นับตั้งแต่ประเทศไทยได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำเขตแดน ระหว่างราชาอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา พ.ศ. 2543 (MOU 2543) เป็นต้นมา ปัญหาข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ก็เกิดขึ้นโดยต่อเนื่องตลอดมา ฝ่ายกัมพูชาได้อ้างแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับอินโดจีน ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญา ฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญา ปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส หรือเป็นที่ทราบกันดีว่า แผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 นั่นเอง เป็นข้ออ้าง
ส่วนฝ่ายไทยก็อ้างสนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ร.ศ.122 (ค.ศ. 1904) และยืนยันใน ค.ศ. 1907 โดยปฏิเสธแผนที่ที่กัมพูชานำมากล่าวอ้าง โดยประเทศไทยได้ยึดถือสนธิสัญญาดังกล่าวนี้เป็นหลักกำหนดเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ตลอดมานับถึงก่อน MOU 2543 ก็เป็นเวลา 96 ปี เมื่อไทยลงนามบันทึกความเข้าใจ MOU 2543 จึงมีผลเท่ากับเป็นการยอมรับข้อกล่าวอ้างของกัมพูชาอย่างเป็นทางการและเป็นลายลักษณ์อักษร
ฝ่ายกัมพูชาโดยนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีและพวกของเขาได้พยายามที่จะกล่าวอ้างเอาแผนที่ 1:200,000 เพื่อการรุกรานและยึดครองดินแดนของไทยโดยตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชามาโดยลำดับ อย่างมีการวางแผนและมีกุศโลบายทางการเมือง การทูตระหว่างประเทศประสานกับการใช้กำลังทางทหาร โดยมีประชาชนกัมพูชาเป็นเครื่องบังหน้า บุกรุกเข้ามายึดครองที่ดินและที่ทำกินของราษฎรไทย โดยเจ้าหน้าที่รัฐของไทยและข้าราชการ นักการเมือง รวมถึงทหารผู้มีหน้าที่ปกป้องดินแดนอธิปไตยของประเทศโดยตรง ต่างปล่อยปละละเลยและเพิกเฉย ไม่ทำหน้าที่ของตนอันควรแก่การปฏิบัติเพื่อปกป้องดินแดนของไทย
และที่ซ้ำร้ายก็คือ เมื่อปัญหาตกทอดมาถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งในอดีตขณะเป็นฝ่ายค้านได้ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน ในการอภิปรายแสดงจุดยืนและความคิดเห็นคัดค้านต่อการดำเนินการของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รวมถึงคัดค้านการไปร่วมลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาของนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นอย่างเอาจริงเอาจัง กล่าวหา และประณามว่า รัฐบาลชุดก่อนมีพฤติกรรมที่ทำให้ไทยต้องสูญเสียดินแดน
บัดนี้เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ปกป้องดินแดนและอธิปไตยของประเทศนายอภิสิทธิ์ กลับมีพฤติกรรมในการแก้ไขปัญหานี้ ที่เลวร้ายและหนักหน่วง สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนจนนำมาสู่การเสียดินแดนของไทยให้แก่กัมพูชาโดยสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่บริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารเนื้อที่ประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร และกำลังจะต้องสูญเสียเพิ่มมากขึ้นอีกตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยพฤติกรรมของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ดังนี้ คือ
1. เพิกเฉยต่อการที่ทหารและประชาชนกัมพูชา ขึ้นมาสร้างวัดและตั้งฐานทางทหารบนพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และบริเวณภูมะเขือ
2. ปล่อยปละละเลยให้กัมพูชาตัดถนนจากบ้านโกมุยขึ้นมาบนภูมะเขือและปราสาทพระวิหารจนเสร็จสิ้น ทั้งที่เป็นการรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย
3. ปล่อยให้กัมพูชาจับ 7 คนไทย ในดินแดนของประเทศไทย บริเวณบ้านหนองจานไปขึ้นศาลและดำเนินคดีในศาลกัมพูชา จนศาลกัมพูชามีคำพิพากษาลงโทษ
4. ปล่อยให้กัมพูชาใช้ดินแดนบริเวณพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นที่ตั้งทางทหารยิงถล่มใส่ราษฎรไทยในอำเภอกันทรลักษ์ และหมู่บ้านอื่นๆ ในดินแดนไทย โดยที่ทหารไทยมิได้ทำการผลักดันทหารกัมพูชาให้ออกไปจากดินแดนไทย
5. ประเทศไทยไม่เคยแสดงจุดยืนในการคัดค้านคำแถลงของรัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาที่เสนอต่อคณะมนตรีแห่งสหประชาชาติ ว่าไทยรุกรานกัมพูชา
6. รัฐบาลไทยได้ยอมรับแถลงการณ์โดยประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) หลังการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศอาเซียน ที่จาการ์ตา เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554
7. รัฐบาลไทยได้ยอมรับผลการเจรจาหยุดยิงระหว่างทหารไทย-กัมพูชาโดยแม่ทัพภาคที่ 2 และเสนาธิการทหารบกกับรองผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ว่าด้วยการหยุดยิง โดยไม่มีข้อตกลงให้ทหารกัมพูชาและคนกัมพูชาที่รุกล้ำดินแดนไทยออกไปจากดินแดนที่ยึดครอง
พฤติกรรมทั้งหมดนี้ย่อมแสดงให้เห็นโดยแจ้งชัดว่า ประเทศไทยได้เสียดินแดนให้กับกัมพูชาแล้วโดยพฤตินัย การที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังดื้อด้านและดึงดันออกมาพูดปฏิเสธว่าไทยยังไม่เสียดินแดนให้กัมพูชานั้น จึงเป็นการแถลงอันเป็นเท็จ โกหก และปกปิดข้อเท็จจริงต่อประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกล่าวอ้างแถลงการณ์ของประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ว่าไม่เป็นความจริงตามที่ภาคประชาชนและกลุ่มรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ได้เปิดเผยและให้ข้อเท็จจริงแก่ประชาชน
นายอภิสิทธิ์ ไม่เคยนำข้อเท็จจริงโดยละเอียดถึงความตกลงและถ้อยแถลงดังกล่าวมาเปิดเผยต่อประชาชนแต่อย่างใด มีเพียงการกล่าวอ้างและปฏิเสธโดยเลื่อนลอย แถมยังพูดจากล่าวหาใส่ร้ายประชาชน ผู้ทำหน้าที่ออกมาปกป้องแผ่นดินเสียอีกว่าเป็นพวกเดียวกับกัมพูชาไปโน่น พฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ เช่นนี้ จึงเป็นความอัปยศอดสูที่สุด
สำหรับประเทศไทย หากประเทศไทยไม่เสียดินแดนให้แก่กัมพูชา ทำไมรัฐบาลไทยและทหารไทยจึงยังคงปล่อยให้ทหารและคนกัมพูชายึดครองแผ่นดินไทยบริเวณปราสาทพระวิหาร และตลอดแนวแดนไทย-กัมพูชาอีกหลายแห่ง โดยที่นายอภิสิทธิ์ไม่ได้ดำเนินการใดๆ จนกระทั่งบัดนี้ นอกจากคำแก้ตัวอันเลื่อนลอยและไร้ความน่าเชื่อถือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณคือนายกฯ ที่จะต้องตราหน้าจนชั่วชีวิตว่า เป็นผู้ที่ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียแผ่นดิน
ส่วนฝ่ายไทยก็อ้างสนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ร.ศ.122 (ค.ศ. 1904) และยืนยันใน ค.ศ. 1907 โดยปฏิเสธแผนที่ที่กัมพูชานำมากล่าวอ้าง โดยประเทศไทยได้ยึดถือสนธิสัญญาดังกล่าวนี้เป็นหลักกำหนดเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ตลอดมานับถึงก่อน MOU 2543 ก็เป็นเวลา 96 ปี เมื่อไทยลงนามบันทึกความเข้าใจ MOU 2543 จึงมีผลเท่ากับเป็นการยอมรับข้อกล่าวอ้างของกัมพูชาอย่างเป็นทางการและเป็นลายลักษณ์อักษร
ฝ่ายกัมพูชาโดยนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีและพวกของเขาได้พยายามที่จะกล่าวอ้างเอาแผนที่ 1:200,000 เพื่อการรุกรานและยึดครองดินแดนของไทยโดยตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชามาโดยลำดับ อย่างมีการวางแผนและมีกุศโลบายทางการเมือง การทูตระหว่างประเทศประสานกับการใช้กำลังทางทหาร โดยมีประชาชนกัมพูชาเป็นเครื่องบังหน้า บุกรุกเข้ามายึดครองที่ดินและที่ทำกินของราษฎรไทย โดยเจ้าหน้าที่รัฐของไทยและข้าราชการ นักการเมือง รวมถึงทหารผู้มีหน้าที่ปกป้องดินแดนอธิปไตยของประเทศโดยตรง ต่างปล่อยปละละเลยและเพิกเฉย ไม่ทำหน้าที่ของตนอันควรแก่การปฏิบัติเพื่อปกป้องดินแดนของไทย
และที่ซ้ำร้ายก็คือ เมื่อปัญหาตกทอดมาถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งในอดีตขณะเป็นฝ่ายค้านได้ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน ในการอภิปรายแสดงจุดยืนและความคิดเห็นคัดค้านต่อการดำเนินการของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รวมถึงคัดค้านการไปร่วมลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาของนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นอย่างเอาจริงเอาจัง กล่าวหา และประณามว่า รัฐบาลชุดก่อนมีพฤติกรรมที่ทำให้ไทยต้องสูญเสียดินแดน
บัดนี้เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ปกป้องดินแดนและอธิปไตยของประเทศนายอภิสิทธิ์ กลับมีพฤติกรรมในการแก้ไขปัญหานี้ ที่เลวร้ายและหนักหน่วง สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนจนนำมาสู่การเสียดินแดนของไทยให้แก่กัมพูชาโดยสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่บริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารเนื้อที่ประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร และกำลังจะต้องสูญเสียเพิ่มมากขึ้นอีกตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยพฤติกรรมของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ดังนี้ คือ
1. เพิกเฉยต่อการที่ทหารและประชาชนกัมพูชา ขึ้นมาสร้างวัดและตั้งฐานทางทหารบนพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และบริเวณภูมะเขือ
2. ปล่อยปละละเลยให้กัมพูชาตัดถนนจากบ้านโกมุยขึ้นมาบนภูมะเขือและปราสาทพระวิหารจนเสร็จสิ้น ทั้งที่เป็นการรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย
3. ปล่อยให้กัมพูชาจับ 7 คนไทย ในดินแดนของประเทศไทย บริเวณบ้านหนองจานไปขึ้นศาลและดำเนินคดีในศาลกัมพูชา จนศาลกัมพูชามีคำพิพากษาลงโทษ
4. ปล่อยให้กัมพูชาใช้ดินแดนบริเวณพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นที่ตั้งทางทหารยิงถล่มใส่ราษฎรไทยในอำเภอกันทรลักษ์ และหมู่บ้านอื่นๆ ในดินแดนไทย โดยที่ทหารไทยมิได้ทำการผลักดันทหารกัมพูชาให้ออกไปจากดินแดนไทย
5. ประเทศไทยไม่เคยแสดงจุดยืนในการคัดค้านคำแถลงของรัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาที่เสนอต่อคณะมนตรีแห่งสหประชาชาติ ว่าไทยรุกรานกัมพูชา
6. รัฐบาลไทยได้ยอมรับแถลงการณ์โดยประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) หลังการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศอาเซียน ที่จาการ์ตา เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554
7. รัฐบาลไทยได้ยอมรับผลการเจรจาหยุดยิงระหว่างทหารไทย-กัมพูชาโดยแม่ทัพภาคที่ 2 และเสนาธิการทหารบกกับรองผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ว่าด้วยการหยุดยิง โดยไม่มีข้อตกลงให้ทหารกัมพูชาและคนกัมพูชาที่รุกล้ำดินแดนไทยออกไปจากดินแดนที่ยึดครอง
พฤติกรรมทั้งหมดนี้ย่อมแสดงให้เห็นโดยแจ้งชัดว่า ประเทศไทยได้เสียดินแดนให้กับกัมพูชาแล้วโดยพฤตินัย การที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังดื้อด้านและดึงดันออกมาพูดปฏิเสธว่าไทยยังไม่เสียดินแดนให้กัมพูชานั้น จึงเป็นการแถลงอันเป็นเท็จ โกหก และปกปิดข้อเท็จจริงต่อประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกล่าวอ้างแถลงการณ์ของประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ว่าไม่เป็นความจริงตามที่ภาคประชาชนและกลุ่มรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ได้เปิดเผยและให้ข้อเท็จจริงแก่ประชาชน
นายอภิสิทธิ์ ไม่เคยนำข้อเท็จจริงโดยละเอียดถึงความตกลงและถ้อยแถลงดังกล่าวมาเปิดเผยต่อประชาชนแต่อย่างใด มีเพียงการกล่าวอ้างและปฏิเสธโดยเลื่อนลอย แถมยังพูดจากล่าวหาใส่ร้ายประชาชน ผู้ทำหน้าที่ออกมาปกป้องแผ่นดินเสียอีกว่าเป็นพวกเดียวกับกัมพูชาไปโน่น พฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ เช่นนี้ จึงเป็นความอัปยศอดสูที่สุด
สำหรับประเทศไทย หากประเทศไทยไม่เสียดินแดนให้แก่กัมพูชา ทำไมรัฐบาลไทยและทหารไทยจึงยังคงปล่อยให้ทหารและคนกัมพูชายึดครองแผ่นดินไทยบริเวณปราสาทพระวิหาร และตลอดแนวแดนไทย-กัมพูชาอีกหลายแห่ง โดยที่นายอภิสิทธิ์ไม่ได้ดำเนินการใดๆ จนกระทั่งบัดนี้ นอกจากคำแก้ตัวอันเลื่อนลอยและไร้ความน่าเชื่อถือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณคือนายกฯ ที่จะต้องตราหน้าจนชั่วชีวิตว่า เป็นผู้ที่ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียแผ่นดิน