xs
xsm
sm
md
lg

“ปานเทพ” ชี้เขมรแถลงประจาน MOU ชัด ยันชงแนวแก้แล้วแต่รัฐไม่ทำ สับนายกฯ ดีแต่สร้างภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โฆษกพันธมิตรฯ ชี้ 2 วันผ่านไป กระทรวงการต่างประเทศยังไม่โต้เขมร ชักสงสัยไร้ความสามารถ ยันแถลงเพื่อนบ้านประจานเอ็มโอยู 43 ชัด จี้รัฐรับผิดชอบ ถามรัฐรวบ “การุณ” คดีชุมนุมสนามบินเป็นเกมการเมืองหรือไม่ แนะนายกฯ กดดันแขมร์ทุกรูปแบบใน 3 วัน เย้ยขี้ขลาด สร้างภาพ “ลุงจำลอง” สับนายกฯ จอมแถ จะทำเสียดินแดนอุบลฯ ยันตราด ชี้เคยเสนอทางออกแต่รัฐไม่ทำเอง จวก “มาร์ค” หมดปัญญา



 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง "อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ให้สัมภาษณ์  

วันนี้ (3 ก.พ.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ของกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ที่ตอบโต้รัฐบาลไทยและยืนยันว่าจะไม่รื้อถอนวัดแก้วสิขาคีรีสวาระโดยอ้าง MOU 2543 ว่า นับถึงวันนี้ผ่านมา 2 วันแล้ว ยังไม่พบว่าการตอบโต้จากกระทรวงการต่างประเทศของไทยแต่อย่างใด ทำให้มีความเคลือบแคลงสงสัยว่า กระทรวงการต่างประเทศของไทยไม่มีความสามารถในการตอบโต้ หรือล่าช้า โดยไม่สนใจแถลงการณ์ดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งตนเห็นว่าแถลงการณ์ดังกล่าวของกัมพูชามีความหมายมาก เพราะเป็นการประจานความล้มเหลวของ MOU 2543 อย่างชัดเจน เนื่องจากคำพิพากษาของศาลโลก เมื่อปี 2505 ตัดสินกรรมสิทธิ์เฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น ทำให้กัมพูชาไม่สามารถใช้คำบรรยายคำฟ้องที่ระบุถึงแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ในเวทีใดได้อีก จนเมื่อปี 2543 ที่มี MOU ขึ้นมา ทางกัมพูชาได้ขยายผลนำคดีปราสาทพระวิหารมาอ้างการใช้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าไทยเสียเปรียบ แถลงการณ์ล่าสุดของกัมพูชาได้มีการนำข้อตกลงข้อ 1 (ค.) ที่ระบุถึงแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ผนวกกับคำบรรยายคำฟ้องคดีปราสาทเขาพระวิหาร เพื่อให้ประเทศไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เป็นกรอบการเจรจาในทุกเวที โดยนำไปอธิบายกับนานาชาติ ผ่านคณะกรรมการมรดกโลกว่าไทยและกัมพูชายึดถือแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 เพียงอย่างเดียว เป็นการประจานความล้มเหลวของ MOU 2543 แต่กลับไม่มีการตอบโต้จากรัฐบาลไทย

“หากรัฐบาลไทยไม่สามารถโต้แย้งได้โดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ รัฐบาลก็ควรรับผิดชอบกับความผิดพลาดของ MOU 2543 ในครั้งนี้” นายปานเทพกล่าว

ในส่วนกรณีการที่นายการุณ ใสงาม แกนนำเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ถูกจับกุมที่สนามบินสุวรรณภูมินั้น นายปานเทพกล่าวว่า แม้ว่าจะมีหมายจับอยู่ แต่ช่วงเวลาการจับกุมมีความหมายมาก เพราะขณะนี้นายการุณเป็นหนึ่งในคณะทนายต่อสู้คดีให้ 2 คนไทยที่ถูกศาลกัมพูชาตัดสินให้จำคุกอยู่ แต่รัฐบาลกลับเลือกเวลานี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้หลายเดือนไม่มีการจับกุม จึงขอตั้งข้อสงสัยว่าเป็นเกมการเมืองหรือไม่ หรือต้องการที่จะสกัดการต่อสู้ในชั้นศาลของนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์

ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวเสริมว่า กลุ่มพันธมิตรฯ บอกมานานแล้วว่าแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ฝรั่งเศสเจ้านายของกัมพูชาจัดทำฝ่ายเดียวโดยไม่ได้รับการยอมรับจากไทย ซึ่งทำให้ไทยเสียเปรียบนั้น มีเพียงนายกฯ อภิสิทธิ์ คนเดียวที่ออกมาเถียงข้างๆ คูๆ ว่าไม่ยอมรับ แต่กลับไม่ยกเลิก MOU 2543 เมื่อกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาทำแถลงการณ์ฉบับที่ 2 มาจึงเป็นการสำทับว่าทางกัมพูชายึดถือแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งไม่ใช่ว่าไทยจะเสียเฉพาะพื้นที่ 4.6 ตร.กม.หรือที่บ้านหนองจานเท่านั้น ยังจะมีโอกาสในการเสียพื้นที่อีกมหาศาลทั้งแต่ จ.อุบลราชธานียัน จ.ตราด ไม่ต่ำกว่า 1.8 ล้านไร่ รวมทั้งพื้นที่ในทะเล ซึ่งมากจากความดื้อด้านดึงดันที่ไม่เข้าท่าของนายกฯอภิสิทธิ์

เมื่อถามถึงกรณีที่นายกฯ อภิสิทธิ์ ย้อนถามกลุ่มพันธมิตรฯ ถึงวิธีการนำตัว 2 คนไทยกลับจากกัมพูชา พล.ต.จำลองกล่าวว่า เราบอกวิธีมานานแล้วกลับไม่ทำ แล้ววันนี้มาถามหาอะไร โดยกลุ่มพันธมิตรฯ เคยบอกก่อนเกิดเหตุ 7 คนไทยไว้ตั้งแต่ 6 พ.ย.52 ว่าหากรัฐบาลปล่อยไว้เช่นนี้จะทำให้ไทยเสียดินแดน ดังนั้นจึงต้องยกเลิกสัญญาต่างๆ ที่ทำไว้กับกัมพูชา ซึ่งทำให้ไทยเสียเปรียบทั้งหมด รัฐบาลก็ไม่ทำ รวมไปถึงข้อเสนอทั้ง 3 ข้อของเราก็ไม่ได้รับการตอบสนอง เราได้ประชุมและเสนอว่าให้ประกาศอย่างแข็งกร้าวว่า ไม่ยอมรับการตัดสินของศาลกัมพูชา เนื่องจากมาจับคนไทยในดินแดนไทย พร้อมทั้งให้ส่งตัว 7 คนไทยกลับมาอย่างไม่มีเงื่อนไข รัฐบาลก็เพิกเฉย การที่นายกฯ อภิสิทธิ์ถามหามาตรการเช่นนี้ แสดงว่าไม่มีปัญญาเป็นนายกฯ แล้ว

นายปานเทพกล่าวว่า สิ่งที่ง่ายที่สุดคือ ยึดคำพูดของนายกฯ อภิสิทธิ์ เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.53 ว่า 7 คนไทยไม่สมควรเข้าสู่กระบวนการศาลกัมพูชา ดังนั้น ใน 3 วันนี้ นายกฯ อภิสิทธิ์ต้องทำทุกมาตรการในกดดันกัมพูชาทุกรูปแบบให้กัมพูชาปล่อยตัวคนไทยโดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อนายกฯ อภิสิทธิ์เป็นคนผูกปมไว้เองก็ต้องแก้ด้วยตัวเอง การที่ปล่อยให้มีการพิพากษา 7 คนไทย โดยเฉพาะ 2 คนไทยที่เหลือ ซึ่งอ้างข้อหาจารกรรมและความผิดว่าล้ำเขตแดนกัมพูชา หากไทยต่อสู้ตั้งแต่แรกว่า 7 คนไทยไม่ล้ำแดนกัมพูชา ไม่เพียงช่วยนายวีระ และน.ส.ราตรี ได้ แต่จะช่วยให้ 7 คนไทยไร้มลทินด้วย นอกจากไม่ยืนหยัดในประเด็นเขตแดนแล้วยังมีการสร้างหลักฐานเป็นโทษกับทั้ง 7 คนไทยอีกด้วย เพราะฉะนั้น รัฐบาลต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งมาตรการมีมากมายทั้งการกดดัน การเจรจา การผลักดันชุมนุมกัมพูชา หรือบังคับใช้กฎหมายบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาเพื่อตอบโต้บ้าง ซึ่งรัฐบาลก็ไม่ทำ

“ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะนายกฯ อภิสิทธิ์ ไม่รู้ แต่ปัญหาอยู่ที่วิธีคิด และการตัดสินใจที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ ต้องการรักษาภาพนักสันติวิธี แต่ไม่สามารถปกป้องอธิปไตยของชาติได้ เมื่อแก้ปัญหาไม่ได้ก็ต้องแก้ที่ตัวนายกฯ ที่ควรพิจารณาตัวเอง” นายปานเทพกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น