การชุมนุมของประชาชนผู้รักชาติทุกสาขาอาชีพ เพื่อรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ที่สะพานมัฆวานฯ ถนนราชดำเนิน ภายใต้การนำของคณะกรรมการรวมป้องแผ่นดิน ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาครบ 2 เดือนพอดีในวันนี้ ด้วยเหตุผลและข้อเรียกร้อง 3 ประการคือ
1. ขอให้รัฐบาลยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (MOU 2543)
2. เรียกร้องให้รัฐบาลไทยถอนตัวจากการเป็นภาคีสมาชิกของอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก
3. ให้รัฐบาลไทยดำเนินการกดดันขับไล่ทหารและชุมชนคนกัมพูชาที่ยึดครองดินแดนของประเทศไทยออกไปทั้งหมดเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และยึดเอาดินแดนของประเทศไทยกลับคืนมา
ข้อเรียกร้องทั้ง 3 ประการของกลุ่มประชาชนผู้รักชาติทั้งหลายดังกล่าว เป็นข้อเรียกร้องที่มีเหตุผลมีข้อเท็จจริง และหลักฐานสนับสนุนข้อเรียกร้องอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน โดยที่รัฐบาลมิอาจโต้แย้งได้ การที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งได้แสดงท่าทีและจุดยืนมาโดยตลอด ตั้งแต่เป็นฝ่ายค้านจนพลิกฐานะมาเป็นรัฐบาล ในช่วงต้นๆ ก็ยืนยันกับประชาชน และนักวิชาการที่ได้ออกมาต่อสู้เรียกร้องในเรื่องนี้ว่า ตนมีจุดยืนเช่นเดียวกับประชาชน และจะไม่ยอมให้ประเทศไทยเสียดินแดน หากทำเช่นนั้นไม่เพียงแต่ไม่สมควรเป็นนายกรัฐมนตรี ตนไม่สมควรที่จะอยู่ในประเทศไทยหรือไม่สมควรที่จะเป็นคนไทยอีกด้วย
เหตุการณ์จากวันนั้น คือเมื่อเดือนสิงหาคม 2553 ที่นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวต่อหน้ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่สนามกีฬาไทยญี่ปุ่น-ดินแดง ปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าด้วยเรื่องเขตแดน โดยตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณปราสาทพระวิหาร ได้พัฒนาไปในทางที่เป็นผลร้ายต่อประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มิได้ดำเนินการใดๆ อันเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจที่จะปกป้องเอกราชและอธิปไตยของชาติ ดังที่ได้เคยให้สัญญาไว้กับประชาชนแต่อย่างใด
ตรงกันข้าม พฤติกรรมของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ กับเดินหน้าไปในทิศทางที่แสดงออกถึงความพยายามอย่างเอาจริงเอาจังในการให้ความร่วมมือกับรัฐบาลกัมพูชา ภายใต้การนำของนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาอย่างผิดปกติ ผิดวิสัยของความเป็นผู้นำประเทศเอกราชที่มีแสนยานุภาพ และความเข้มแข็งในทุกๆ ด้านที่เหนือกว่าประเทศกัมพูชา พฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ และคณะรัฐมนตรีของเขาเป็นที่เคลือบแคลงสงสัย ไม่ไว้วางใจจากประชาชนเป็นอย่างยิ่ง
ผู้คนทั้งหลายที่ติดตามเรื่องราวข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ล้วนแต่ไม่เข้าใจต่อการดำเนินนโยบายในด้านการต่างประเทศของรัฐบาลในเรื่องนี้ ว่าทำไมจึงยอมเป็นเบี้ยล่าง และลูกไล่ให้แก่รัฐบาลของนายฮุนเซน ยอมโกหก ตะบัดสัตย์กับประชาชนในชาติของตน และกระทำให้ประเทศต้องเสื่อมเสียเกียรติยศและศักดิ์ศรี กระทั่งยอมให้ประเทศต้องเสียดินแดนและอธิปไตย โดยไม่ปรากฏเหตุผลและคำอธิบายใดๆ ที่จะตอบกับประชาชนคนในชาติทั้งหลายได้ว่า ภายใต้การดำเนินการดังกล่าวนี้ประเทศชาติและประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร ตอบแทนกลับคืนมา ซึ่งก็หาคำตอบและคำอธิบายใดๆ จากรัฐบาลไม่ได้เลย
กรณีทั้งหลายดังกล่าวนี้นอกจากทำให้ประชาชนไม่อาจไว้วางใจต่อรัฐบาลแล้ว ยังสร้างความโกรธแค้น ชิงชัง และความไม่พอใจอย่างรุนแรงของประชาชนต่อรัฐบาลอีกด้วย แม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาลชุดนี้จะปฏิเสธแก้ตัวว่าประเทศไทยมิได้เสียดินแดนด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ก็ไม่อาจหักล้างเหตุผลและความเชื่อของประชาชนไปได้ เพราะหากประเทศไทยไม่เสียดินแดนให้แก่กัมพูชาแล้ว ทำไมดินแดนไทยบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหาร และภูมะเขือจึงเต็มไปด้วยกองกำลังทหารและชุมชนของคนกัมพูชาและประชาชนไทยต้องหลบหนีภัยจากกระสุนปืนใหญ่ของทหารกัมพูชา โดยที่รัฐบาลไม่ยอมดำเนินการใดๆ
ในขณะที่ทางฝ่ายกัมพูชากลับประกาศต่อชาวโลกทั้งหลายว่า พื้นที่บริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารและภูมะเขือ ซึ่งรวมเนื้อที่ประมาณ 4.6 ตร.กม และพื้นที่พิพาทตลอดชายแดนไทย-กัมพูชา ทางการกัมพูชาต่างประกาศและยืนยันกับชาวโลกว่าเป็นของตนเองในขณะที่รัฐบาลไทย กระทรวงการต่างประเทศต่างหุบปากนิ่งเงียบไม่แสดงท่าทีที่คัดค้านหรือโต้แย้งอย่างเอาจริงเอาจังแต่อย่างใด
มิหนำซ้ำกรณี 7 คนไทยที่ถูกจับในดินแดนไทย ที่ถูกทางการกัมพูชานำตัวขึ้นศาลกัมพูชาไปดำเนินคดี รัฐบาลไทยตั้งแต่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศและรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ต่างออกมายืนยันเข้าข้างประเทศกัมพูชาโดยปรักปรำคนในชาติของตน ยัดเยียดความผิดและสร้างพยานหลักฐานให้เป็นประโยชน์กับประเทศอื่น โดยปราศจากสำนึกความรับผิดชอบ ไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่จะเกิดกับชาติบ้านเมืองของตน พฤติกรรมทั้งหลายของรัฐบาลดังที่กล่าวมา ถือได้ว่าเป็นการจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้เอกราชและธิปไตยของชาติต้องเสื่อมเสียและตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาอีกด้วย
ในการประชุมของรัฐสภาซึ่งเป็นการประชุมร่วมกันระหว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาที่จะมีขึ้นในวันที่ 25 มีนาคม 2554 มีวาระการประชุม เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในบันทึกผลการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา หรือ JBC จำนวน 3 ฉบับ ซึ่งเป็นการเสนอเข้าสู่การพิจารณาขอความเห็นชอบโดยรัฐบาลอย่างเร่งด่วน การให้ความเห็นชอบของรัฐสภาในเรื่องนี้จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง คือ 1. เท่ากับไทยยอมสละทิ้งผลงานการสำรวจและปักปันเขตแดนที่ได้กระทำเสร็จสิ้นไปแล้ว ระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส เมื่อ 103 ปี 2. เท่ากับไทยยอมรับว่าฝ่ายไทยเป็นฝ่ายรุกรานกัมพูชา
3. เท่ากับรับรองผลการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนที่กระทำขึ้นมาใหม่ระหว่างไทย-กัมพูชา ตาม MOU 2543 และ TOR 2546 ทั้งๆ ที่ดำเนินการมาโดยมิชอบ และไม่เคยรับฟังความเห็นของประชาชนเลย 4. เท่ากับไทยยอมรับการถอนทหารออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และบริเวณรอบปราสาทพระวิหาร 5. เท่ากับเป็นการให้สัตยาบันรับรอง MOU 2543 และการกระทำทั้งหลายของคณะกรรมการ JBC ทั้งๆ ที่ผิดขั้นตอน ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเป็นผลเสียหายต่อประเทศไทย
การประชุมรัฐสภาดังกล่าวนี้ จึงเท่ากับเป็นการประชุมที่ “ขายชาติ ขายอธิปไตยของประเทศ” เพื่อรับรองการเสียดินแดนของประเทศไทยอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร โดยทางการและโดยตัวแทนของประชาชนไทย ตามรัฐธรรมนูญ ประชาชนผู้รักชาติทั้งหลายต้องสามัคคีกัน หยุดการประชุมรัฐสภาที่ขายชาติ และสนับสนุนให้มีการจัดระเบียบประเทศไทยใหม่เท่านั้น เราจึงจะสามารถปกป้องแผ่นดินไทยเอาไว้ได้ หากปล่อยให้รัฐสภาและรัฐบาลดำเนินการไปโดยมิได้ฟังเสียงประชาชนแล้ว ปัญหาและความอัปยศที่เกิดขึ้นย่อมยาก และสายเกินกว่าที่จะแก้ไขได้
1. ขอให้รัฐบาลยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (MOU 2543)
2. เรียกร้องให้รัฐบาลไทยถอนตัวจากการเป็นภาคีสมาชิกของอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก
3. ให้รัฐบาลไทยดำเนินการกดดันขับไล่ทหารและชุมชนคนกัมพูชาที่ยึดครองดินแดนของประเทศไทยออกไปทั้งหมดเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และยึดเอาดินแดนของประเทศไทยกลับคืนมา
ข้อเรียกร้องทั้ง 3 ประการของกลุ่มประชาชนผู้รักชาติทั้งหลายดังกล่าว เป็นข้อเรียกร้องที่มีเหตุผลมีข้อเท็จจริง และหลักฐานสนับสนุนข้อเรียกร้องอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน โดยที่รัฐบาลมิอาจโต้แย้งได้ การที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งได้แสดงท่าทีและจุดยืนมาโดยตลอด ตั้งแต่เป็นฝ่ายค้านจนพลิกฐานะมาเป็นรัฐบาล ในช่วงต้นๆ ก็ยืนยันกับประชาชน และนักวิชาการที่ได้ออกมาต่อสู้เรียกร้องในเรื่องนี้ว่า ตนมีจุดยืนเช่นเดียวกับประชาชน และจะไม่ยอมให้ประเทศไทยเสียดินแดน หากทำเช่นนั้นไม่เพียงแต่ไม่สมควรเป็นนายกรัฐมนตรี ตนไม่สมควรที่จะอยู่ในประเทศไทยหรือไม่สมควรที่จะเป็นคนไทยอีกด้วย
เหตุการณ์จากวันนั้น คือเมื่อเดือนสิงหาคม 2553 ที่นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวต่อหน้ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่สนามกีฬาไทยญี่ปุ่น-ดินแดง ปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าด้วยเรื่องเขตแดน โดยตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณปราสาทพระวิหาร ได้พัฒนาไปในทางที่เป็นผลร้ายต่อประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มิได้ดำเนินการใดๆ อันเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจที่จะปกป้องเอกราชและอธิปไตยของชาติ ดังที่ได้เคยให้สัญญาไว้กับประชาชนแต่อย่างใด
ตรงกันข้าม พฤติกรรมของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ กับเดินหน้าไปในทิศทางที่แสดงออกถึงความพยายามอย่างเอาจริงเอาจังในการให้ความร่วมมือกับรัฐบาลกัมพูชา ภายใต้การนำของนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาอย่างผิดปกติ ผิดวิสัยของความเป็นผู้นำประเทศเอกราชที่มีแสนยานุภาพ และความเข้มแข็งในทุกๆ ด้านที่เหนือกว่าประเทศกัมพูชา พฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ และคณะรัฐมนตรีของเขาเป็นที่เคลือบแคลงสงสัย ไม่ไว้วางใจจากประชาชนเป็นอย่างยิ่ง
ผู้คนทั้งหลายที่ติดตามเรื่องราวข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ล้วนแต่ไม่เข้าใจต่อการดำเนินนโยบายในด้านการต่างประเทศของรัฐบาลในเรื่องนี้ ว่าทำไมจึงยอมเป็นเบี้ยล่าง และลูกไล่ให้แก่รัฐบาลของนายฮุนเซน ยอมโกหก ตะบัดสัตย์กับประชาชนในชาติของตน และกระทำให้ประเทศต้องเสื่อมเสียเกียรติยศและศักดิ์ศรี กระทั่งยอมให้ประเทศต้องเสียดินแดนและอธิปไตย โดยไม่ปรากฏเหตุผลและคำอธิบายใดๆ ที่จะตอบกับประชาชนคนในชาติทั้งหลายได้ว่า ภายใต้การดำเนินการดังกล่าวนี้ประเทศชาติและประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร ตอบแทนกลับคืนมา ซึ่งก็หาคำตอบและคำอธิบายใดๆ จากรัฐบาลไม่ได้เลย
กรณีทั้งหลายดังกล่าวนี้นอกจากทำให้ประชาชนไม่อาจไว้วางใจต่อรัฐบาลแล้ว ยังสร้างความโกรธแค้น ชิงชัง และความไม่พอใจอย่างรุนแรงของประชาชนต่อรัฐบาลอีกด้วย แม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาลชุดนี้จะปฏิเสธแก้ตัวว่าประเทศไทยมิได้เสียดินแดนด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ก็ไม่อาจหักล้างเหตุผลและความเชื่อของประชาชนไปได้ เพราะหากประเทศไทยไม่เสียดินแดนให้แก่กัมพูชาแล้ว ทำไมดินแดนไทยบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหาร และภูมะเขือจึงเต็มไปด้วยกองกำลังทหารและชุมชนของคนกัมพูชาและประชาชนไทยต้องหลบหนีภัยจากกระสุนปืนใหญ่ของทหารกัมพูชา โดยที่รัฐบาลไม่ยอมดำเนินการใดๆ
ในขณะที่ทางฝ่ายกัมพูชากลับประกาศต่อชาวโลกทั้งหลายว่า พื้นที่บริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารและภูมะเขือ ซึ่งรวมเนื้อที่ประมาณ 4.6 ตร.กม และพื้นที่พิพาทตลอดชายแดนไทย-กัมพูชา ทางการกัมพูชาต่างประกาศและยืนยันกับชาวโลกว่าเป็นของตนเองในขณะที่รัฐบาลไทย กระทรวงการต่างประเทศต่างหุบปากนิ่งเงียบไม่แสดงท่าทีที่คัดค้านหรือโต้แย้งอย่างเอาจริงเอาจังแต่อย่างใด
มิหนำซ้ำกรณี 7 คนไทยที่ถูกจับในดินแดนไทย ที่ถูกทางการกัมพูชานำตัวขึ้นศาลกัมพูชาไปดำเนินคดี รัฐบาลไทยตั้งแต่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศและรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ต่างออกมายืนยันเข้าข้างประเทศกัมพูชาโดยปรักปรำคนในชาติของตน ยัดเยียดความผิดและสร้างพยานหลักฐานให้เป็นประโยชน์กับประเทศอื่น โดยปราศจากสำนึกความรับผิดชอบ ไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่จะเกิดกับชาติบ้านเมืองของตน พฤติกรรมทั้งหลายของรัฐบาลดังที่กล่าวมา ถือได้ว่าเป็นการจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้เอกราชและธิปไตยของชาติต้องเสื่อมเสียและตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาอีกด้วย
ในการประชุมของรัฐสภาซึ่งเป็นการประชุมร่วมกันระหว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาที่จะมีขึ้นในวันที่ 25 มีนาคม 2554 มีวาระการประชุม เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในบันทึกผลการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา หรือ JBC จำนวน 3 ฉบับ ซึ่งเป็นการเสนอเข้าสู่การพิจารณาขอความเห็นชอบโดยรัฐบาลอย่างเร่งด่วน การให้ความเห็นชอบของรัฐสภาในเรื่องนี้จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง คือ 1. เท่ากับไทยยอมสละทิ้งผลงานการสำรวจและปักปันเขตแดนที่ได้กระทำเสร็จสิ้นไปแล้ว ระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส เมื่อ 103 ปี 2. เท่ากับไทยยอมรับว่าฝ่ายไทยเป็นฝ่ายรุกรานกัมพูชา
3. เท่ากับรับรองผลการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนที่กระทำขึ้นมาใหม่ระหว่างไทย-กัมพูชา ตาม MOU 2543 และ TOR 2546 ทั้งๆ ที่ดำเนินการมาโดยมิชอบ และไม่เคยรับฟังความเห็นของประชาชนเลย 4. เท่ากับไทยยอมรับการถอนทหารออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และบริเวณรอบปราสาทพระวิหาร 5. เท่ากับเป็นการให้สัตยาบันรับรอง MOU 2543 และการกระทำทั้งหลายของคณะกรรมการ JBC ทั้งๆ ที่ผิดขั้นตอน ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเป็นผลเสียหายต่อประเทศไทย
การประชุมรัฐสภาดังกล่าวนี้ จึงเท่ากับเป็นการประชุมที่ “ขายชาติ ขายอธิปไตยของประเทศ” เพื่อรับรองการเสียดินแดนของประเทศไทยอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร โดยทางการและโดยตัวแทนของประชาชนไทย ตามรัฐธรรมนูญ ประชาชนผู้รักชาติทั้งหลายต้องสามัคคีกัน หยุดการประชุมรัฐสภาที่ขายชาติ และสนับสนุนให้มีการจัดระเบียบประเทศไทยใหม่เท่านั้น เราจึงจะสามารถปกป้องแผ่นดินไทยเอาไว้ได้ หากปล่อยให้รัฐสภาและรัฐบาลดำเนินการไปโดยมิได้ฟังเสียงประชาชนแล้ว ปัญหาและความอัปยศที่เกิดขึ้นย่อมยาก และสายเกินกว่าที่จะแก้ไขได้