ผ่าประเด็นร้อน
ข่าวล่าสุดจาก “เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ” เผยแพร่รายงานข่าวของสำนักข่าวซินหัว โดยอ้างคำพูดของ โคอิชิโร มัตสึอุระ ทูตพิเศษขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ภายหลังพบปะหารือกับ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา รวมทั้งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ระหว่างการเยือนพนมเปญ เป็นเวลา 3 วัน ทั้ง สก อาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เป็นตัวแทนในการเจรจาเรื่องการขึ้นทะเบียนประาสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และ ฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา สรุปความว่ายูเนสโกกำลังจะเข้าไปสำรวจความเสียหายในปราสาทโดยเร็วที่สุด หลังจากตัวแทนจากอินโดนีเซีย เข้าไปตรวจสอบและเป็นสักขีพยานในพื้นที่ปะทะตามแนวชายแดนทั้งสองฝ่าย
ที่สำคัญก็คือ การเข้าไปตรวจสอบความเสียหายของตัวปราสาทพระวิหารของตัวแทนยูเนสโกนั้น น่าจะเกิดขึ้นจากการโน้มน้าวจากฝ่ายกัมพูชาที่นำโดย ฮุนเซน, สก อาน และฮอร์ นำฮง ดังกล่าว
คำพูดของ โคอิชิโร มัตสึอุระ ซึ่งเคยเป็นประธานยูเนสโก และสนับสนุนออกนอกหน้าให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ได้เน้นย้ำอีกว่า ไม่อาจทำตามข้อเสนอของ นายกรัฐมนตรีของไทย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ให้ชะลอหรือเลื่อน “บัญชี” ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารอย่างเต็มรูปแบบออกไปก่อน โดยให้เหตุผลว่าปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของยูเนสโก ดังนั้น ยูเนสโกจะส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบความเสียหายและซ่อมแซมโดยเร็วที่สุด
จากท่าทีดังกล่าวของตัวแทนยูเนสโกนับว่า “คนละเรื่อง” กับที่นายกฯ อภิสิทธิ์เคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่า ยูเนสโกจะไม่ลงไปตรวจสอบปราสาทพระวิหาร และมีแนวโน้มจะเลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบปราสาทเพื่อให้การขึ้นทะเบียนอย่างสมบูรณ์ออกไปก่อน
งานนี้ถ้าไม่มีการรายงานผิดพลาด ก็แสดงให้เห็นอีกครั้งว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ “เสียท่า” และจงใจ “บิดเบือน” มาหลอกต้มชาวบ้านอีกรอบ
หากพิจารณาจากองค์ประกอบแวดล้อมอื่นๆ ที่ผ่านมาแล้วทำให้มองเห็นเป็นแบบนั้นจริงว่า นาทีนี้ไทยมีแนวโน้มจะเสียดินแดนเพิ่มเติมให้กับกัมพูชา ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารที่เป็นพื้นที่บริหารจัดการในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารตามเงื่อนไขของยูเนสโก เนื่องจากทุกครั้งที่ฝ่ายกัมพูชาที่พูดถึงเรื่องปราสาทก็จะพ่วงเอาเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เข้าไปด้วยทุกครั้งและพูดไปทางเดียวกัน โดยย้ำว่าบันทึกความเข้าใจเรื่องการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชา ปี 2543 (เอ็มโอยู 43) ได้ให้การยอมรับแผนที่ดังกล่าวไปแล้ว ซึ่งที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีของไทยก็ไม่เคยออกมาปฏิเสธ หรือแถลงคัดค้านแต่อย่างใด เหมือนกับเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย
มิหนำซ้ำยังมีเป้าหมายเพื่อปกป้องเอ็มโอยู 43 อย่างสุดจิตสุดใจ เพียงเพื่อปกปิดความผิดพลาดของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยกระทำเอาไว้ก่อนหน้านี้ ไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะต้องสูญเสียอธิปไตยหรือไม่
นอกจากนี้ สิ่งที่ยืนยันถึงความตลบตะแลงพูดตรงกันข้ามของนายกฯ อภิสิทธิ์ ก็คือ ประเด็นที่มีทหารต่างชาติหรือประเทศที่ 3 เข้ามายุ่งเกี่ยวปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชา เพราะเคยย้ำมาตลอดว่าต้องใช้การเจรจาแบบทวิภาคีเท่านั้น พร้อมทั้งอ้างถึงผลดีของเอ็มโอยู 43 แต่ในที่สุดเมื่อฝ่ายกัมพูชาไม่สนใจเดินหน้าละเมิดเอ็มโอยูและดึงองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซงจนเป็นผลสำเร็จ แม้ว่าจะไม่ใช่องค์การสหประชาติส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ามา แต่การที่มอบหมายให้อาเซียน (อินโดนีเซีย) เข้ามาเป็น “พี่เลี้ยง” สังเกตการณ์ในพื้นที่มันก็ไม่ได้ต่างกัน
อีกทั้งยังเป็นการเข้ามาตรวจสอบในพื้นที่ของไทยที่กัมพูชารุกล้ำเข้ามาเสียอีก ถือว่าสำเร็จเด็ดขาดแล้ว!!
เพราะถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่เคยยืนยันได้เลยว่าจะให้ทหารอินโดนีเซียซึ่งเป็นตัวแทนอาเซียนเข้ามาสังเกตการณ์อยู่ตรงพื้นที่ใด ขณะที่ฝั่งกัมพูชานั้นไม่ต้องห่วงเชื่อว่าจะต้องขึ้นมายืนอยู่ที่ “บริเวณภูมะเขือ” และ “วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ” ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ของไทยอย่างแน่นอน นั่นย่อมหมายความว่าต่อไปนี้ไทยก็ไม่มีปัญญาผลักดันทหารกัมพูชาที่ตั้งมั่นอยู่บริเวณนั้นพ้นออกไปอย่างถาวร
นอกจากนี้ ดังที่กล่าวไว้ตอนต้นว่า การที่ไทยยอมรับแผนที่กัมพูชาในอัตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนตามที่อ้างในเอ็มโอยู 43 มันก็ไม่ใช่หมายความว่าจะต้องเสียพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารแค่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เนื้อที่ประมาณเกือบ 3 พันไร่เท่านั้น แต่ย่อมหมายถึงดินแดนไทยที่ลากมาตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานีไปจนจรดจังหวัดตราด เนื้อที่นับล้านไร่
นี่คือผลของความผิดพลาดของเอ็มโอยู 43 และนายกรัฐมนตรีของไทยเพียงแค่ดึงดันต้องการเอาชนะและปกปิดความพลาดของพรรคตัวเอง รวมทั้งผลประโยชน์ตามแนวชายแดนของ นายทหารบางคน และธุรกิจพลังงานในอ่าวไทย
ที่ผ่านมามีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลรีบถอนตัวออกจากการเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลก ยกเลิกเอ็มโอยู 43 และผลักดันกองกำลังกัมพูชาและชุมชนที่รุกล้ำออกไปให้หมด จากนั้นค่อยมาทำเอ็นโอยูกันใหม่ให้เกิดความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในเกมของกัมพูชาที่ใช้มหาอำนาจเป็นแบ็กอยู่เบื้องหลังโดยแลกกับผลประโยชน์ด้านทรัพยากรธรรมชาติ แต่เขาก็ไม่สนใจยังกอดเอ็มโอยู 43 เอาไว้แน่น พร้อมทั้งอ้างถึงผลดีสารพัด
อย่างไรก็ดี สิ่งที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวหรือยืนยันออกมาล้วนตรงกันข้ามกับความจริงในทุกเรื่อง เพราะไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม เริ่มตั้งแต่การเจรจาทวิภาคีก็ล้มเหลว หรือคัดค้านไม่ให้ตัวแทนยูเนสโกลงพื้นที่ ก็ทำไม่ได้ และที่สำคัญคำพูดยืนยันว่าไม่เสียดินแดนและไม่เสียเปรียบก็ฟังไม่ขึ้น เพราะนาทีนี้ถือว่าพ่ายแพ้ในทุกแนวรบอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด!!