xs
xsm
sm
md
lg

หายนะแห่งอำนาจและผลประโยชน์

เผยแพร่:   โดย: วิทยา วชิระอังกูร


ใครจะกล่าวหาว่าเป็นการพูดย้ำซ้ำเติม หรือฟื้นฝอยหาตะเข็บก็ตามทีเถิด ในสถานการณ์ที่ดำรงอยู่ในขณะนี้ มีแต่ต้องสะกิดเตือนให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้หันกลับไปทบทวนอ่านถ้อยแถลงกฎเหล็ก 9 ข้อ ที่ประกาศกลางที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นัดแรก เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2551 ดังต่อไปนี้

1. ให้ ครม.น้อมนำพระบรมราโชวาทเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะเรื่องการปฏิบัติงานให้เกิดความเรียบร้อยและเกิดความสุขในหมู่ประชาชน

2. ให้ยึดถือการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเคร่งครัด

3. นโยบายที่ครม.อนุมัติถือเป็นเป้าหมายหรือทิศทางร่วมกันเพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ

4. ในภาวะวิกฤตการทำงานของรัฐบาลต้องเป็นไปด้วยความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ต้องไม่เป็นรัฐบาลที่แบ่งพรรค

5. รัฐมนตรีทุกคนต้องเข้าร่วมประชุมสภาอย่างสม่ำเสมอ ต้องไปรับฟังความคิดเห็นของส.ส.และตอบกระทู้

6. ให้รัฐมนตรีทุกคนปฏิบัติตนโดยคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน พฤติกรรมใดๆ ซึ่งนำไปสู่ความไม่เชื่อมั่น ขอให้ระวังเป็นพิเศษ

7. ในรัฐบาลที่เชื่อมั่นวิถีทางประชาธิปไตยต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม

8. รัฐบาลชุดนี้ต้องพร้อมรับการตรวจสอบ ทั้งในเชิงนโยบายและเรื่องอื่นๆ

9. รัฐมนตรีทุกคนไม่มีสิทธิเหนือประชาชนคนอื่นในแง่การปฏิบัติตามกฎหมาย

และอยากให้นายอภิสิทธิ์ ทำใจให้เที่ยง สำรวจตรวจสอบว่า การบริหารจัดการอำนาจรัฐ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา สองปีเศษได้ยึดถือกฎเหล็กดังกล่าว อย่างเคร่งครัดหรือเพิกเฉยละเลยในข้อใดบ้างหรือไม่  

ผมเชื่อว่าขอเพียงเท่านี้จริงๆ ครับ ถ้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนคนปกติทั่วไป และยอมรับสำนึกผิดว่า มิได้ตั้งมั่นปฏิบัติตามกฎกติกาอันถูกต้องดีงาม ที่ตนตั้งขึ้นจนก่อให้เกิดปัญหาประเทศชาติบ้านเมืองวิกฤตวุ่นวายในแทบทุกด้านอย่างที่เป็นอยู่ ก็น่าจะถึงเวลาที่นายอภิสิทธิ์ สมควรคิดตัดสินใจว่า จะต้องดำเนินการเช่นไร เพื่อไถ่โทษคลี่คลายปัญหา หรือหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง

เลิกใช้วิธีพลิกพลิ้วหลบเลี่ยงปัญหา โดยใช้วาทกรรมแบบนักโต้วาทีเสียทีเถิดครับ ซึ่งยิ่งนับวันก็ยิ่งจะเฝือเต็มทีแล้ว เพราะไม่สามารถจะตอบโต้ชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริง ที่ฝ่ายภาคประชาชนนำมาเปิดเผยได้อย่างกระจะกระจ่างเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องปัญหากัมพูชารุกล้ำเขตแดนไทย

ผมเองก็งุนงงสงสัยมาโดยตลอดว่า ข้อเท็จจริง มันหาได้สลับซับซ้อนแต่อย่างใดไม่ ศาลโลกตัดสินให้เฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ในปี พ.ศ. 2505 ไทยปฏิบัติตามคำสั่งศาลโดยส่งมอบตัวปราสาทล้อมรั้วลวดหนามกันบริเวณรอบปราสาทให้ โดยกระทรวงมหาดไทยกำหนดไว้ไม่เกิน 150 ไร่ สัณฐานเป็นรูปห้าเหลี่ยมคางหมู วัดจากบันไดนาคไปทางทิศเหนือ 20 เมตร ทางทิศตะวันออกลากไปจรดหน้าผา ทางทิศตะวันตกวัดจากกึ่งกลางปราสาทและกึ่งกลางทางเดินออกไป 100 เมตร รอบบริเวณมีป้ายบอกเขตแดนเป็นภาษาไทย กัมพูชา และฝรั่งเศส ซึ่งฝ่ายกัมพูชาก็ยอมรับโดยเมื่อกษัตริย์นโรดมสีหนุ ขึ้นมาปักธงกัมพูชา ก็ยังต้องปีนขึ้นทางเขาบันไดหักฝั่งกัมพูชา พื้นที่ 4.6 ตร.กม. ก็เป็นเขตแดนไทยมาตามปกติ

จนถึงปี พ.ศ. 2546 ที่ประชุมระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ได้มีมติร่วมกันให้เปิดเขาพระวิหารเป็นแหล่งท่องเที่ยว หลังจากนั้นจึงมีการปล่อยปละละเลย ให้ชาวกัมพูชาอพยพเข้ามาสร้างหมู่บ้าน สร้างวัด และตลาด ในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตร.กม. 

ข้อเท็จจริงนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ย่อมต้องรับรู้ แต่เหตุไฉนจึงไม่กล้ายืนยันสิทธิ์และอธิปไตยเหนือดินแดน โดยผลักดันการรุกล้ำเขตแดนไทยของกัมพูชาออกไป กลับอ้ำๆ อึ้งๆ ว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนบ้าง เป็นพื้นที่แสดงสิทธิ์ บ้าง ซึ่งล้วนแล้วแต่ยอมอ่อนข้อเสียเปรียบต่อกัมพูชาเรื่อยมา โดยอ้างแต่จะใช้การประท้วงนับร้อยๆ ครั้ง ซึ่งกัมพูชาไม่เคยสนใจไยดีด้วยเลย เมื่อภาคประชาชนออกมาประท้วงคัดค้าน ให้ถอนตัวจากภาคีมรดกโลก ให้ยกเลิกเอ็มโอยู 43 ก็กลับโต้เถียงข้างๆ คูๆ ว่า ถอนตัวจากภาคีมรดกโลกจะทำให้กัมพูชาได้เปรียบ ยูเนสโกจะฟังข้อมูลด้านเดียว ซึ่งฟังดูไร้เหตุผลสิ้นดี ยกเลิกเอ็มโอยู ก็ไม่ยอม บอกว่าเป็นประโยชน์โดยไม่รู้ว่าประโยชน์อันใด ทั้งๆ ที่กัมพูชาละเมิดเอ็มโอยูมาโดยตลอด 

กรณีการจับ 7 คนไทยไปขึ้นศาลเขมรนั้นก็ชัดเจนที่สุด โดยรัฐบาลไทยไม่แสดงการปกป้องเลย มิหนำซ้ำกลับช่วยกันเป็นพยานเข้าข้างกัมพูชาด้วยซ้ำไป และที่ร้ายแรงที่สุด ก็คือการปล่อยให้ทหารกัมพูชาระดมยิงใส่หมู่บ้านภูมิซรอลจนวัด บ้าน โรงเรียนเสียหาย และชาวบ้านเสียชีวิต ต้องอพยพหนีตายกันโกลาหล โดยฝ่ายทหารไทยตอบโต้ได้อย่างจำกัด เพราะรัฐบาลและกองทัพสั่งใช้วิธีเจรจาหยุดยิงอย่างมีเงื่อนงำ

นั่นคือความจริงที่ประชาชนคนไทยทำใจยอมรับได้ยาก และโดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ไม่เคยฟังเสียงประชาชน กลับประพฤติปฏิบัติตรงข้ามกับคำพูดของตนเองตลอดมา โดยเวทีภาคประชาชนได้ทยอยนำเทปบันทึกเสียงและคลิปวิดีโอต่างๆ ที่นายอภิสิทธิ์ประดิษฐ์ถ้อยวาทกรรมในที่ต่างๆ มาแฉโพยกะเทาะเปรียบเทียบกับการกระทำของเจ้าของคำพูด ซึ่งกลายเป็นสิ่งกลอกกลิ้งปลิ้นปล้อนอย่างไม่น่าเชื่อ 

การดึงดื้อถือดีของนายอภิสิทธิ์โดยไม่สำนึกต่อการขาดภาวะผู้นำ ที่มีอำนาจแล้วแต่ไม่กล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง ยอมเป็นหุ่นเชิดให้ขบวนการนักการเมืองน้ำเน่าแสวงหาประโยชน์ฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งภาคประชาชนกำลังยกระดับการชุมนุมเป็นการเปิดโปงการคอร์รัปชันของรัฐบาลนี้ ที่ว่ากันว่า ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าระบอบทักษิณแต่อย่างใดเลย

การชุมนุมที่เริ่มต้นเพียงการมาร้องขอให้รัฐบาลใช้สิทธิ์พิทักษ์ปกป้องการรุกล้ำแผ่นดินไทยจากกัมพูชา ได้กลายเป็นการยกระดับขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาลทั้งคณะแล้ววันนี้

ทางหนีทีไล่ที่คิดจะหลบเลี่ยงไปเลือกตั้งใหม่แบบเดิมๆ คงใช้ไม่ได้แล้ว ในยุคสื่อสารทันสมัยนี้ โอกาสสุดท้ายสำหรับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็คงทำได้เพียงสำนึกเสียใจ ที่หลงติดกับอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง จนทำร้ายประเทศชาติและทำลายอนาคตของตนเองและวงศ์ตระกูลอย่างน่าเสียดาย
กำลังโหลดความคิดเห็น