“สอดแนมการเมือง”
โดย…ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
รัฐธรรมนูญฉบับปีพ.ศ.2550 ที่ประชาชนได้ลงมติรับรองเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ถึง 14.7 ล้านเสียง!
รัฐธรรมนูญมหาชนฉบับดังกล่าวข้างต้นได้ระบุไว้อย่างชัดแจ้งว่า..
มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้
ส่วนที่ 2 แนวนโยบายด้านความมั่นคงของรัฐ
มาตรา 77 รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยจำเป็น และเพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษา เอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อการพัฒนาประเทศ
หมวด 9 คณะรัฐมนตรี
มาตรา 175 ก่อนเข้ารับหน้าที่ รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำ ดังต่อไปนี้
“ข้าพระพุทธเจ้า(ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริย เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญข้างต้นทั้งหมดนั้น รัฐบาลนายชวน หลีกภัย-ทักษิณ ชินวัตร-พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์-นายสมัคร สุนทรเวช-นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และรัฐบาลชุดปัจจุบันนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มีพฤติกรรมทั้งละเมิด-ทั้งไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญไทยมาโดยตลอด จึงต้องถือว่า..รัฐบาลไทยดังกล่าวทั้งหมดได้ทำผิดรัฐธรรมนูญอย่างน้อย 3 มาตราแล้ว
นั่นยังไม่รวมความผิดตามกฏหมายอาญา มาตรา157 ที่รัฐบาลไทยดังกล่าวได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อีกต่างหาก
เนื่องจากประเทศสยามกับฝรั่งเศส ได้มีข้อตกลงใช้สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาตามอนุสัญญาตั้งแต่ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ.2447 (ค.ศ.1904)
ต่อมา คกก.ปักปันเขตแดนผสมสยามกับฝรั่งเศสชุดแรก ได้ตกลงเดินสำรวจบริเวณเขาพระวิหารซึ่งอยู่ในทิวเขาดงรัก ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม ปี พ.ศ. 2449 (ค.ศ.1906) จนแล้วเสร็จโดยมีข้อตกลงให้ใช้สันปันน้ำและหน้าผา เป็นเส้นเขตแดนถาวรตามธรรมชาติของไทย-กัมพูชาโดยไม่ต้องมีการจัดทำหลักเขตใดๆ ทั้งสิ้น
ในปี พ.ศ.2450 (ค.ศ.1907) ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่(ต้นเหตุของปัญหา)มาตราส่วน 1ต่อ 2 แสน ซึ่งลากเส้นเขตแดนกินลึกเข้ามาในดินดินไทยตามอำเภอใจ อันเป็นการทำลายข้อตกลงในการยึดสันปันน้ำตามสนธิสัญญา อีกทั้งไม่ทำตามข้อตกลงของ คกก.ปักปันเขตแดนผสมสยามกับฝรั่งเศสอีกด้วย
ที่สำคัญแผนที่ฯ 1 ต่อ 2 แสนนี้ ไม่เคยมีการลงนามรับรองใดทั้งสิ้น จากคกก.ปักปันเขตแดนผสมสยามกับฝรั่งเศสเลย!
อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ.1907) ประเทศสยามกับฝรั่งเศสมีการลงนามในสนธิสัญญาระหว่างกันอีก 1 ฉบับ โดยประเทศสยามได้ยกเมืองพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณให้กับฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศสได้คืนเมืองด่านซ้ายกับจังหวัดตราดและเกาะทั้งหลาย รวมทั้งเกาะกูดให้กลับมาเป็นของประเทศสยามแทน
รวมทั้งมีการตั้งคกก.ปักปันเขตแดนผสมสยามกับฝรั่งเศส ชุดที่ 2 ให้ไปดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2452 (ค.ศ.1909) โดยเขตแดนบริเวณเขาพระวิหารนั้น คกก.ชุดนี้ยังคงยืนยันตามคกก.ชุดแรก ที่ใช้สันปันน้ำตามธรรมชาติเป็นเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาเหมือนเดิม
หลังจากนั้นอีก 10 ปี คือ ปี พ.ศ. 2462 (ค.ศ.1919) ได้มีการตั้งคกก.ฯชุดที่ 3 เพื่อทำการสำรวจและทำหลักเขตแดนไม้ที่เสียหายและสูญหาย มาเป็นหลักเขตแดนคอนกรีต โดย คกก.ฯชุดที่ 3 นี้ ก็ยังคงใช้สันปันน้ำและหน้าผาเป็นเขตแดนตามธรรมชาติ ตามคกก.ฯชุดที่ 1และ 2 ดัง
เดิมอีกครั้ง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา..ชาติกัมพูชาจึงไม่เคยได้คัดค้าน ในปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชาอีกเลย?
จนกระทั่ง..เจ้านโรดมสีหนุได้นำกรณีปราสาทพระวิหารไปฟ้องร้องต่อศาลโลก จนวันที่ 15 มิถุนายน ปี พ.ศ. 2505 ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 เสียง ศาลโลกได้มีคำพิพากษาอันเสมือน“การปล้น”แผ่นดินไทย ให้ชาติกัมพูชากันอย่างหน้าด้านๆ
เพราะศาลโลกไม่ได้ใช้หลักทางภูมิศาสตร์หรือสันปันน้ำ รวมทั้งเล่ห์เหลี่ยมเจ้าของนักล่าอาณานิคมเดิมอย่างฝรั่งเศส ที่มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดคำพิพากษาอันพิลึกพิลั่น โดยศาลโลกได้ยกตัวปราสาทพระวิหารที่อยู่บนชะง่อนผาให้กัมพูชา ทว่า..ทางขึ้นสู่ตัวปราสาทฯกลับอยู่ในดินแดนของประเทศไทย
กรณีดังกล่าว..ประเทศไทยจึงได้สงวนสิทธิ์ต่อศาลโลก ในการจะต่อสู้ขอคืนตัวปราสาทพระวิหารจากกัมพูชามาเป็นของประเทศไทยอีกครั้ง หากไทยพบข้อมูลหรือหลักฐานใหม่ไงล่ะครับ
อย่างไรก็ตาม..การพิพากษาครั้งนั้น ศาลโลกก็ไม่ยอมรับแผนที่ฝรั่งเศสมาตราส่วน1 ต่อ 2 แสน ที่ทางฝ่ายกัมพูชาเสนอให้ศาลโลกรับรองแต่ประการใดอีกด้วย!
ทว่า..อยู่ดีๆจู่ๆรัฐบาลไทยก็ดันไปเปิดประตูเมืองของชาติไทย เปิดช่องทางให้ทหารกัมพูชาแอบอ้างว่า..ดินแดนของไทยมาแต่โบราณ บัดนี้..ได้ตาลปัตรกลับกลายเป็นดินแดนของกัมพูชาไปเสียแล้ว ถึงขนาดทหารเขมรได้บุกเข้ามาตั้งค่าย-หมู่บ้าน-ตลาด-วัด ในแผ่นดิน 4.6 ตร.กม.ของประเทศไทยแบบดื้อๆ
เนื่องจากรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ได้มอบหมายให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัฒน์ รมช.กระทรวงการต่างประเทศ ลงนามใน MOU2543 ที่ยอมรับแผนที่ฝรั่งเศสมาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2543 ทำให้ชาติไทยเสียเปรียบชาติเขมรไปโดยอัตโนมัติ
เพราะทำให้ดินแดนหลังสันปันน้ำบริเวณรอบตัวปราสาทพระวิหาร ที่เคยเป็นของชาติไทยแต่เพียงประเทศเดียว ได้เกิดเส้นเขตแดนทับซ้อนกินลึกเข้ามาในดินแดนไทยในทันที!
นายชวน หลีกภัย จึงเป็นรัฐบาลแรก ที่ทำผิดต่อชาติไทยอย่างร้ายแรงที่สุด เพราะดันไปเซ็น MOU2543 ที่ยอมรับแผนที่ฯ1ต่อ2 แสน จนเปิดช่อง-เปิดประตูชาติไทยให้ชาติเขมร มีข้ออ้างในการยกกำลังทหารเขมร บุกเข้ามายึดดินแดนไทยชนิดตำตาตำใจอยู่ในทุกวันนี้
แถมรัฐบาลไทยยังแกล้งโง่-จนเสมือนสมคบ-สมยอมให้รัฐบาลเขมร ยึดดินแดนไทยและให้ร้ายป้ายสีบิดเบือนแบบขาวเป็นดำ จนนานาชาติหลงเชื่อว่า..ไทยคือชาติที่รุกรานยึดครองดินแดนของชาติเขมรอีกด้วย..เฮ้อ..!
แบบนี้..เท่ากับรัฐบาลไทยได้ทำผิดกฏหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 1 มาตรา 77 มาตรา 175 ที่ถวายคำสัตย์ปฏิญาณไว้..แต่กลับไม่ทำตามคำสัตย์ปฏิญาณแม้แต่น้อย แถมยังละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมายอาญา มาตรา157 โดยไม่ยอมปกป้องดินแดนและอธิปไตยของชาติไทยอีกต่างหาก..จริงไหมล่ะ?
ความผิดครั้งนี้ของรัฐบาลไทยที่เกี่ยวข้องน่ะ ผิดถึงขั้นติดคุกหัวโต..แถมรัฐมนตรีบางรายอาจถึงขั้นโดนประหารชีวิตกันเลยนะ..จะบอกให้..!