xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใครๆ ก็ไม่รัก“มาร์ค” วีรบุรุษ 2 เลน “ดีแต่พูด” !!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถึงแม้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเรื่องใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าปัญหา “ความไม่เอาไหนของรัฐบาลและผู้นำ” จะเป็นปัญหาที่สร้างความหนักอกหนักใจให้กับประชาชนคนไทยไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะเป็นที่ประจักษ์ชัด จนไม่รู้จะชัดยังไงแล้วว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นั้น "ดีแต่พูด" แต่บริหารประเทศผิดพลาดและ “ล้มเหลว” ในแทบทุกเรื่องและทุกด้านอย่างแท้จริง มีเพียงบางสิ่งเท่านั้นที่ดูเหมือนรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ทำได้ดีกว่าพูด นั่นคือ “ความขี้ขลาดตาขาว” และพฤติกรรมที่เป็นไปในลักษณะที่ “สมยอม” และ “เอื้อประโยชน์” ให้กับพวกพ้องและต่างชาติ โดยไม่ต้องไปค้นหาข้อมูลที่ไหนมาเผยแพร่และตีแผ่ เพราะแค่ที่เห็น "ตำตา" อยู่ทุกวันนี้ประชาชนก็ "เจ็บ" จนเกินพอแล้ว

เพราะถ้ารัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ “รับผิดชอบคำพูด” และ “รักษาสัญญา” ที่ให้ไว้กับประชาชน อย่างน้อยที่สุด ประเทศไทยก็คงไม่เกิดปัญหาและประชาชนก็คงจะไม่เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าขนาดนี้ แต่บังเอิญว่าตลอด 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ “ดีแต่พูด” และสิ่งที่ยืนยันการที่รัฐบาล “ดีแต่พูด” ไม่ต้องไปดูจากอะไร ดูจากการที่ประชาชนออกมาไล่ ด่าประจาน และสาปแช่งทุกครั้ง ทุกที่ และทุกเวลาที่นายอภิสิทธิ์ไปเกาะโพเดียม “แสดงวิสัยทัศน์” หรือพูดให้ชัดตามความเข้าใจของชาวบ้านในเวลานี้ ก็คือ “เล่นลิเก” ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะถูกชาวบ้านออกมาไล่ เขียนป้ายด่า และขว้างปาสิ่งของเข้าใส่ไม่เว้นแต่ละวัน

หรือถ้าจะลองไล่เลียงและสำรวจตรวจสอบผลงานที่ผ่านมา ก็จะพบกับความจริงอันน่าหดหู่ใจที่ว่า แทบทุกเรื่องที่พูดหรือสัญญาเอาไว้ล้วนแล้วแต่ “ปฏิบัติไม่ได้” และ “ไม่ได้ปฏิบัติ” ทั้งสิ้น เป็นเพียงแค่การ “เล่นลิ้น” ทางการเมือง สร้างวาทกรรมเพื่อเอาตัวรอดและหลอกลวงชาวบ้านไปวันๆ และการที่ประชาชนออกมาสะท้อนความคิดและความรู้สึกในทุกวันนี้ก็เป็นการพิสูจน์ “ความจริง” ได้เป็นอย่างดี โดยไม่อาจมีอะไรมาหักล้างได้ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ ไม่มีความสามารถในการบริหารประเทศ และ “ดีแต่พูด” จริงๆ

ทั้งนี้ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ก็ต้องเผชิญกับวิบากกรรมไม่เว้นแต่ละวัน เริ่มจากวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ขณะที่นายอภิสิทธิ์เดินทางมาร่วมงานฉลอง 100 ปี วันสตรีสากล พร้อมรับหนังสือประกาศเจตนารมณ์จากตัวแทนองค์กรสตรีฯ โดยก่อนที่จะขึ้นเกาะโพเดียมกล่าวบรรยายอย่างที่เคยทำเป็นกิจวัตร(เกือบ)ประจำวันในฐานะหัวหน้าของรัฐบาลและผู้นำประเทศตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ท่านนายกฯ ได้นั่งฟังเพลงที่กลุ่มสตรีได้ร่วมกันขับร้อง กระทั่งพอเพลงจบ “นางจิตรา คชเดช” ประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ และแนวร่วม นปช. ได้ตะโกนดังๆ ว่า “มือเปื้อนเลือด!” จากนั้นก็วาดรูปมือขนาดใหญ่ใส่กระดาษ A4 แล้วเขียนข้อความในกระดาษว่า “มือใคร เปื้อนเลือด” แล้วชูขึ้นเหนือศีรษะ

แต่ที่เด็ดที่สุดคือการที่นางจิตรา ชูกระดาษที่พิมพ์ข้อความว่า “ดีแต่พูด” ตลอดเวลาที่นายกฯ กล่าวบรรยาย เพราะเป็นข้อความที่ตรงกับความเป็นจริงที่สุด

เช่นเดียวกับที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างที่ นายอภิสิทธิ์ ไปเป็นประธานจัดงาน “เรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพปีที่ 3” ปรากฏว่ามีผู้หญิงอายุประมาณ 40 ปี สวมชุดสีกากี ได้จู่โจมเข้าหานายอภิสิทธิ์ พร้อมกับยกกระดาษข้อความ “กลับใจคิดใหม่ อย่าเป็นทรราช” นอกจากข้อความข้างต้นแล้ว หญิงคนดังกล่าวยังได้เขียนข้อความอีก 2 ข้อความ คือ “เก่งแต่แจก เก่งแต่พูด เก่งแต่ขายชาติ” และข้อความ “คบคนพาล เป็นคนเลวขายชาติ”

บรรยากาศที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์กำลังถูกบีบคั้นอย่างหนักจากทุกทิศทุกทาง รวมถึงการชุมนุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ต้องออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ ที่ปล่อยปละละเลยให้ทหารกัมพูชารุกล้ำพื้นที่เข้ามาสร้างฐานปฏิบัติการทางทหาร สร้างอาคารวัตถุ ทั้งวัดและชุมชนในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ของไทย

ซ้ำร้าย รัฐมนตรีหลายคนยังถือเป็นตัวการสำคัญในการ “ยัดเยียด” ข้อหาทำให้ “7 คนไทย” ต้องไปติดคุกที่กัมพูชา ขณะนี้ยังเหลืออีก 2 คน คือ นายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ยังติดคุกอยู่ที่นั่น โดยเฉพาะนายวีระ กำลังป่วยหนัก แต่กลับไม่ได้รับการช่วยเหลือเท่าที่ควรจากกระทรวงการต่างประเทศ รวมไปถึงคนในรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง แม้ว่าจะมีการยืนยันด้วยคำพูดมาตลอดว่า “ช่วยเต็มที่” แต่การปฏิบัติที่ออกมานั้นเป็นไปในทางตรงกันข้าม

นอกจากนี้ ยังมีการชุมนุมของชาวนาหลายจังหวัดที่ยังปักหลักชุมนุมประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มราคาประกันให้สูงขึ้นอีก โดยอ้างว่าต้นทุนสูงขึ้น พร้อมทั้งให้ขยายจำนวนโควตาการขายข้าวที่แต่ละครอบครัวได้รับมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังมีการระบุว่าการขายข้าวที่ผ่านมาไม่ได้เป็นไปตาม “ราคาอ้างอิง” ที่กำหนด และยังถูกกดราคาเหมือนเดิม โดยล่าสุดมีการปิดถนนเพื่อกดดันให้รัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯ อภิสิทธิ์ ลงมาช่วยเหลือตามข้อเรียกร้อง

ทั้งนี้, กรณีราคาข้าวตกต่ำจนทำให้ชาวนาออกมาประท้วงกันอยู่ในเวลานี้ ก็เป็นการสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ได้เป็นตามราคาคุยของนายอภิสิทธิ์ ที่มักจะอวดโอ่ผลงานในโครงการ “ประกันราคาสินค้าเกษตรฯ” เช่น ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ว่าประสบความสำเร็จ ทำให้ชาวนาและเกษตรกรไม่ต้องขาดทุนเหมือนในอดีต ซึ่งหากจำกันได้ในการโฆษณาหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังโปรโมตเป็นเรื่องหลัก แต่เมื่อมีชาวนาออกมาประท้วงกันมากมายขนาดนี้ก็ย่อมสะท้อนให้เห็นความจริงแล้วว่ารัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ "ดีแต่พูด" จริงๆ!

และอีกหนึ่งปัญหาที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ เพราะเป็นปัญหาที่แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างชัดเจนของรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ นั่นคือ ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่โหดเหี้ยมทารุณ และรุนแรงมากขึ้นทุกวันจนน่ากลัว เมื่อเปรียบเทียบกับในอดีตที่พรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ ขณะที่เป็นฝ่ายค้านเคยวิจารณ์คนอื่นเอาไว้...

ประจักษ์พยานแสดงความไม่เอาไหนของรัฐบาลนี้ได้เป็นอย่างดีก็คือการที่ สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ม.อัสสัมชัญ ได้เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่องประชาธิปไตยกับการชุมนุมประท้วงทางการเมืองกับการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนของตำรวจ ซึ่งมีข้อสรุปที่น่าสนใจ กล่าวคือเมื่อถามถึงสาเหตุของการชุมนุมประท้วงของกลุ่มการเมืองต่างๆ พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 72.1 ระบุว่าเป็นเพราะความผิดพลาดในการทำงานของรัฐบาล

ขณะที่ ล่าสุด, “วีรบุรุษ 2 เลน” ก็ก่อเวรก่อกรรมกับประชาชนขึ้นมาอีก โดยครั้งนี้เป็นความเดือดร้อนของประชาชนในซอยสวัสดี ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของท่านนายกรัฐมนตรี คนซอยเดียวกันแท้ๆ เนื่องจาก ศอ.รส. ประกาศห้ามใช้ถนนรอบบ้านนายกฯ อภิสิทธิ์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม บอกตามตรงว่า ประกาศดังกล่าวไม่อาจมองเป็นอื่นไปได้ นอกจากเป็นอาการขี้ขลาดตาขาวบวกกับความเห็นแก่ตัวของนายอภิสิทธิ์ “โมฆบุรุษ” ที่กำลังทำตัวเป็น “โคตร อภิมหา อภิสิทธิ์” ที่ลุแก่อำนาจและความขี้ขลาดตาขาวอย่างสมบูรณ์แบบ

เพราะถึงแม้จะเข้าใจดีว่าการทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรีจะต้องมีวิธีการที่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก แต่ถามว่ามันถูกต้องแล้วหรือที่ทำให้นายกฯ ปลอดภัย แล้วปล่อยให้คนอื่นเขาเดือดร้อน หรือถ้าการที่ถูกแม่ค้าหมูปิ้งบุกประชิดถึงตัว โดนคนแก่ตะโกนไล่ แล้วมีคนไปยกป้ายด่า มันน่ากลัวมากจนต้องให้ ศอ.รส. ออกมาประกาศปิดถนนกันขนาดนี้ แทนที่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อน ทำไมนายกฯ ไม่ลองคิดย้ายออกไปจากซอยนี้ บ้านพิษณุโลกก็มี หรือที่ราบ 11 เขาก็ยินดีต้อนรับอยู่ไม่ใช่หรือ

ความเดือดร้อนที่เห็นชัดเจนคือคำพูดที่ออกมาจากหัวใจของ น.ส.ภัทรพร เร่งงาน อายุ 25 ปี พนักงานขายไวน์ ร้าน Wine Loft ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 31 ก่อนถึงบ้านนายกรัฐมนตรีเพียง 200 เมตร ที่บอกว่า ทางร้านเปิดให้บริการขายไวน์ และอาหารมานาน 3 ปี ที่ผ่านมามีลูกค้าต่างชาติแห่มาใช้บริการกันจนแน่นทุกวัน แต่ระยะหลังตั้งแต่เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง และมีกำลังตำรวจทหารมาประจำจุดใกล้บ้านนายกรัฐมนตรี ลูกค้าที่ร้านก็หดหาย รายได้ค่าคอมมิชชั่นจากการขายสินค้าก็ลดลง เหลือเพียงแค่เงินเดือนประทังชีวิต ทุกวันนี้ขนาดจัดโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 ยังไม่ค่อยมีลูกค้าแวะมาเลย หากปิดถนนรอบๆ บ้านนายกรัฐมนตรีลูกค้าคงหนีหมด ร้านก็คงต้องปิดกิจการ พนักงานก็ต้องตกงานกันระนาว

เช่นเดียวกับนายสมัย ชินภาค อายุ 46 ปี รปภ.ของ 31 RESIDENCE ซึ่งเปิดให้บริการเช่าห้องชุดสุดหรูในซอยเดียวกัน เปิดเผยว่า เจ้าของอาคารเปิดให้บริการมานาน 2 ปีแล้ว โดยทางเรามีห้องชุดทั้งสิ้น 40 ห้อง บนอาคารสูง 17 ชั้น แต่ปัจจุบันมีลูกค้ามาขอเช่าแค่เพียง 1 ห้อง เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ ที่เดินทางมาขอดูห้องต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การสัญจร เข้า-ออก จากซอยลำบาก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการรักษาความปลอดภัยรอบๆ บ้านนายกรัฐมนตรี จึงไม่ตัดสินใจเซ็นสัญญาเช่า และเดินทางไปเป็นลูกค้าที่อื่น

ถึงตรงนี้ คงไม่มีอะไรกล่าวนอกจากบอกว่า คำว่า “เสียสละ” ท่านนายกฯ สะกดเป็นบ้างไหม หรือว่าผู้ดีอีตันเขา “ดีแต่พูด” อย่างเดียว!


กำลังโหลดความคิดเห็น