xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” ชนะได้กอดเอ็มโอยู แต่ไทยเสียดินแดนถาวรให้เขมร!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่รัฐบาลไทยในยุคพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ “จงใจ” ทำให้เกิดการสูญเสียอธิปไตยตามแนวชายแดนให้กับกัมพูชาเพิ่มอีกนับล้านไร่ เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเพียงแค่ “ความดื้อรั้น” ต้องการเอาชนะภาคประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านความไม่ถูกต้องจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจในเรื่องการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาปี 2543 (เอ็มโอยู 43) เท่านั้น

เหตุผลที่เรียกว่าเป็นการจงใจของรัฐบาลไทย ของนายกฯ อภิสิทธิ์ เพียงแค่ต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ผลจากการลงนามในเอ็มโอยูดังกล่าวทำให้ฝ่ายกัมพูชากลับมาเจรจา “ทวิภาคี” อีกครั้งตามที่ตัวเองได้ได้อ้างเอาไว้เท่านั้น หรือทำให้ฝ่ายกัมพูชากลับเข้ามาสู่โต๊ะเจรจา โดยไม่สนใจในเรื่องความเสียเปรียบของไทยที่ต้องถูกกำหนดให้ยอมรับแผนที่ในอัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 หรือไม่

ไม่สนใจว่า นี่คือการเดินไปตามเกมของฝ่ายรัฐบาลกัมพูชาที่กำหนดเอาไว้เป็นแผนขั้นที่ 1-2-3 มาตลอดหรือไม่

ผลจากการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของกลุ่มประเทศอาเซียนที่อินโดนีเซียเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยอมรับให้ทหารอินโดฯ เข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่ทั้งสองประเทศคู่กรณีคือไทยและกัมพูชาฝั่งละ 15 คน สนับสนุนให้มีการเจรจาหยุดยิงถาวรต่อไป

สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นชัยชนะอีกขั้นของฝ่ายกัมพูชา ที่สามารถดึงเอาองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซงกรณีพิพาทได้สำเร็จ แม้ว่าจะไม่อาจดึงเอากองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติเข้ามาดังที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกก็ตาม แต่การที่ผลักดันให้องค์กรอาเซียนเข้ามาตรวจสอบในพื้นที่ พร้อมทั้งเตรียมขยายผลนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลกเพื่อให้ตีความคำพิพากษาว่า ครอบคลุมไปถึงพื้นที่รอบปราสาทในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรด้วยหรือไม่

หลังจากก่อนหน้านี้ได้ยืนยันและอ้างอิงประกอบมาตลอดเวลาว่า เอ็มโอยู 43 ที่รัฐบาลไทยเคยลงนามร่วมกันนั้น หมายถึงการยอมรับแผนที่ในอัตราส่วนดังกล่าวด้วย ซึ่งที่ผ่านมาฝ่ายไทยไม่เคยโต้แย้งในประเด็นนี้ มีเพียงคำอ้างถึงผลดีของเอ็มโอยูว่าทำให้เกิดการเจรจาทวิภาคี ซึ่งความหมายก็คือ ฝ่ายไทยได้ “กอดเอ็มโอยู” เอาไว้แน่น ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิดมาตลอด เพราะมีการรุกล้ำเข้ามาสร้างชุมชน สิ่งก่อสร้างถาวรวัตถุเช่น ถนน วัด ฐานที่มั่นทางทหารอยู่ตลอดเวลา ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร

สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในที่ประชุมอาเซียนที่ผ่านมา ไทยไม่ได้ยืนยันในประเด็นการรุกล้ำดินแดนของฝ่ายกัมพูชา เหมือนกับเป็นการยกเลิกการสงวนสิทธิ์ตรงนี้ออกไป และการยอมให้ทหารของอินโดนีเซียเข้ามาเป็น “ผู้สังเกตการณ์หยุดยิง” โดยที่ยังไม่ผลักดันทหารและชุมชนกัมพูชาออกไปก่อน มันก็ไม่ต่างจากการเข้ามาเป็นสักขีพยานในการรุกล้ำเข้ามายึดดินแดนไทยอย่างถาวร

ในขั้นต่อไปเมื่อมีการเจรจาแบบทวิภาคีตามที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องการ นั่นก็ย่อมหมายความว่าจะต้องมีการเจรจาแบ่งดินแดนไทยนั่นเอง เพราะที่ผ่านมาไทยไม่เคยอ้างสิทธิ์พื้นที่ตรงนั้น อย่างมากก็แค่ระบุว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนหรือพื้นที่พิพาท ทั้งที่เป็นของไทยชัดเจนยกเว้นตัวปราสาทพระวิหารที่ไทย “เสียท่า” มหาอำนาจพ่ายแพ้ในศาลโลกเมื่อปี 2505

นอกจากนี้ อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องพิจารณาตามมาก็คือ การขยายผลของฝ่ายกัมพูชาในเวทีมรดกโลกอีกครั้งกรณีพื้นที่โดยรอบปราสาทกลายเป็นเขตสันติภาพ สามารถนำไปสู่การยอมรับแผนบริหารจัดการตามเงื่อนไขของยูเนสโก ซึ่งเป็นการขยายผลต่อเนื่องมาจากการส่งเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์จากอาเซียนเพื่อลักษณะเป็นสักขีพยานในพื้นที่ของไทย

ดังนั้น ถ้าให้สรุปนาทีนี้ถือว่า ฝ่ายไทยเสียเปรียบกัมพูชาอย่างชัดเจน และเดินตามเกมของฝ่ายรัฐบาลกัมพูชามาตลอด ลักษณะเหมือนกับว่าไทยไม่ยอมโต้แย้งสิทธิ์ที่เคยมีมาแต่เดิมตั้งแต่พ่ายแพ้เรื่องปราสาทพระวิหารในศาลโลกเมื่อปี 2505 ซึ่งหากถามว่าผู้นำรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ รู้ถึงความเสียเปรียบดังกล่าวหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าน่าจะรู้ดี แต่ทำไมดึงดึงดันยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมา

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกับว่าเขาต้องการปกปิดความผิดพลาดในอดีตที่พรรคประชาธิปัตย์เคยทำเอาไว้ ทำให้ต้องถลำลึกลงไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งยังเป็นการ “ปกป้อง” คำพูดของตัวเองที่เคยยืนยันถึงผลดีเอ็มโอยู 43 ที่ให้ทั้งสองฝ่ายกลับสู่โต๊ะเจรจาพร้อมๆกับการ “หลิ่วตา” ให้การเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ด้านพลังงานในอ่าวไทยได้ดำเนินการต่อเนื่องต่อไปโดยไม่ติดขัด

เพราะความเคลื่อนไหวที่ดำเนินการมาทั้งหมด ทำให้เหมือนกับว่า ภาคประชาชนที่กำลังเคลื่อนไหวกดดันอยู่ในเวลานี้เป็นพวกคลั่งชาติก่อความเดือดร้อนให้คนในพื้นที่ ทำให้เห็นว่าเป็นการอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ “ป่าเขารกร้าง” เนื้อที่เท่าแมวดิ้นตาย โดยไร้ประโยชน์ ซึ่งเป็นการตบตาคนทั้งชาตินั่นเอง!!
กำลังโหลดความคิดเห็น