ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - และแล้วศาลกัมพูชาก็ได้ตัดสินพิพากษาจำคุก นายวีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ 8ปี และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา ใน 3ข้อหาหนัก ได้แก่ 1. เข้าประเทศกัมพูชาโดยผิดกฎหมาย 2. บุกรุกเข้าพื้นที่ทหารโดยไม่ได้รับอนุญาต และเจตนารวบรวมข่าวสารที่กระทบต่อความมั่นคงของกัมพูชา หรือ "จารกรรมข้อมูล" ส่งผลให้ในขณะนี้ทั้ง 2 คน ต้องสิ้นอิสรภาพทันที และยังต้องถูกกักตัวอยู่ในเรือนจำเปรย์ซอว์ ประเทศกัมพูชา ซึ่งก็ยังไม่สามารถคาดเดาชะตากรรมต่อจากนี้ได้ ว่าจะได้กลับออกมาเหยียบแผ่นดินไทยอีกเมื่อใด
หากใครได้ติดตามข่าวสารแต่แรกเริ่มก็จะทราบดีว่า คนไทยทั้ง7คนได้ลงไปตรวจสอบพื้นที่ชายแดนบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ที่ได้รับความเดือนร้อนจากการถูกทางการกัมพูชารุกล้ำเข้ามายึดครอง ซึ่งพื้นที่บริเวณดังกล่าวยังมีหลักฐานของชาวบ้านจำนวนมากที่มีโฉนดที่ดินและเสียภาษีอย่างถูกต้อง โดยที่ผ่านมาได้เคยร้องเรียนมาแล้วหลายรัฐบาล มาจนถึงรัฐบาลในชุดของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ
ทั้งนี้ หากพูดอย่างเลวร้ายที่สุดก็ต้องบอกว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นเส้นเขตแดนจุดที่ 46-48 ระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งยังไม่ได้ปักปันเขตแดนอย่างเป็นทางการ กรณีนี้ไม่ต่างจาก ปล่อยโจรเข้ามาในบ้านและจับคนในบ้าน ก็ไม่ผิดเพี้ยนไปนัก
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ต้องถูกตำหนิมากที่สุด จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากรัฐบาลเอง เพราะทั้งท่าทีและวาทกรรมของคนในรัฐบาลตั้งแต่เริ่มแรกจนมาถึงวันนี้ไล่เรียงกันมาตั้งแต่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มาจนถึงนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ล้วนออกมาเป็นโทษต่อคนไทย ที่เป็นเหยื่อของฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาทั้งสิ้น และที่ลืมไม่ลงก็คือดันไประบุว่าพื้นที่บริเวณที่คนไทยถูกจับกุมเป็นของดินแดนกัมพูชาหน้าตาเฉย ต่อมาภายหลัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังออกมาอธิบายขยันผลิตคำเท่ห์ๆว่าบริเวณที่คนไทยถูกจับเป็น แนวเขตปฏิบัติการ แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ต่างกันก็คือคนไทยยังล้ำดินแดนกัมพูชาอยู่วันยังค่ำ และให้ยอมรับคำตัดสินของศาลกัมพูชาแต่โดยดี ที่สำคัญจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการลงพื้นที่ไปตรวจสอบก่อนว่าบริเวณนั้นเป็นของใครกันแน่
คำพิพากษาของศาลกัมพูชาที่ออกมา นอกจากจะสร้างความเจ็บปวดสลดใจให้กับประชาชนที่รักชาติ รักแผ่นดินแล้ว แน่นอนว่าจะต้องถูกฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นำไปอ้างอิงคำพูดของผู้นำรัฐบาลไทยในเรื่องเขตแดนในบริเวณนั้น ซึ่งจะส่งผลให้การรุกล้ำเข้ามาได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ จนทำให้ปัญหาลุกลามบานปลายไปสู่ความสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดนอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตามการที่จัดการปิดปากนายวีระไว้ในเรือนจำเปรย์ซอว์ แน่นอนว่าย่อมเป็นผลดีกับนายอภิสิทธิ์และนายฮุนเซน เพราะอย่างน้อยก็สามารถทำให้ประเด็นข้อเท็จจริงต่างๆ ที่นายวีระจะออกมาขุดคุ้ยเปิดเผยข้อมูลความเป็นจริงของเรื่องเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศ ต้องหยุดชะงักลงไป
ที่สำคัญคือผลของรูปคดีดังกล่าวยังสามารถตอกย้ำให้ชัดเจนอีกว่า คนไทยไปรุกล้ำดินแดนเขมรจริง ที่ถึงแม้ว่านายอภิสิทธิ์และคณะรัฐบาลไทย จะออกมาประสานเสียงว่าไม่มีผลผูกพันกับเรื่องความได้เปรียบและเสียเปรียบในเรื่องเขตแดนข้อพิพาท นั้นก็เป็นเพียงคำพูดเพียงฝ่ายเดียวของรัฐบาลไทยเท่านั้น
แต่ถ้านายอภิสิทธิ์ไม่แกล้งโง่ไปนัก ก็จะทราบดีว่า ไม่มีทางที่คนเจ้าเล่ห์ อย่างฮุนเซน ไม่มีทางที่จะไม่หยิบยกคำพิพากษานำไปเป็นข้อต่อรองเรื่องดินแดน หากมีการถกข้อพิพาทกันในเรื่องดังกล่าวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งคาดเดาไม่ยากว่าเมื่อความได้เปรียบตกมาถึงมือแล้ว คนอย่างฮุนเซนจะนำไปขยายผลเพื่อประโยชน์ของตัวเองอย่างแน่นอน
ร้ายไปกว่านั้นก็คือ บนความเจ็บปวดของคนไทยด้วยกันเองที่เกิดความเห็นใจในชะตากรรมของคนไทยด้วยกัน และรอคอยว่าจะได้รับการช่วยเหลือด้วยวิธีใดต่อจากนี้ กลับถูกแปลงเป็นประเด็นโจมตีฝ่ายตรงข้ามหน้าตาเฉยจากนายอภิสิทธิ์
กล่าวคือ ขณะที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ยื่นข้อเสนอกับรัฐบาลว่าต้องนำตัวทั้งสองคนกลับประเทศโดยเร็วที่สุด โดยให้เวลารัฐบาล 3 วัน ซึ่งถ้าไม่มีการตอบรับจากรัฐบาลจะยกระดับการชุมนุมในวันที่ 5 ก.พ. แทนที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์จะออกมาตรการการตอบโต้กับทางฝ่ายกัมพูชา กลับมีคำสัมภาษณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้นย้อนกลับมาถามพันธมิตรฯ จากบุคคลที่ถูกเรียกว่าผู้นำประเทศอย่างนายอภิสิทธิ์ว่า “จะให้ช่วยแบบไหน”
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วนี่คือหน้าที่โดยตรงของนายอภิสิทธิ์ มิใช่ตะแบงโยนบาปให้กับบุคคลอื่นเมื่อหมดปัญญาหรือไร้ความสามารถในการช่วยนายวีระและนางราตรี
แถมยังบิดเบือนข้อมูลใส่พันธมิตรฯ อีกต่างหากว่า “ผมมุ่งในการช่วยเหลือ 2 คนนี้ แต่ใครจะเอามาเล่นการเมือง ผมก็ห้ามไม่ได้ แต่ผมให้ความจริงว่าการช่วยเหลือของเราที่ผ่านมา เราช่วยทั้ง 7 คน บังเอิญว่า 2 คน มีข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งเป็นเรื่องที่อาจจะเป็นโชคไม่ดีเรื่องกล้องที่ว่า"
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วนี่คือการความรับผิดชอบของรัฐบาล ไม่ใช่ด้วยการเล่นเกมโยนบาปให้กับพันธมิตรฯ อย่างแนบเนียนว่าพันธมิตรฯ นำประเด็นคนไทยถูกจับมาเป็นเงื่อนไขทางการเมืองอีกต่างหาก ซึ่งประชาชนที่เข้าใจประเด็นนี้เพียงผิวเผินย่อมเข้าใจไปในทางที่ นายอภิสิทธิ์ เดินเกมอะไรบางอย่างไว้
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วรัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะต้องเร่งรีบออกมาตรการตอบโต้ทางใดทางหนึ่งตั้งแต่แรก ซึ่งกาลเวลาก็พิสูจน์แล้วว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากให้ก้มหน้าก้มตาดูกัมพูชาย่ำยีไทย ทั้งพฤติกรรมและวาจาเรื่อยมาโดยตลอด โดยหลงลืมไปว่าทั้งคำพูดในเรื่องการรุกล้ำและการให้ยอมรับศาลกัมพูชาตั้งแรกมันถือว่าทุกอย่างได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนฮุนเซนแล้ว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า หลังจากนี้จะทั้ง 2 ประเทศจะมีปฏิบัติการช่วยนายวีระ และนางราตรี อาจด้วยช่องทางได้รับการขอพระราชทานอภัยโทษ จาก กษัตริย์นโรดม สีหมุนี ของกัมพูชา เหมือนกรณีนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทย ที่ต้องโทษจำคุก 7 ปี ก็หนีไม่พ้นว่าไทยเหมือนไปติดหนี้กัมพูชาที่ให้การช่วยเหลืออยู่วันยังค่ำ แต่ถึงอย่างไรนายวีระก็ได้ยืนยันประกาศชัดว่าจะไม่ยอมรับการอภัยโทษเด็ดขาด เพราะนั้นหมายความว่า ยอมรับว่าไทยล้ำดินแดนแต่โดยดี และทราบดีด้วยซ้ำว่าไม่ต้องการตกเป็นเหยื่อในเกมของใคร
กระนั่นก็ดีช่องทางหนึ่งที่น่าสนใจที่ช่วยเหลือนายวีระและนางราตรีก็ใช่ว่าจะหมดไปเสียทีเดียว ดังเช่นแนวทางของนายเจริญ คัมภีรภาพ นักวิชาการด้านกฎหมายระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ได้เสนอแนะว่า "สิ่งที่นายวีระจะทำได้ในขณะนี้ คือ ต้องฟ้องร้องรัฐบาลกัมพูชาต่อศาลระหว่างประเทศ หรือศาลสิทธิมนุษยชน ในข้อหาที่ถูกกัมพูชาควบคุมตัวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย กรณีนี้ถือว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ซึ่งศาลก็จะพิจารณาว่าเกิดอะไรขึ้น กรณีนี้ไม่ใช่การหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย แต่เป็นกรณีพิพาทเรื่องเขตแดน ซึ่งทางกัมพูชาไม่มีสิทธิควบคุมตัว ไม่มีสิทธิตัดสิน จะนำไปสู่การที่ทั้งทางกัมพูชาและไทยต้องจ่ายค่าชดเชยให้นายวีระ และน.ส.ราตรี เชื่อว่าถ้านายวีระนำเรื่องนี้ฟ้องศาลระหว่างประเทศจะมีโอกาสชนะอย่างแน่นอน ขณะที่รัฐบาลไทยที่ไปยอมรับอำนาจอธิปไตยของศาลกัมพูชาก็มีความผิดเช่นกัน ถือว่าร่วมกันกระทำความผิดปล่อยให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน"
"สิ่งที่รัฐบาลไทยทำได้ในขณะนี้ คือ ต้องเรียกร้องให้ทางกัมพูชาปล่อยตัวนายวีระ และน.ส.ราตรี โดยไม่มีเงื่อนไข และต้องบอกว่าเอ็มโอยู 2543 นั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญของกัมพูชาในมาตรา 2 จะมาบังคับใช้ในการพิพากษาคดีไม่ได้"
และไม่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนี้จะจบลงอย่างไร แต่ผลที่เกิดขึ้นก็เสมือนว่าได้ฆ่านายวีระ และนางราตรี ให้ตายทั้งเป็นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากผลการกระทำและคำพูดของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยตลอดมา และในฐานะผู้นำประเทศก็ควรจะต้องรับผิดชอบต่อเรื่องดังกล่าวอีกเช่นกัน แต่ผลร้ายที่ตามมาแล้วก็คือคำพิพากษาที่ออกมาไม่ต่างจากค่ามัดจำล่วงหน้ากลายๆ แล้วว่า ไทยได้เสียดินแดนให้แก่กัมพูชาไปเรียบร้อยแล้ว