ไม่น่าเชื่อว่าคนเราพอคนเห็น “ธาตุแท้” รู้ความจริงว่าเป็น “ของปลอม” จะคิดจะทำอะไรก็มักไม่สำเร็จ หรือยิ่งทำก็เหมือนกับการประจานตัวเองให้ชาวบ้านได้เห็นว่าเป็นคนอย่างไร
กรณีที่เกิดขึ้นมันช่างไม่ต่างจากการบริหารของรัฐบาลที่นำโดย นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีผิด เพราะไม่ว่าจะดำเนินการเรื่องอะไรก็ล้มเหลวสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านไปทุกเรื่อง
อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาอาจจะไม่รู้สึก เพราะมีการ “สร้างภาพ” กลบเกลื่อนยังใช้ได้ผล อีกทั้งด้วยภาพลักษณ์ที่ดี หน้าตาดี อาจเป็นต้นทุนทางสังคมเหนือกว่านักการเมืองคนอื่นๆ ทำให้ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นจึงถูกมองข้ามไปได้เสียสนิท
แต่นาทีนี้ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นหลายเรื่อง มันเป็นเรื่องใกล้ตัวพิสูจน์และสัมผัสกันได้ง่าย ที่สำคัญประดังกันเข้ามาพร้อมๆกัน อีกทั้งยังมีคนที่ “รู้ทัน” และปักหลักเปิดโปงรายวันแบบเม็ดต่อเม็ด มีหลักฐานทั้งคำพูด เอกสารออกมาให้เห็นพร้อมสรรพ ยืนยันว่าพูดเวลาไหน โกหกตอนไหน หรือแม้กระทั่งบางครั้งยังชี้ให้เห็นว่า นายกฯคนนี้ยังมี “วิธีพิเศษ” นั่นคือ ใช้คำพูดที่ลื่นไหล ไม่ติดขัด แต่เจตนาให้ฟังดูแล้ว “ไม่เข้าใจ” กลายเป็นเรื่องซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา อธิบายเรื่องพิกัดแผนที่ พื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร จนชาวบ้านที่ไม่ได้ติดตามมาตั้งต้นอาจจะงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก แล้วในที่สุดก็หลงเชื่อตามคำยืนยันว่า “ไม่ให้เสียดินแดน” ด้วยคำพูดที่ฟังดูแล้วรื่นหูฟังดูแล้วเคลิบเคลิ้ม
แต่อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นในเมื่อปัญหาทุกอย่างมันสุกงอมและประดังเข้ามาพร้อมกันประกอบกับการถูกปักหลักแฉความจริงรายวัน มันก็ทำให้ นายกฯ อภิสิทธิ์ พร้อมคณะไปไม่เป็นและดิ้นไม่หลุด เริ่มเข้าสู่ภาวะขาลงและ “หมดสภาพ” จนถึงบัดนี้
หากจะให้เห็นภาพก็ต้องยกตัวอย่างให้เห็นทีละเรื่อง ว่าเขาโกหกอย่างไร สร้างภาพอย่างไร และล้มเหลวอย่างไร
เริ่มจากตอนที่เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ก็ประกาศ “กฎเหล็ก 9 ข้อ” เพื่อป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น สร้างธรรมาภิบาลในการบริหารราชการ แต่ผลที่ออกมาก็คือรัฐบาลภายใต้การนำของเขาเต็มไปด้วยทุจริตฉ้อฉล แม้ว่าเขายืนยันว่า “ไม่โกง” แต่คนรอบข้างมีแต่เรื่องอื้อฉาวและถูกชี้หน้ากล่าวหาว่าโกง อย่างนี้หมายความว่าอย่างไร ซึ่งกรณีการทุจริตนี้ไม่จำเป็นต้องมากล่าวซ้ำให้รำคาญ เพราะเชื่อว่าสังคมได้รับรู้กันอยู่แล้วว่ามีเรื่องใดบ้าง
ความไร้ประสิทธิภาพ ทำลายศักดิ์ศรีของชาติและของกองทัพ เนื่องจากไม่อาจรักษาอธิปไตย กรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ถือว่า รัฐบาลและฝ่ายความมั่นของรัฐบาลที่นำโดย อภิสิทธิ์ ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ปล่อยให้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชารุกราน และรุกล้ำดินแดนเข้ามาโดยที่ฝ่ายไทยไม่สามารถผลักดันออกไปได้เลย มิหนำซ้ำยังนิ่งเฉย เหมือนกับหลิ่วตาให้กับฝ่ายตรงข้ามเข้ามาปักหลักอย่างถาวรเหมือนกับ “มีผลประโยชน์ร่วมกัน” ระหว่างคนในรัฐบาลและผู้นำกองทัพบางคน
สังเกตได้จากกรณี 7 คนไทยถูกลักพาตัวในเขตแดนไทย แต่ฝ่ายความมั่นคงที่นำโดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ช่วยยืนยันให้เสร็จสรรพว่า “ล้ำแดน” จนนำไปสู่การอ้างอิงในศาลของฝ่ายกัมพูชาทำให้คนไทยเหล่านั้นต้องถูกจำคุกอย่างน่าอัปยศที่สุด ซึ่งในกรณีนี้นายฯอภิสิทธิ์ ก็เห็นคล้อยตามในตอนหลัง
ล่าสุดเมื่อหมดปัญญาช่วยเหลือคนไทยที่ยังถูกขังคุกอยู่ที่กัมพูชาสองคนคือ วีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ก็ออกมากลบเกลื่อนว่า เป็นเพราะความไม่มีเอกภาพของทีมทนายความ และต้องเคารพการตัดสินของครอบครัวของสองคนไทยดังกล่าวว่าจะตัดสินใจอย่างไร จะขออุทธรณ์หรือขอพระราชทานอภัยโทษ ทั้งที่เป็นเรื่องตอนปลายเหตุแล้ว เพราะก่อนหน้านี้หากผู้นำไทยมีความเข้มแข็งและมีอำนาจแท้จริงยืนยันถึงอธิปไตยเขตแดนว่าเป็นของไทย และยืนกรานไม่ให้อยู่ในอำนาจของศาลกัมพูชาต้องปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข เรื่องก็ไม่ปลายบานปลายจนถึงวันนี้
ให้เห็นชัดขึ้นไปอีกเพื่อชี้ให้เห็นถึงความอ่อนแอ ไร้เอกภาพภายในรัฐบาล ก็เห็นจะได้แก่กรณีกระทรวงการต่างประเทศออกแถลงการณ์ระบุในข้อ 3 ให้กัมพูชารื้อถอนวัดแก้วคีรีสะวาระและปลดธงชาติออกไป แต่ไม่ทันขาดคำ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยกับรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงคนเดียวกันกลับออกมาเห็นแย้งจนสับสนและกลายเป็นช่องโหว่ให้กัมพูชาได้เปรียบ
นอกจากนี้เมื่อปัญหาบานปลายจนเกิดการปะทะกันทั้งสองฝ่าย มีทหารไทยและราษฎรเสียชีวิต บาดเจ็บ บ้านเรือนได้รับความเสียหายไม่น้อย แทนที่จะฉวยโอกาสผลักดันชุมชนและที่มั่นทางทหารของฝ่ายกัมพูชาในคราวเดียวกัน กลับทำได้แค่อ้างว่าต้องป้องกันตัวเอง นั่นคือเมื่อยิงมา สองนัดก็ต้องยิงไปแค่สองนัดเท่ากัน ห้ามเกินไปกว่านั้น ยังดีที่ไม่บอกว่าหากทหารไทยตายสองนายฝ่ายโน้นก็ต้องทำให้ตายแค่สองนายเหมือนกัน
กรณีแอบอ้างผลดีของบันทึกความเข้าใจเรื่องการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชา ปี 2543 (เอ็มโอยู 43) ทั้งในเรื่องการเจรจาทวิภาคี รวมไปถึงการป้องกันไม่ให้ประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซง แต่มาวันนี้ทุกอย่างกลายเป็นตรงกันข้าม นั่นคือ ผู้นำกัมพูชา ฮุนเซน ได้ออกมาย้ำอีกว่าไม่มีวันที่กัมพูชาจะเจรจากับไทยอีกแล้วยกเว้นจะมีประเทศที่สามเข้าร่วม หรือกรณีที่เคยย้ำว่าจะไม่ให้ตัวแทนยูเนสโกไปสำรวจปราสาทพระวิหาร ล่าสุดผู้แทนพิเศษของยูเนสโกเพิ่งประกาศว่า จะส่งเจ้าหน้าที่ไปสำรวจและซ่อมแซมตัวปราสาทที่ได้รับความเสียหายโดยเร็วที่สุด
การแก้ปัญหาชายแดนใต้ที่ล้มเหลว ก่อนหน้านี้เคยตำหนิรัฐบาลภายใต้การนำของ ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นผู้จุดไฟให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในยุคของ อภิสิทธิ์ กลับดับ “ไฟไม่เป็น” มิหนำซ้ำมีการโกหกว่าไฟดับแล้ว หรือค่อยๆมอดดับลงแล้ว แต่เมื่อปิดไม่มิดมันก็เปิดโปงให้เห็นด้วยตัวของมันเอง เพราะสถานการณ์ความรุนแรงน่ากลัวกว่าเดิมหลายเท่า สมัยนี้ไม่ใช่แค่ปล้นขโมยอาวุธในค่ายทหารเท่านั้น แต่เป็นการปล้น-ฆ่าทหารถึงในค่ายทหารที่อยู่ริมถนนอย่างอุกอาจที่สุด
เคยประกาศว่าจะสร้างความปรองดองในชาติจนนำไปสู่การประกันตัวของ “หัวโจกแดง” แล้วเป็นไงบ้างตอนนี้คนพวกนั้นมันคิดจะญาติดีหรือไม่ และถ้าไม่ยุบสภาเสียก่อนให้รอดูเหตุการณ์ในเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคมว่าจะมี สถิติ “เผา 3 ปีซ้อน” หรือเปล่า
ล่าสุด ที่กำลังถูกชาวบ้านรุมด่ากันทั่วประเทศกันก็คือ “วิกฤติน้ำมันปาล์ม” และข้าวของแพง ซึ่งคงไม่ต้องอธิบายกันมาก เพราะเชื่อว่าทุกคนคงจะซึมซับในความรู้สึกกันดีอยู่แล้วว่าการแก้ปัญหามัน “ห่วยแตก” แค่ไหน และรู้กันอยู่แล้วว่ามีใครและพรรคใดบ้างในรัฐบาลที่ “อำมหิต” กักตุน และกินโควตานำเข้าน้ำมันปาล์ม เพื่อเป็นทุนสำหรับใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น แม้ว่าจะมีคำยืนยันว่าจะมีน้ำมันพืชฝาสีฟ้า สีชมพูออกมาไม่ขาดแคลน ขายไม่อั้น แต่ในความเป็นจริงก็ยังมีชาวบ้านเข้าแถวซื้อจนแทบเหยียบกันตายเช่นเดิม
ขณะที่วิธีการแก้ไขก็คือสั่งให้ตำรวจไล่จับกุมแม่ค้ารายย่อยประเภท “ปลาซิวปลาสร้อย” ร้านโชห่วย ที่ซื้อมาขายต่อคนละลังสองลังเท่านั้น ขณะที่รายใหญ่กลับ “บ้อท่า” ทำอะไรไม่ได้ เหมือนกับส่งเสริมการขายให้ “ห้างขนาดใหญ่” ขณะที่ร้านเล็กของคนไทยที่อยู่แถวปากซอย เป็นทางเลือกที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยต้องตายสนิท นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆกำลังตามมาติดๆนั่นคือ วิกฤติน้ำตาลทราย ฯลฯ
สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นตัวอย่างที่เห็นกันได้ชัด และสัมผัสกันให้เห็นจริง เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ ไร้ประสิทธิภาพ บริหารจัดการไม่เป็น ดีแต่สร้างภาพกลบเกลื่อน และที่สำคัญทุกปัญหาที่ประดังเข้ามาชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลว-หมดสภาพดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นอีกว่าเขาไร้อำนาจสั่งใครไม่ได้ เป็นแค่ “หุ่นเชิด” ของ “กลุ่มอำนาจ”เท่านั้น
อยู่ต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะรังแต่สร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองมากขึ้นทุกวัน !!