xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ปชป.เล่นเกมหวังชนะพันธมิตรฯ ไทยถลำลึกเสียเปรียบเขมร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในที่สุดประเทศไทยก็ตกอยู่ในสถานภาพที่เสียเปรียบในการเจรจาต่อรองเรื่องเขตแดนกับกัมพูชา ลงไปอีกขั้น เมื่อศาลกัมพูชามีคำพิพากษาจำคุกนายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนไพบูลย์ โดยไม่รอลงอาญา ในข้อหาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย บุกรุกเขตทหาร และจารกรรมข้อมูล

เป็นการตอกย้ำถึงอำนาจของศาลกัมพูชาที่มีเหนืออธิปไตยไทยบริเวณบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว จุดที่คนไทย 7 คน ถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวไป เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 โดยที่ฝ่ายไทยไม่ได้แสดงการคัดค้านแต่อย่างใดเลย

มิหนำซ้ำฝ่ายไทยยังพยายามสร้างพยานหลักฐานเข้าข้างกัมพูชา ทั้งจากคำให้สัมภาษณ์ และการชี้แจงผ่านสถานีโทรทัศน์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ รวมถึงนายศิริโชค โสภา คนให้ชิดนายอภิสิทธิ์ ที่พยายามตอกย้ำว่า คนไทยถูกจับในเขตแดนของกัมพูชา

นับเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างยิ่ง เมื่อมีคนของประเทศตัวเองถูกจับในพื้นที่ที่ยังเป็นข้อพิพาทไม่มีรัฐบาลของประเทศไหนที่จะไปบอกว่า คนของตัวเองรุกล้ำเข้าไปในเขตแดนของประเทศคู่กรณี อันจะทำให้ฝ่ายตัวเองต้องเสียเปรียบในการเจรจาต่อรอง

แต่พฤติกรรมของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมา ล้วนแต่เป็นการสร้างความได้เปรียบให้กับคู่ต่อสู้ทั้งสิ้น นั่นเพราะว่า เวลานี้เป้าหมายการต่อสู้ของรัฐบาลประชาธิปัตย์ ไม่ใช่ประเทศกัมพูชา หากแต่เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้ออกมาชุมนุมยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล 3 ข้อ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนไทย-กัมพูชา นั่นคือ 1.ให้รัฐบาลยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำเขตแดนทางบก พ.ศ.2543 หรือ เอ็มโอยู.43 2.ให้ถอนตัวจากการเป็นภาคีมรดกโลก และ 3.ให้ผลักดันชาวกัมพูชาที่บุกรุกดินแดนไทยออกไปทั้งหมด

ข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อ ล้วนเป็นการประจานถึงความผิดพลาดของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในอดีตและปัจจุบันทั้งสิ้น จึงถูกปฏิเสธทันทีตั้งแต่เริ่มการชุมนุมเมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา และสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำคือพยายามเอาชนะเหตุผลของฝ่ายพันธมิตรฯ ให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม และไม่สนใจว่าจะทำให้ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบกัมพูชาหรือไม่

ในข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อของพันธมิตรฯ นั้น การยกเลิก เอ็มโอยู.2543 ถือเป็นหัวใจหลัก เนื่องจากเป็นตัวการที่ทำให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชา เพราะการรับรองแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ฝรั่งเศสเขียนขึ้นเอง อันจะนำมาซึ่งการสูญเสียพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร และ 1.8 ล้านไร่ตามแนวชายแดน

นอกจากนี้ เอ็มโอยู.2543 ยังเป็นผลงานที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ทำไว้เมื่อ 10 ปีก่อน รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จึงไม่ยอมยกเลิกให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องเสียหน้า แม้ว่าจะมีกระแสเรียกร้องมาตั้งแต่ปี 2552 แล้วก็ตาม และกระบวนการปกป้อง เอ็มโอยู.2543 ก็เกิดขึ้นมาโดยตลอด

เหตุการณ์ที่นายพนิช วิกิตเศรษฐ ส.ส.กรุเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายวีระ สมความคิด ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ และคนไทยอีก 4 คนรวมเป็น 7 คน ถูกทหารกัมพูชาจับกุมที่จังหวัดสระแก้วเมื่อวันที่ 29 ธันวาคมนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของเอ็มโอยู.43 เพราะรัฐบาลไม่สามารถใช้ข้อตกลงที่มีในเอ็มโอยู.นี้ เปิดเจรจาขอให้กัมพูชาปล่อยตัว 7 คนไทยได้ แต่กลับปล่อยให้ฝ่ายกัมพูชา นำตัวทั้ง 7 คน ไปขึ้นศาลที่กรุงพนมเปญอย่างง่ายดาย โดยไม่มีการประท้วงใดๆ ทั้งสิ้น

หลังจากการจับกุม 7 คนไทย แทนที่รัฐบาลจะพยายามหาทางช่วยให้คนไทยทั้ง 7 คนได้รับการปล่อยตัวโดยเร็ว และยืนยันที่จะไม่ให้นำตัวขึ้นศาล นายอภสิทธิ์กลับยังเพลิกเพลินในการไปเที่ยววันหยุดปีใหม่ ขณะที่คนในรัฐบาลเองตั้งแต่รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คนใกล้ชิดนายกฯ อย่างนายศิริโชค โสภา กลับพยายามออกมาให้ข่าวว่า ทั้ง 7 คน ถูกจับในเขตแดนกัมพูชา เพื่อที่จะไม่ให้ถูกมองว่ากรณีนี้เป็นความล้มเหลวของเอ็มโอยู.2543

แต่หลังจากที่ฝ่ายพันธมิตรฯ นำชาวบ้านซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในบริเวณที่ 7 คนไทยถูกจับ อาทิ นายนีรนุช เกตุธาตุ นายนิติพัทธ์ เสมาทอง นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)บ้านใหม่หนองไทร อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ออกมาแสดงตัว พร้อมนำเอกสารสิทธิ์มายืนยันว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตไทยและเคยเป็นที่ดินทำกินของพวกเขามาก่อน แต่ถูกให้ออกจากพื้นที่ในช่วงที่มีการตั้งศูนย์อพยพผู้ลี้ภัยสงครามจากกัมพูชาระหว่างปี 2518-2522

รัฐบาลได้แก้เกมด้วยการเรียกชาวบ้านเหล่านั้นไปพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเกลี้ยกล่อมไม่ให้พูดว่า จุดที่คนไทยทั้ง 7 คนถูกจับนั้นอยู่ในเขตไทย เพราะเกรงจะส่งผลกระทบต่อการช่วยให้คนไทยทั้ง 7 คนได้รับการปล่อยตัวออกมาโดยเร็ว ส่วนเรื่องที่ดินทำกินนั้น รัฐบาลจะมีการรังวัดและช่วยให้ได้คืนในภายหลัง ซึ่งชาวบ้านก็หลงเชื่อ ยอมหยุดการให้ข่าวต่อสื่อมวลชน

แต่ก็ถูกรัฐบาลหักหลังในเวลาต่อมา เมื่อนายศิริ ออกมาแถลงว่า บริเวณที่คนไทยถูกจับ และบ่อน้ำที่สหประชาชาติขุดขึ้นมาเพื่อใช้ในศูนย์อพยพนั้น อยู่ในพื้นที่ของกัมพูชา
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่เปิดเผยภายหลังว่า ในระหว่างการดำเนินคดีนั้น กระ
ทรวงการต่างประเทศได้นำแผนที่ไปให้คนไทยทั้ง 7 คนดู โดยบอกว่า จุดที่ถูกจับกุมนั้น ล้ำแดนกัมพูชาเข้าไป 55 เมตร เพื่อเกลี้ยกล่อมให้รับสารภาพ

ด้วยเหตุนี้ คำพิพากษาของศาลกัมพูชาที่ตัดสินคดี 5 คนที่ถูกตั้งข้อหาลักลอบเข้ามืองและบุกรุกเขตทหาร จึงระบุลงไปว่า ทั้ง 5 คน ทำผิดจริง ซึ่งก็เท่ากับว่าคนไทยรุกล้ำเขตแดนกัมพูชา อันจะส่งผลให้ไทยต้องเสียเปรียบในการเจรจาเขตแดน เพราะการที่คนไทยยอมรับคำพิพากษานี้จะถูกฝ่ายกัมพูชานำไปอ้างอิงในขั้นตอนต่อไปอย่างแน่นอน

แม้ว่านายอภิสิทธิ์จะแถลงในเวลาต่อมาว่าคำพิพากษาของศาลกัมพูชาจะไม่ผูกพันกับการเจรจาเขตแดน และฝ่ายเราไม่ยอมรับคำพิพากษานั้น แต่จนขณะนี้ เวลาผ่านไป 2 สัปดาห์เศษ หลังจากการอ่านคำพิพากษา ก็ยังไม่มีหนังสือคัดค้านคำพิพากษานั้นจากรัฐบาลไทยแต่อย่างใด

เท่านั้น ยังไม่พอ ยังมีการเดินเกมต่อไป เพื่อจะเอาชนะพันธมิตรฯ ให้ได้ ด้วยการนำนายธารา ศิลาเวียง พ่อค้าวัวควายตามแนวชายแดนไทย-เขมร ที่เกิดที่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี เข้าพบนายอภิสิทธิ์ที่ทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 31 ม.ค. ก่อนที่ศาลกัมพูชาจะตัดสินคดีนายวีระ และนางสาวราตรีเพียง 1 วัน แล้วมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า บ่อน้ำยูเอ็นที่บ้านหนองจานนั้นอยู่ในเขตกัมพูชา และในที่สุดศาลกัมพูชาก็ตัดสินว่าทั้งนายวีระและนางสาวราตรีมีความผิด ต้องโทษจำคุก 8 ปีและ 6 ปีตามลำดับ เป็นการตอกย้ำว่าคนไทยทั้ง 2 คนรุกล้ำเขตแดนเขมร

จึงเห็นได้ชัดว่า เกมที่รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์พยายามจะเอาชนะพันธมิตรฯ ให้ได้นั้น ได้ทำให้ประเทศไทยเพิ่มความเสี่ยงที่จะสูญเสียดินแดนให้กัมพูชาหนักข้อขึ้นไปอีก
กำลังโหลดความคิดเห็น