xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ยูเนสโก” ลวง “มาร์คโพเดียม” จับมือ “ฮุนเซน” ซ่อมพระวิหาร ขึ้นทะเบียน “มรดกโลก” ถาวร !

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจากที่นายโคอิชิโร มัตซึอูระ ผู้แทนพิเศษองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้เข้าพบและหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อรับทราบข้อมูลมุมมองปัญหามรดกโลก เมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากนั้นนายอภิสิทธิ์ได้ออกมาเปิดเผยว่า ยูเนสโกจะไม่ลงไปตรวจสอบปราสาทพระวิหาร และมีแนวโน้มจะเลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบปราสาทเพื่อให้การขึ้นทะเบียนอย่างสมบูรณ์ออกไปก่อน

นายอภิสิทธิ์ยังบอกด้วยว่า องค์การยูเนสโกมีความเข้าใจดี หากเดินหน้าแผนบริหารจัดการพื้นที่ดังกล่าวก็มีแต่จะทำให้เกิดปัญหามากยิ่งขึ้น ซึ่งยูเนสโกคงต้องไปหารือกับทางกัมพูชา เพื่อให้กัมพูชามาหารือกับไทยด้วย โดยคาดว่าน่าจะได้มีการเจรจาหารือกันภายในเดือนนี้หรือเดือนหน้า เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้นไปจนถึงเดือนมิถุนายน

แต่พอคล้อยหลังจากที่นายโคอิชิโรได้เข้าพบและหารือกับนายอภิสิทธิ์เพียงไม่กี่วัน เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ ก็เผยแพร่รายงานข่าวของสำนักข่าวซินหัวโดยอ้างคำพูดของนายโคอิชิโร ทูตพิเศษของยูเนสโก ภายหลังการพบปะหารือกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา รวมทั้งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ระหว่างการเยือนพนมเปญ เป็นเวลา 3 วัน สรุปความว่า ยูเนสโกกำลังจะเข้าไปสำรวจความเสียหายในปราสาทพระวิหารโดยเร็วที่สุด หลังจากตัวแทนจากอินโดนีเซีย เข้าไปตรวจสอบและเป็นสักขีพยานในพื้นที่ปะทะตามแนวชายแดนทั้งสองฝ่าย

โดยคำพูดของนายโคอิชิโร มัสสึอุระ ซึ่งเคยเป็นประธานยูเนสโก และสนับสนุนออกนอกหน้าให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ยังได้เน้นย้ำอีกว่า ไม่อาจทำตามข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีของไทย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ให้ชะลอหรือเลื่อน “บัญชี” ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารอย่างเต็มรูปแบบออกไปก่อน โดยให้เหตุผลว่าปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของยูเนสโก ดังนั้น, ยูเนสโกจะส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบความเสียหายและซ่อมแซมโดยเร็วที่สุด

จากท่าทีดังกล่าวของนายโคอิชิโร ทูตพิเศษของยูเนสโก จึงเป็น “คนละเรื่อง” เดียวกับที่นายอภิสิทธิ์เคยกล่าวก่อนหน้านี้ ว่า ยูเนสโกจะไม่ลงไปตรวจสอบปราสาทพระวิหาร และมีแนวโน้มจะเลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบปราสาทเพื่อให้การขึ้นทะเบียนอย่างสมบูรณ์ออกไปก่อน

นอกจากนี้ นายโคอิชิโรยังได้ตั้งข้อสังเกตระหว่างการพบปะหารือกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยโฆษกนายกรัฐมนตรีกัมพูชา อ้างคำกล่าวของนายโคอิชิโร ว่า ประเทศไทยมีความตั้งใจที่จะขอให้ยูเนสโกถอนการขึ้นทะเบียนปราสาท แต่ผมได้แจ้งต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกษิต ภิรมย์ ว่าการถอนปราสาทพระวิหารจากบัญชีมรดกโลกนั้นเป็นไปไม่ได้ในทุกทาง เพราะปราสาทพระวิหารมีคุณค่าเป็นสากลโดดเด่น…

“แหล่งมรดกโลกปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของยูเนสโก ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญยูเนสโกจะมาประเมินและซ่อมแซมปราสาทพระวิหารในอนาคต” นายโคอิชิโรบอกกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา

ขณะเดียวกัน นายฮุนเซนก็ได้แจ้งต่อนายโคอิชิโรว่า ทหารไทยได้ยิงกระสุนปืนครกและปืนใหญ่กว่า 400 ลูกเข้าใส่ปราสาทซึ่งทำความเสียหายอย่างรุนแรงต่อแหล่งมรดกโลก และขอไม่ให้คณะกรรมการมรดกโลกชะลอแผนบริหารจัดการในการประชุมประจำปีที่บาห์เรนในเดือนมิถุนายน

“แผนบริหารจัดการปราสาทโดยยูเนสโกของแหล่งมรดกโลกไม่ควรถูกละเลยเพราะการคุกคามของประเทศไทย” นายฮุนเซนกล่าว และว่า “ถ้าเราไม่รีบซ่อมแซมปราสาทพระวิหารจะตกอยู่ในอันตราย ยิ่งกว่านั้น มันจะกลายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีที่ว่าประเทศใหญ่สามารถคุกคามยูเนสโกไม่ให้สามารถบริหารจัดการและอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก” นายฮุนเซนบอกกับทูตพิเศษของยูเนสโก

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายโคอิชิโร มัตสึอุระ ทูตพิเศษของยูเนสโก กล่าวว่า ปราสาทพระวิหารของกัมพูชาจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน หลังเกิดความเสียหายจากการปะทะทางทหารระหว่างกัมพูชาและประเทศไทยในข้อพิพาทพรมแดนแดนเมื่อวันที่ 4-7 กุมภาพันธ์ โดยระหว่างการเข้าพบนายสก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและประธานคณะกรรมาธิการยูเนสโกของกัมพูชา นายโคอิชิโรบอกว่า เมื่อผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียมาถึงที่พิพาทพรมแดน ยูเนสโกจะส่งผู้เชี่ยวชาญมาประเมินความเสียหายโดยเร็วที่สุด

“การซ่อมแซมปราสาทอย่างเร่งด่วนจะต้องดำเนินการหลังการประเมินความเสียหาย และยูเนสโกจะส่งผู้เชี่ยวชาญการซ่อมแซมมาซ่อมแซมปราสาท” นายโคอิชิโรกล่าว และว่า “ยูเนสโกจะไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาพรมแดน แต่จะเกี่ยวข้องเฉพาะตัวปราสาท”

ทั้งนี้ นายสก อาน ในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังได้นำเสนอแผนที่ซึ่งกัมพูชาอ้างว่าเป็นที่ยอมรับของนานาชาติเกี่ยวกับพรมแดนกัมพูชากับประเทศไทยให้แก่นายโคอิชิโร และยังได้แสดงแผนที่ซึ่งอ้างว่าประเทศไทยบังคับใช้ฝ่ายเดียว ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ

งานนี้ถ้ารายงานข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศไม่ผิดพลาด ก็แสดงว่านายอภิสิทธิ์ “เสียท่า” เพราะทูตพิเศษของยูเนสโกไม่ให้ค่า และการเข้าหารือกับนายอภิสิทธิ์ครั้งนี้ก็แค่ทำเป็นพิธีเท่านั้น เพราะจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเขาคือ “ฮุนเซน” และประเทศกัมพูชา ที่เขาเคยสนับสนุนออกนอกหน้าให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกมาแล้ว หรืออีกกรณีหนึ่งก็คือ นายอภิสิทธิ์เป็นบ้า เพราะออกมาพูดเองเออเองอยู่คนเดียว

นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่กัมพูชาเตรียมนำทูตทหารจาก 10 ประเทศเข้าสำรวจพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร และพื้นที่ 4.6 ตร.กม. โดยอ้างว่าเพื่อดูความเสียหายของวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และปราสาทพระวิหาร โดยอ้างว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา ซึ่งหากรัฐบาลไทย โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยังยืนยันว่าขอบหน้าผาคือสันปันน้ำตามที่พูดไว้เมื่อวันที่ 7-8 ส.ค.53 ทางกัมพูชาก็ไม่สามารถนำทูตทหารเข้าพื้นที่ที่ระบุได้ หากประเทศไทยไม่อนุญาต แต่ถ้าปล่อยให้กัมพูชานำทูตทหารเข้าพื้นที่โดยไม่ขออนุญาตประเทศไทย เท่ากับยอมรับว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของกัมพูชา ซึ่งลักษณะนี้จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการวางกำลังทหารสังเกตการณ์ของอินโดนีเซียที่จะมาในพื้นที่ดังกล่าวด้วย โดยอ้างว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา และจะเป็นการรับรองการรุกล้ำดินแดนไทยของกัมพูชาอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากองค์ประกอบแวดล้อมอื่นๆ ที่ผ่านมา ทำให้มองเห็นว่า ไทยมีแนวโน้มเสียดินแดนเพิ่มเติมให้กับกัมพูชา ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารที่เป็นพื้นที่บริหารจัดการในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารตามเงื่อนไขของยูเนสโกเท่านั้น เนื่องจากทุกครั้งที่ฝ่ายกัมพูชาพูดถึงเรื่องปราสาทก็จะพ่วงเอาเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 200000เข้าไปด้วยทุกครั้งและพูดไปทางเดียวกัน โดยย้ำว่าบันทึกความเข้าใจเรื่องการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชา ปี 2543 (MOU43) ได้ให้การยอมรับแผนที่ดังกล่าวไปแล้ว ซึ่งที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีของไทยก็ไม่เคยออกมาปฏิเสธ หรือแถลงคัดค้านแต่อย่างใด เหมือนกับเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย

ดังนั้น, การที่ไทยยอมรับแผนที่กัมพูชาในอัตราส่วน 1 ต่อ 200000 ตามที่อ้างใน MOU43 ก็ไม่ใช่หมายความว่าจะต้องเสียพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารแค่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เนื้อที่ประมาณเกือบ 3 พันไร่เท่านั้น แต่ย่อมหมายถึงดินแดนไทยที่ลากมาตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานีไปจนจรดจังหวัดตราด เนื้อที่นับล้านไร่!

นี่คือผลพวงของ MOU 43 และนายกรัฐมนตรีของไทยที่เพียงแค่ดึงดันต้องการเอาชนะและปกปิดความผิดพลาดของพรรคตัวเอง รวมทั้งผลประโยชน์ตามแนวชายแดนของนายทหารบางคน และธุรกิจพลังงานในอ่าวไทย จึงทำให้แม้แต่การเจรจาทวิภาคีก็ล้มเหลว การคัดค้านไม่ให้ตัวแทนยูเนสโกลงพื้นที่ ก็ทำไม่ได้ และคำพูดที่ยืนยันว่า ประเทศไทยไม่เสียดินแดนก็คงเป็นเรื่องโกหก!

และล่าสุด นายฮุนเซนประกาศลั่นแล้วว่า จะไม่มีการคุยแบบทวิภาคี ไม่ว่าระดับไหน หรือชุดไหน! ทีนี้ “มาร์คโพเดียม” ของเราจะว่าอย่างไร...?
กำลังโหลดความคิดเห็น