว่าเป็นเจ้าของ คุณราตรี ก็รับว่าเป็นเจ้าของ ซึ่งทั้ง 2 คนรับไปด้วยความบริสุทธิ์ใจที่จะปกป้องซึ่งกันและกัน แต่คุณวีระ ก็ยังเชื่อว่าเป็นการยัดข้อกล่าวหาที่ไม่สมเหตุสมผล ผมเองก็เชื่อ ว่าคุณวีระ ไม่ได้มีความตั้งใจเพราะไม่รู้จะไปถ่ายอะไร เนื่องจากตรงนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่ชัดเจนว่าเป็นค่ายทหารหรือเป็นอะไร แต่ข้อกล่าวหาที่ได้เพิ่มเติมน่าจะเป็นหลังจากที่ทางการกัมพูชาคงจะได้กล้อง ไปเมื่อเช้าวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และหลังจากวันที่เราไปให้การอัยการเรียบร้อยแล้วก็คงจะมาถอดภาพดูแล้วปรากฏ ว่าถ่ายติดคุณวีระ ตั้งใจที่จะสู้คดีและแสดงความบริสุทธิ์ว่าไม่ได้มีเรื่อง ของการจารกรรมข้อมูล นอกจากนี้ยังแสดงความไม่พอใจกับเจ้าหน้าที่ล่ามที่ทางศาลใช้ เพราะแปลไม่ค่อยตรงกับที่ต้องการสื่อสาร
นายพนิช ยังเล่าถึงเหตุการณ์วันที่ นายวีระ ขึ้นให้การกับศาลสั่งในข้อหาจารกรรมว่า “คุณวีระถูกนำตัวออกจากห้องขังไปตั้งแต่ประมาณ 06.30 น.และกลับมาประมาณ 11.00 น.ซึ่งเร็วกว่าที่คาดเยอะ เมื่อกลับมาถึงห้องขัง คุณวีระ ยืนยันกับผมที่จะไม่ให้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ทำให้ผู้พิพากษาไม่พอใจ โดยบอกว่ากลับ มาเจอกันอีก 1 ปีถ้าจะสู้คดี นายพนิชเล่าว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมามีโอกาสคุยกับคุณวีระ ได้เข้าใจถึงการทำงานอุดมคติ ความมุ่งมั่นและได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่าง เกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติของคุณวีระ“เรื่องที่สามารถแชร์กับผู้อ่านได้ก็ คือเรื่องที่ผมคิดว่ามีความสำคัญและเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในชีวิตผม
เรื่องแรก คือความสำคัญของวันเกิด ซึ่งคุณวีระ ยกตัวอย่างชัดเจนว่าวันเกิดเป็นวันที่แม่ทุกข์ทรมานมากที่สุด ดังนั้นวันเกิดเราควรทำทุกอย่างเพื่อแม่สำหรับส่วนตัวคุณวีระ หลาย 10 ปีที่ผ่านมา ไม่มีการจัดงานเลี้ยง แต่จะอดอาหารทั้งวันพาแม่ไปในที่ซึ่งแม่ต้องการโดยเฉพาะการทำบุญ เพราะเชื่อว่าการทำบุญไม่สามารถจะผ่านบุญไปให้คนอื่นได้ แต่สามารถพาคนนั้นไปทำบุญด้วยตัวเอง แล้วบุญจะไปเข้าที่เขาได้อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ เรื่องความกตัญญู ความสำนึกในบุญคุณพระคุณของคุณแม่
อีกเรื่องหนึ่งที่คุณวีระพูดกับผมคือ“ส.ส.พนิช ผมไม่จำเป็นที่ต้องเล่าอะไรให้คุณฟังเลย แต่ผมเห็นว่าคุณเป็นนักการเมืองที่มีอนาคต อยากจะให้รู้เรื่องอะไรหลายเรื่อง วันนี้เราเป็นเพื่อนกัน วันนี้เราผจญชะตากรรมร่วมกัน เราทำในสิ่งที่ดีร่วมกัน แต่เมื่อไรที่คุณทำทุจริต เมื่อไรที่คุณประพฤติมิชอบ คุณจะเจอผมแน่นอนและไม่ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันสนิทกันแค่ไหน ผมก็จะไม่ยอมคุณ และไม่ว่าคุณจะมาขอให้ใคร ผมก็จะไม่มีวันทำให้ถ้าเป็นเรื่องการทุจริต คอรัปชั่น” คุณวีระพูดด้วยสีหน้าที่เอาจริงเอาจังอยู่หลังมุ้ง
นายพนิช ยังได้กล่าวเรียกร้องในหนังสือดังกล่าวว่า ต้องทำทุกวิถีทางที่จะช่วยเหลือพาตัวนายวีระและนางสาวราตรี กลับมา โดยก่อนที่นายพนิช จะเดินทางกลับประเทศไทยได้มีโอกาสล่ำลานางสาวราตรีซึ่งก็ ได้บอกกับนายพนิช ว่าให้ช่วยบอกผู้ใหญ่เพื่อช่วยเหลือนำกลับบ้านด้วย
“ให้พวกเรา 7 คนเป็นนักโทษกลุ่มสุดท้ายที่ต้องติดคุกเพราะปัญหาความขัดแย้งในเรื่องพรหมแดน ช่วยกันทำวิกฤติครั้งนี้เป็นโอกาส มอบสันติภาพและอนาคตเพื่อคนรุ่นลูกรุ่นหลาน”นายพนิช ระบุในพ็อคเก็ตบุ๊ค
“พนิช”เผย ชะตากรรม “วีระ สมความคิด”
ขณะที่ นายวีระ สมความคิด และ นางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ 2 คนไทยซึ่งยังถูกกุมขังอยู่ที่เรือนจำเปรย์ ซอร์ ประเทศกัมพูชา โดยมีกระแสข่าวจากระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าทั้ง 2 คน ลงนามในเอกสารขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว และมีการเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยเอกสารหลักฐานดังกล่าวนั้น ล่าสุดได้อ่านพ็อกเก็ตบุ๊คที่ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.เขต 6 พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็น 1 ใน 7 คนไทย ซึ่งถูกทางการกัมพูชาจับกุมในคราวเดียวกันได้ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต“16 วันในคุกเขมร”พร้อมกับได้เล่าถึงความเป็นมาและเหตุผลในการลงพื้นที่ จ.สระแก้ว จนนำไปสู่การถูกจับกุมและประสบการณ์ที่ต้องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ เปรย์ ซอร์ นานถึง 16 วัน ซึ่งเห็นว่าสิ่งที่ นายพนิช เล่าเรื่องผ่านตัวอักษรน่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อจะได้ร่วมรับรู้ถึงข้อเท็จจริง เกี่ยวกับชีวิตของ"นายวีระ และนางสาวราตรี"ในหลากหลายแง่มุม
ในเนื้อหาหนังสือดังกล่าว นายพนิช ได้ระบุถึงประสบการณ์ที่ใช้ชีวิตร่วมห้องขังเดียวกันกับนายวีระ ว่า ทั้งนายพนิชและนายวีระ ต่างมีโรคประจำตัวด้วยกันทั้งคู่ โดยนายพนิช เป็นโรคประจำตัวเส้นประสาทเส้นที่ 7 อักเสบมาตั้งแต่ปี 2552 แม้อาการจะปกติแต่ก็ต้องทานยาต่อเนื่อง ขณะที่นายวีระ เป็นโรครูมาตอยด์ซึ่งจะเจ็บและคันมาก ถ้าไม่ได้ทานยาภายใน 2-3 วัน
นายพนิช ยังได้เล่าถึงสาเหตุการเพิ่มข้อหาจารกรรมให้กับนายวีระ และนางสาวราตรี ว่า “คุณวีระได้พก “กล้องรูเข็ม”ที่เพิ่งซื้อมาจากต่างประเทศติดตัวมา ระหว่างอยู่ที่สระน้ำ คุณวีระ คงเชื่อว่า น่าจะสามารถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึกบริเวณที่พวกเรานั่งกันอยู่ โดยให้คุณราตรี ลองถ่ายเก็บไว้ดูเล่น ๆ คุณราตรี ก็เลยพกติดตัวไว้แต่คุณวีระ คงไม่ทราบ ผมเอง ณ วันนั้น ก็ไม่ทราบว่ากล้องนี้ถูกยึดในเช้าวันที่ 30 ธันวาคม 2553 ซึ่งเราจะต้องให้ของใช้และสมบัติติดตัวกับเจ้าหน้าที่ ตม.ก่อนที่จะออกจาก สำนักงานตม.ไปยังศาล คุณวีระ เองก็ไม่นึกอะไร เลยไปรับว่าเป็นเจ้าของ คุณราตรี ก็รับว่าเป็นเจ้าของ ซึ่งทั้ง 2 คนรับไปด้วยความบริสุทธิ์ใจที่จะปกป้องซึ่งกันและกัน แต่คุณวีระ ก็ยังเชื่อว่าเป็นการยัดข้อกล่าวหาที่ไม่สมเหตุสมผล ผมเองก็เชื่อ ว่าคุณวีระ ไม่ได้มีความตั้งใจเพราะไม่รู้จะไปถ่ายอะไร เนื่องจากตรงนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่ชัดเจนว่าเป็นค่ายทหารหรือเป็นอะไร แต่ข้อกล่าวหาที่ได้เพิ่มเติมน่าจะเป็นหลังจากที่ทางการกัมพูชาคงจะได้กล้อง ไปเมื่อเช้าวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และหลังจากวันที่เราไปให้การอัยการเรียบร้อยแล้วก็คงจะมาถอดภาพดูแล้วปรากฏ ว่าถ่ายติดคุณวีระ ตั้งใจที่จะสู้คดีและแสดงความบริสุทธิ์ว่าไม่ได้มีเรื่อง ของการจารกรรมข้อมูล นอกจากนี้ยังแสดงความไม่พอใจกับเจ้าหน้าที่ล่ามที่ทางศาลใช้ เพราะแปลไม่ค่อยตรงกับที่ต้องการสื่อสาร
นายพนิช ยังเล่าถึงเหตุการณ์วันที่ นายวีระ ขึ้นให้การกับศาลสั่งในข้อหาจารกรรมว่า “คุณวีระถูกนำตัวออกจากห้องขังไปตั้งแต่ประมาณ 06.30 น.และกลับมาประมาณ 11.00 น.ซึ่งเร็วกว่าที่คาดเยอะ เมื่อกลับมาถึงห้องขัง คุณวีระ ยืนยันกับผมที่จะไม่ให้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ทำให้ผู้พิพากษาไม่พอใจ โดยบอกว่ากลับ มาเจอกันอีก 1 ปีถ้าจะสู้คดี นายพนิชเล่าว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมามีโอกาสคุยกับคุณวีระ ได้เข้าใจถึงการทำงานอุดมคติ ความมุ่งมั่นและได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่าง เกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติของคุณวีระ“เรื่องที่สามารถแชร์กับผู้อ่านได้ก็ คือเรื่องที่ผมคิดว่ามีความสำคัญและเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในชีวิตผม
เรื่องแรก คือความสำคัญของวันเกิด ซึ่งคุณวีระ ยกตัวอย่างชัดเจนว่าวันเกิดเป็นวันที่แม่ทุกข์ทรมานมากที่สุด ดังนั้นวันเกิดเราควรทำทุกอย่างเพื่อแม่สำหรับส่วนตัวคุณวีระ หลาย 10 ปีที่ผ่านมา ไม่มีการจัดงานเลี้ยง แต่จะอดอาหารทั้งวันพาแม่ไปในที่ซึ่งแม่ต้องการโดยเฉพาะการทำบุญ เพราะเชื่อว่าการทำบุญไม่สามารถจะผ่านบุญไปให้คนอื่นได้ แต่สามารถพาคนนั้นไปทำบุญด้วยตัวเอง แล้วบุญจะไปเข้าที่เขาได้อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ เรื่องความกตัญญู ความสำนึกในบุญคุณพระคุณของคุณแม่
อีกเรื่องหนึ่งที่คุณวีระพูดกับผมคือ“ส.ส.พนิช ผมไม่จำเป็นที่ต้องเล่าอะไรให้คุณฟังเลย แต่ผมเห็นว่าคุณเป็นนักการเมืองที่มีอนาคต อยากจะให้รู้เรื่องอะไรหลายเรื่อง วันนี้เราเป็นเพื่อนกัน วันนี้เราผจญชะตากรรมร่วมกัน เราทำในสิ่งที่ดีร่วมกัน แต่เมื่อไรที่คุณทำทุจริต เมื่อไรที่คุณประพฤติมิชอบ คุณจะเจอผมแน่นอนและไม่ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันสนิทกันแค่ไหน ผมก็จะไม่ยอมคุณ และไม่ว่าคุณจะมาขอให้ใคร ผมก็จะไม่มีวันทำให้ถ้าเป็นเรื่องการทุจริต คอรัปชั่น” คุณวีระพูดด้วยสีหน้าที่เอาจริงเอาจังอยู่หลังมุ้ง
นายพนิช ยังได้กล่าวเรียกร้องในหนังสือดังกล่าวว่า ต้องทำทุกวิถีทางที่จะช่วยเหลือพาตัวนายวีระและนางสาวราตรี กลับมา โดยก่อนที่นายพนิช จะเดินทางกลับประเทศไทยได้มีโอกาสล่ำลานางสาวราตรีซึ่งก็ ได้บอกกับนายพนิช ว่าให้ช่วยบอกผู้ใหญ่เพื่อช่วยเหลือนำกลับบ้านด้วย
“ให้พวกเรา 7 คนเป็นนักโทษกลุ่มสุดท้ายที่ต้องติดคุกเพราะปัญหาความขัดแย้งในเรื่องพรหมแดน ช่วยกันทำวิกฤติครั้งนี้เป็นโอกาส มอบสันติภาพและอนาคตเพื่อคนรุ่นลูกรุ่นหลาน”นายพนิช ระบุในพ็อคเก็ตบุ๊ค