xs
xsm
sm
md
lg

ศึกซักฟอกชี้ชะตา ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย ใครจะกลับมากินรวบ!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไม่น่าผิดไปจากความเป็นจริงมากนักกับผลสำรวจของ “เอแบคโพลล์” เมื่อปลายเดือนที่แล้ว โดยสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไปว่าจะเต็มไปด้วยความรุนแรง ทุจริต และจากนั้นก็เข้ามาถอนทุนคืนกันอย่างมโหฬาร

หากระบุผลสำรวจออกมาเป็นตัวเลขในแต่ละหัวข้อก็พอมองเห็นอนาคตได้คร่าวๆ ดังนี้ ร้อยละ 63.9 เชื่อว่าเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีความดุเดือดรุนแรง ร้อยละ 61.8 เชื่อว่าจะมีการถอนทุนคืน เพื่อใช้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป และที่สำคัญร้อยละ 75.3 เห็นว่าทุกพรรคมีการซื้อเสียง

นั่นเป็นผลสำรวจที่สอบถามจากความเห็นชาวบ้านที่คลุกคลีกับการเลือกตั้ง ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะผิดเพี้ยนไปจากความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่และความจริงที่จะเกิดขึ้นภายหน้าอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ดี เพื่อให้เห็นบรรยากาศต่อเนื่อง เนื่องจากใกล้เข้าสู่การนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งใหญ่เต็มทีแล้ว ก็ต้องมาพิจารณาและจับตาในประเด็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 9-13 มีนาคม ซึ่งพรรคฝ่ายค้านหลักคือพรรคเพื่อไทยได้ยื่นซักฟอกรัฐมนตรีจำนวน 10 คน และยื่นถอดถอนจำนวน 9 คน หากพิจารณาเป็นพรรคการเมืองก็จะพุ่งเป้าไปที่พรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคภูมิใจไทยเป็นหลัก ขณะที่รัฐมนตรีเป็นรายบุคคลก็แน่นอนว่าจะต้องเป็นระดับหัวขบวน เริ่มจาก นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พรทิวา นาคาศัย เป็นต้น

หากพิจารณาในมุมของฝ่ายค้านจะเห็นชัดเจนว่าต้องการขย่มพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงในการแย่งกันเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่พรรคภูมิใจไทย ถือว่าเป็นคู่แข่งในบางพื้นที่เป้าหมายของพรรคเพื่อไทยโดยเฉพาะในภาคอีสาน และภาคเหนือ ทำให้สรุปได้ทันทีว่านี่คือการซักฟอกที่หวังผลต่อการเลือกตั้งโดยตรง

แต่อีกมุมหนึ่งการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเที่ยวนี้ก็ต้องบอกว่า “ตรงเป้า” บรรดารายชื่อรัฐมนตรีแต่ละคนล้วนแล้วแต่ฝีมือ “ห่วยแตก” สร้างความ “ฉิบหาย” ให้บ้านเมือง ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสเสียด้วย ทั้งในเรื่องการทุจริต ปัญหาข้าวยากหมากแพง ที่ประดังเข้ามาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ที่น่าจับตาตามมาก็คือ พรรคเพื่อไทยได้เปลี่ยนหัวหน้าขุนพลใหม่มาเป็น มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ซึ่งถ้ามองอีกมุมมันก็น่าสนใจ โดยเฉพาะหากเจาะจงในเรื่องปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง และเรื่องทุจริต เน้นในเรื่องข้อมูล

ต้องยอมรับว่าการบริหารประเทศของรัฐบาลที่นำโดยนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน มีการหัก “ค่าหัวคิว” ซึ่งผลจากการวิจัยสำรวจเป็นหลักฐานจากคณะกรรมาธิการตรวจสอบการทุจริตฯของวุฒิสภาก็เคยสรุปตัวเลขออกมาให้เห็นแล้วว่าในช่วงที่ผ่านมามีการทุจริตไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท สอดคล้องกับผลสำรวจของ “หอการค้า” ที่มีความคิดเห็นจากบรรดานักธุรกิจว่าต้องจ่ายเงิน “ใต้โต๊ะ” มากขึ้นกว่าเดิม

เพราะไม่ว่าจะแตะไปที่หน่วยงานไหนและกระทรวงไหน โดยเฉพาะกระทรวงหลัก เต็มไปด้วยการทุจริต เช่น มหาดไทย คมนาคม กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีเรื่องการบริหารงานที่ล้มเหลวจนสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านอย่างแสนสาหัส และที่เห็นประจักษ์อยู่ในเวลานี้ก็คือ วิกฤตน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นวัตถุดิบพื้นฐานสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ซึ่งมีทั้งปัญหาการขาดแคลนและมีราคาแพง และเวลานี้กำลังลุกลามไปสู่ปัญหาอื่นๆ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง ล่าสุดกำลังเกิดขึ้นในกรณีน้ำตาลขาดแคลนและมีราคาแพง

ปัญหาข้าวของแพงกำลังเป็นปัญหาที่รุมกระหน่ำเข้าใส่รัฐบาลอภิสิทธิ์อย่างรุนแรง จนทำลายความเชื่อมั่นและทำลายความศรัทธาลงไปอย่างฮวบฮาบ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะก่อนหน้านี้หลายคนยังเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้จะอยู่จนครบเทอม หรือเกือบครบวาระ หลังจากรอดพ้นจากเหตุการณ์จลาจลเผาเมืองของ “คนเสื้อแดง” มาได้ถึงสองครั้งซ้อน แต่กลายเป็นว่าเมื่อเจอกับวิกฤติน้ำมันปาล์มก็ทำให้ “อ่อนยวบ” ลงทันที เพราะมันสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านอย่างแสนสาหัส ลามไปทุกหย่อมหญ้า

และที่สำคัญชาวบ้านเขาปักใจเชื่อกันไปแล้วว่า มีรายการกักตุน-ปั่นราคา มีการทุจริต ซึ่งนาทีนี้ไม่ต้องถาม เพราะเมื่อเอ่ยถึงปาล์มน้ำมันก็ต้องชี้หน้าไปที่พรรคประชาธิปัตย์ก่อนใคร และกรณีดังกล่าวเพียงกรณีเดียวยังสามารถทำความเข้าใจเรื่องอื่นได้ในคราวเดียวกัน โดยเฉพาะในเรื่องของการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ ขาดการวางแผนล่วงหน้า เนื่องจากต้องเกี่ยวข้องกันหลายหน่วยงานตั้งแต่ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งหากพิจารณาให้ตรงประเด็นก็คือ ปัญหาการน้ำมันปาล์มขาดแคลนและราคาแพงเกิดขึ้นมานานกว่า 3 เดือน แต่รัฐบาลก็ปล่อยให้ชาวบ้านเข้าคิวซื้อคนละขวดยาวเป็นกิโล จนมีเรื่องชกต่อยกันวุ่นวาย เพิ่ง “ตาลีตาเหลือก” ลงมาแก้ปัญหา ในที่สุดก็ยังแก้ไขไม่ได้ แม้ว่าจะเบาบางลงไป แต่ก็ยังขาดแคลนอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะในต่างจังหวัด

นี่ยังไม่นับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่สร้างความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงให้กับ นายกฯ อภิสิทธิ์ เพราะกลายเป็นว่าในยุคนี้เป็นยุคที่ไทยต้องเสียอธิปไตยอย่างถาวร ทำลายศักดิ์ศรีของชาติ ทำให้คนไทยต้องถูก “ลักพาตัว” ในดินแดนของตัวเอง โดยที่ตัวเองก็ปัดความรับผิดชอบ ขาดภาวะผู้นำ

ด้วยสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจากตัวเองเป็นคนก่อ รวมไปถึงคนแวดล้อมเป็นคนกระทำก็ตาม แต่ในฐานะผู้นำรัฐบาล แม้ในความเป็นจริงเขาเป็นเพียงแค่ “หุ่นเชิด” ที่ไร้อำนาจ ไม่สามารถสั่งใครให้ทำตามนโยบายที่ประกาศเอาไว้สวยหรูได้เลย ดังนั้น เมื่อความจริงเหล่านี้ปรากฏมันก็ทำลายความศรัทธาที่ประชาชนมอบให้ หรือตั้งความหวังเอาไว้ลงไปเสียสิ้น
 

เมื่อวกกลับมาที่การอภิรายไม่ไว้วางใจคราวนี้ หากมองในภาพรวมถือว่าทั้งสองฝ่าย นั่นคือฝ่ายค้านและรัฐบาลต่างหมายมั่นปั้นมือว่าจะใช้เป็นเครื่องมือเป็น “แรงส่ง” ให้ตัวเองชนะการเลือกตั้งกลับมาเพื่อยึดอำนาจรัฐ ซึ่งแม้ว่ายังไม่มีการประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง แต่เมื่อดูจากบรรยากาศรอบข้างแล้วรับรองว่าจวนเจียนเต็มทีแล้ว

แต่นาทีนี้ถ้าจะให้ฟันธงเปรียบเทียบกันทั้งสองฝ่ายว่าฝ่ายไหนจะได้เปรียบมากน้อยกว่ากัน มองตอนนี้อาจยังไม่เห็นภาพชัดเจนนัก บอกได้แต่เพียงว่าหากพรรคเพื่อไทยรู้จักจับอารมณ์ของชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนก็เชื่อว่าน่าจะได้รับเสียงปรบมือบ้าง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ศึกซักฟอกเที่ยวนี้น่าจะลำบากกว่าทุกครั้ง โดยเฉพาะเสียงสนับสนุนเอาใจช่วยจากชาวบ้าน รับรองว่าไม่เหมือนเดิมแน่นอน

ดังนั้น ถ้ามองกันอย่างตรงไปตรงมาก็ต้องยอมรับว่าศึกซักฟอกครั้งนี้น่าจะเป็นการ “ชี้ชะตา” พรรคการเมืองหลักว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง กลับมากินรวบประเทศไทย เท่านั้นเอง!!

กำลังโหลดความคิดเห็น