xs
xsm
sm
md
lg

สารพัดม็อบ-สารพัดปัญหารุมเร้า บีบ “มาร์ค” เข้าตาจน!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

สังเกตหรือไม่ว่า นอกเหนือจากชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มพี่น้องคนไทยหัวใจรักชาติที่ปักหลักชุมนุมยืดเยื้อที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์บริเวณถนนราชดำเนินนอก และเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ถนนพิษณุโลก ยังมีอีกสารพัดกลุ่มที่ยังปักหลักชุมนุมประท้วงเรียกร้อง ทวงสัญญา ฯลฯ กระจายอยู่รอบทิศทั้งในกรุงเทพมหานคร และตามต่างจังหวัดอีกหลายแห่ง

ทุกกลุ่มล้วนพุ่งเป้ามาที่รัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั้งสิ้น
 
นี่ยังไม่นับกรณีที่มีชาวบ้านตามไปด่า ตามไปต่อว่าตามสถานที่ต่างๆ ที่นายกรัฐมนตรีจะไปเกาะโพเดียมปราศรัยแสดงวิสัยทัศน์แบบวันต่อวัน หรือแบบทุกที่ทุกเวลาก็มี

สารพัดม็อบ สารพัดการชุมนุม และปฏิกิริยาต่างๆ ดังกล่าวล้วนสะท้อนให้เห็นแล้วว่า การบริหารจัดการของรัฐบาลล้วนมีปัญหา เพราะไม่สามารถสนองความต้องการ สร้างความพึงพอใจให้กับชาวบ้านทั่วไปได้

ที่สำคัญบรรยากาศที่เกิดขึ้นมันก็สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีกำลังถูกบีบคั้นเข้ามาเรื่อยๆ และกำลังจะ “นับถอยหลัง” เข้าไปทุกทีแล้ว

สภาพเวลานี้ของนายกฯ อภิสิทธิ์ ไม่ต่างจาก “โมฆบุรุษ” ที่แม้ว่าจะพูดจาสวยหรูอย่างไรก็เริ่มมีคนเชื่อถือน้อยลงทุกวัน เพราะความจริงที่ประจักษ์แก่สายตาชาวบ้านให้รู้ดีว่า เขาล้มเหลวในทุกเรื่อง ที่ผ่านมาเป็นแค่การ “สร้างภาพ” ฉาบฉวยไปวันๆ

ล่าสุดต้องมีการเพิ่มหน่วยรักษาความปลอดภัยขึ้นอีกเท่าตัว เพราะมีคนตามไล่ด่าอยู่ทุกวัน วันละหลายรอบ ซึ่งทั้งคำพูดและป้ายประจานที่โดนใจตรงจุดมากที่สุดก็คือ “ดีแต่พูด” เพราะถือว่าสื่อสารเปรียบเทียบได้เหมาะเจาะจริงๆ

เพราะถ้าลองสำรวจคำรวจกับผลงานที่ออกมาล้วนตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง แทบจะทุกเรื่องที่พูดหรือสัญญาเอาไว้ล้วนแล้วแต่ล้มเหลว ปฏิบัติไม่ได้ หรือไม่ได้ทำทั้งสิ้น เป็นเพียงแค่การใช้วาทศิลป์สวยหรูทั้งสิ้น แต่สิ่งที่สะท้อนกลับมาในเวลานี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารของเขาอย่างชัดเจน

หากพิจารณาจากการชุมนุมต่างๆเริ่มจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ต้องออกมาชุมนุมขับไล่ นายกฯ อภิสิทธิ์ และรัฐบาล เนื่องจากทำให้เสียดินแดน ไม่ได้ทำตามสัญญาเอาไว้ นั่นคือปล่อยปละละเลยให้ทหารกัมพูชารุกล้ำพื้นที่เข้ามาสร้างฐานปฏิบัติการทางทหาร สร้างอาคารวัตถุ ทั้งวัดและชุมชนในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ของไทย ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลของเขาไม่เคยประกาศหรือออกแถลงการณ์ตอบโต้กัมพูชาโดยยืนยันว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นของไทย อย่างมากระบุเพียงแค่ว่าเป็น “พื้นที่ทับซ้อน” เท่านั้น

นอกจากนี้ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีคนสำคัญหลายคนยังถือว่าเป็นตัวการสำคัญในการ “ยัดเยียด” ข้อหาทำให้ “7 คนไทย” ต้องไปติดคุกที่กัมพูชา ขณะนี้ยังเหลืออีก 2 คน คือ วีระ สมความคิด และ ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ยังติดคุกอยู่ที่นั่น โดยเฉพาะ คนแรกคือ วีระ กำลังป่วยหนัก แต่กลับไม่ได้รับการช่วยเหลือเท่าที่ควรจากกระทรวงการต่างประเทศ รวมไปถึงคนในรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง แม้ว่าจะมีการยืนยันด้วยคำพูดมาตลอดว่า “ช่วยเต็มที่” แต่การปฏิบัติที่ออกมาในความเป็นจริงแล้วตรงกันข้าม

จนทำให้ถูกมองว่า ความต้องการที่แท้จริงของรัฐบาลในเวลานี้ก็คือ ต้องการให้ วีระ สมความคิดติดคุกอยู่ที่นั่น แต่ขณะเดียวกัน ในเมื่อเหนือความคาดหมายก็คือ วีระเกิดมีอาการป่วยขึ้นมา เพราะถ้า “เกิดอะไรขึ้น” คนที่ต้องรับผิดชอบก็คือ นายกฯ อภิสิทธิ์ รวมไปถึงคนในรัฐบาลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ เป็นต้น เพราะคนพวกนี้ไม่เคยออกมาปกป้องคนไทยดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น ตรงกันข้ามกลับด่วนสรุปแบบมีพิรุธ โดยไม่รอการตรวจสอบให้แน่ชัดเสียก่อนว่าพื้นที่ที่ถูกจับกุมเป็นดินแดนของกัมพูชา

นอกจากนี้ ในระหว่างการชุมนุมของพันธมิตรฯ ก็ได้เปิดโปงให้เห็นถึงความล้มเหลว การไร้อำนาจเป็นเพียงแค่ “หุ่นเชิด” ของกลุ่มการเมือง เป็นเครื่องมือสำหรับการทุจริตจากงบประมาณในสารพัดโครงการ ซึ่งมีการชี้ให้เห็นอีกว่ารัฐบาลที่นำโดย นายกฯ อภิสิทธิ์ เป็นรัฐบาลที่ “โคตรโกง” ไม่ต่างจากยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร หรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำไป

ความล้มเหลวในการบริหารงานได้สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าในเวลานี้ก็คือ วิกฤติ “น้ำมันปาล์ม” เพราะถือว่าเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ที่คนไทยต้องเข้าคิวรอซื้อน้ำมันปาล์ม หลังจากที่ในยุคของรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เมื่อหลายสิบปีก่อนที่คนไทยต้องเข้าคิวเพื่อรอซื้อข้าวสารไป “กรอกหม้อ” ขณะเดียวกันยังมีเรื่องข้าวของแพงตามมา สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารอย่างสิ้นเชิง

นอกจากนี้ที่น่าจับตาก็คือ การชุมนุมของชาวนาหลายจังหวัดที่ยังปักหลักชุมนุมประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มราคาประกันให้สูงขึ้นอีก โดยอ้างว่าต้นทุนสูงขึ้น พร้อมทั้งให้ขยายจำนวนโควตาการขายข้าวที่แต่ละครอบครัวได้รับมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังมีการระบุว่าการขายข้าวที่ผ่านมาก็ไม่ได้เป็นไปตาม “ราคาอ้างอิง” ที่กำหนด ยังถูกกดราคาเหมือนเดิม

ที่ผ่านมากลุ่มชาวนาทั้งในภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางหลายจังหวัดได้เคยเรียกร้องต่อรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่องถึง 3-4 ครั้ง ล่าสุดมีการปิดถนนเพื่อกดดันให้ รัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ ลงมาช่วยเหลือตามข้อเรียกร้อง

อย่างไรก็ดี แม้ต้องยอมรับว่าการชุมนุมของชาวนาดังกล่าวมีเรื่องการเมืองเข้ามาผสมโรง เพราะเป็นพื้นที่ของพรรคฝ่ายค้าน คือ พรรคเพื่อไทย ปะปนอยู่ด้วย แต่รับรองว่าสาเหตุที่ต้องออกมาชุมนุมของชาวนา มีสาเหตุสำคัญมาจากปัญหาราคาข้าวตกต่ำอย่างแน่นอน

กรณีราคาข้าวตกต่ำจนทำให้ชาวนาออกมาประท้วงกันอยู่ในเวลานี้ ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มได้เป็นตามราคาคุยของ นายกฯอภิสิทธิ์ ที่มักจะอวดโอ่ผลงานในโครงการ “ประกันราคาสินค้าเกษตรฯ” เช่น ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ว่าประสบความสำเร็จ ทำให้ชาวนาและเกษตรกรไม่ต้องขาดทุนเหมือนในอดีต ซึ่งหากจำกันได้ในการโฆษณาหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังโปรโมตเป็นเรื่องหลัก

แต่เมื่อมีชาวนาดาหน้าออกมาประท้วงกันมากมายแบบนี้มันก็ย่อมสะท้อนให้เห็นความจริงแล้วว่าผลงานที่ออกมาสำเร็จมากน้อยแค่ไหน

ปัญหาที่แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างชัดเจนอีกอย่างหนึ่งที่ถือเป็นเรื่องใหญ่และไม่อาจมองข้ามไปได้เป็นอันขาดก็คือ ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ ที่โหดเหี้ยม รุนแรงมากขึ้นจนน่ากลัว เมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต ที่พรรคประชาธิปัตย์ และ อภิสิทธิ์ ขณะที่เป็นฝ่ายค้านเคยวิจารณ์คนอื่นเอาไว้

สารพัดม็อบ สารพัดปัญหาดังกล่าวเหมือนกับ “คีมเหล็ก” กำลังบีบคั้น รัฐบาล และนายกฯ อภิสิทธิ์ เข้ามาจนแทบไม่มีทางดิ้นหนีออกไปได้ ขณะเดียวกันยังเป็นการสะท้อนความล้มเหลวออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน เป็นการอธิบายให้เห็นภาพว่า “ดีแต่พูด” ได้อย่างเข้าใจที่สุดอีกด้วย!!
กำลังโหลดความคิดเห็น