ASTVผู้จัดการรายวัน - พันธมิตรฯลั่นศาลยังไม่ชี้ขาด รัฐบาลประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง ไม่ชอบด้วยกฏหมายหรือไม่ “ทนายสุวัตร”ลุ้นต่อ ยื่อศาล รธน.ตีความมาร์คประกาศไม่ชอบ “ปานเทพ” เชื่อศาลเห็นว่าสถานการณ์ยังไม่ฉุกเฉิน แต่ไม่ฟันธงขัด รธน.หรือไม่ “จำลอง” เตรียมแฉ “ทุจริตนักการเมือง “ยกกระบิ ชงเข้าชื่อ 2หมื่นถอดถอน “มาร์ค” ด้าน "สนธิ" ปูดสูตรใหม่ไล่อภิสิทธิ์ แย้ม "เทือก" ตัวกลางต่อสายแม้ว
วานนี้ ( 4 มี.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 612 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ 630/2554 ที่นายประพันธ์ คูณมี กรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี (ยกฟ้องไปแล้ว)และพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นจำเลยที่ 1-3 เรื่องละเมิดจากการออกประกาศและข้อกำหนดตามพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายใน ราชอาณาจักร พ.ศ.2551 โดยขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศและข้อกำหนดทุกฉบับ และขอให้ไต่สวนฉุกเฉินเพื่อระงับการดำเนินการใดๆ ตามพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ซึ่งได้มีการประกาศต่ออายุจนถึงวันที่ 25 มี.ค.
โดยศาลพิเคราะห์คำฟ้อง คำร้องขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาคำร้องขอในเหตุฉุกเฉิน และคำชี้แจงข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 1และ3 ตลอด จนพยานหลักฐานทั้งหลายของโจทก์ทั้ง 2 ที่ได้ในทางไต่สวนแล้ว เห็นว่า กรณีตามคำร้องเป็นการขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยกระทำซ้ำหรือ กระทำต่อไป ซึ่งการกระทำที่ถูกฟ้องร้อง และเป็นการยื่นคำร้องโดยอ้างเหตุฉุกเฉิน การที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องทั้งสองฉบับได้ จะต้องได้ความว่าคดีมีเหตุฉุกเฉิน และคำขอของโจทก์ทั้ง2 มีเหตุผลสมควรอันแท้จริงเสียก่อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255,266 และ 267
ในส่วนคดีมีเหตุฉุกเฉินหรือไม่นั้น พยานหลักฐานของโจทก์ทั้ง 2 ไม่ปรากฏโดยชัดแจ้งถึงพฤติการณ์อันเป็นเหตุฉุกเฉินซึ่งจำเป็นต้องให้ศาลมีคำ สั่งคุ้มครองชั่วคราวแก่โจทก์ทั้ง2เป็นการเร่งด่วน หากรอไว้จะเกิดความเสียหายและเดือดร้อนแก่โจทก์ทั้งสองเกินสมควร และไม่อาจแก้ไขเยียวยาได้แต่อย่างใด ทั้งเมื่อการพิจารณาจากระยะเวลาในการยื่นคำร้อง โดยนับจากวันที่จำเลยที่ 1และ3 ออกประกาศ เมื่อวันที่ 8 และ 9 ก.พ.54 ตามลำดับ จนถึงวันที่โจทก์ทั้ง 2 มายื่นคำร้องในวันที่ 24 ก.พ.54 เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในเหตุฉุกเฉิน เป็นเวลาที่ล่วงเลยมากว่า 15 วัน แม้ต่อมาประกาศที่ออกเมื่อวันที่ 8ก.พ.54 ของจำเลยที่ 1 จะสิ้นผลลง และจำเลยที่ 1 ออกประกาศฉบับใหม่ในวันที่ 22ก.พ.54 แต่ข้อความในประกาศทั้งสองฉบับเหมือนกันทุกประการ และในประกาศฉบับลงวันที่ 22 ก.พ.54 ได้กำหนดให้ประกาศที่ออกเมื่อวันที่ 8 ก.พ.54 ยังมีผลบังคับใช้ต่อไป ดัง นั้นประกาศของจำเลยที่ 1 ลงวันที่ 22 ก.พ.จึงมีผลเพียงการขยายระยะเวลาของประกาศฉบับลงวันที่ 8 ก.พ.54 ให้มีผลบังคับใช้ต่อไปอีกจนถึงวันที่ 25 มี.ค.54เท่านั้น ความเสียหายและเดือดร้อนของโจทก์ทั้งสองอันเกิดจากผลของประกาศจำเลยที่ 1 ตามที่โจทก์ทั้ง2อ้าง จึงต้องมีอยู่ตั้งแต่ออกประกาศฉบับแรกเมื่อวันที่ 8 ก.พ.54แล้ว พฤติการณ์แห่งคดีจึงยังไม่พอฟังได้ว่าคดีมีเหตุฉุกเฉิน
ส่วนคำขอมีเหตุผลสมควรอันแท้จริงหรือไม่นั้น เห็นว่า การ ที่จำเลยที่ 1และ3 ได้ออกประกาศโดยอาศัยอำนาจตามพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 แม้โจทก์ทั้งสองจะฟ้องจำเลยที่ 1และ3 ขอให้ศาลเพิกถอนประกาศและข้อกำหนดต่างๆทุกฉบับที่จำเลยที่ 1และ3 ออกโดยอ้างว่าเป็นการออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งห้ามให้จำเลยที่ 3 ออกคำสั่งใดๆที่อาศัยอำนาจตามความในวันประกาศดังกล่าว แต่ศาลยังไม่ได้วินิจฉัยว่าการออกประกาศไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีคำพิพากษาหรือ คำสั่งตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้ง2 ประกาศทั้งหลายที่ออกโดยจำเลยที่ 1และ3 ยังคงมีผลบังคับใช้กับโจทก์ทั้ง2และบุคคลทั่วไปได้ โจทก์ทั้ง2จึงย่อมมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามประกาศดังกล่าว ซึ่งเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยภายในบ้านเมือง การที่โจทก์ทั้ง2ยื่นคำร้องขอให้ใช้วิธีคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา โดยขอให้ห้ามจำเลยที่ 1และ3 บังคับใช้ประกาศกับโจทก์ทั้ง2 ก็เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะไม่ปฏิบัติตามประกาศดังกล่าว โดยยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าประกาศดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พฤติการณ์แห่งคดียังไม่พอฟังได้ว่ามีเหตุสมควรอันแท้จริง
ศาลจึงมีคำสั่งยกคำร้องขอไต่สวนในเหตุฉุกเฉิน และคำร้องขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาของโจทก์ทั้ง 2 และให้นัดชี้สองสถานในวันที่ 9 พ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
**ยกคำร้อง“ไชยวัฒน์-คนไทยฯ”
วันเดียวกัน ที่ห้องพิจารณาคดี 701 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำ 663/2554 โดยมีคำสั่งยกคำร้องขอไต่สวนในเหตุฉุกเฉิน และคำร้องขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาของโจทก์ทั้ง 2 และให้นัดชี้สองสถานในวันที่ 9 พ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.ที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทยและสมาชิกเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรัก ชาติ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย และนายทศพล แก้วทิมา กรรมการเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ผู้ถูกออกหมายเรียกลำดับที่ 10 ข้อกล่าวหาฝ่าฝืน พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2550 ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์และ พล.ต.อ.วิเชียร เป็นจำเลยที่ 1-2 เรื่องละเมิด ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ประกาศทุกฉบับที่ออกตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เป็นโมฆะ
**ส่งศาลรธน.ตีความขัดรัฐธรรมนูญ
ภายหลังนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ กล่าวว่า แนวทางการต่อสู้ต่อจากนี้ ตนได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลแพ่งส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าประกาศและ ข้อกำหนดตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง ทั้ง 6 ฉบับของรัฐบาล ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ยืนยันจะเดินหน้าชุมนุมต่อไป แม้ศาลแพ่งจะมีคำสั่งยกคำร้องก็ตาม
นายปานเทพ โฆษกพันธมิตรฯ โพตส์ข้อความในเฟสบุคว่า เป็นไปตามคาด ศาลแพ่งพิจารณาแล้วมีคำสั่ง “ไม่คุ้มครองฉุกเฉิน”ตามที่ตนและนายประพันธ์ คูณมีร้องขอ ตนจึงได้ยื่นคำร้องขอศาลแพ่งให้ส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญโดย อาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา 211 เพื่อวินิจฉัยว่า ประกาศและข้อกำหนดที่ ศอ.รส.ได้ประกาศโดยอาศัย พรบ.ความมั่นคงฯตามมาตรา 15 และ 18 ขัด รธน.มาตรา 29,30,63,70,71,87(2)-(4) หรือไม่
**เตรียมแฉนักการเมืองทั้งกระบิ
เวลา 17.00 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษพันธมิตรฯ และนายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ ทนายความกลุ่มพันธมิตร ร่วมแถลงต่อสื่อมวลชนภายหลังมีคำสั่งยกคำร้อง
โดย พล.ต.จำลอง เปิดเผยว่า ในการประชุมของคณะกรรมการปกป้องราชอาณาจักรไทย ได้มีการทบทวนเป้าหมายของการชุมนุมนอกจากการกดดันให้รัฐบาลออกมาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน โดยทำตามข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อของพันธมิตรฯแล้วนั้น ยังเพิ่มเติมเรื่องความทุกข์ร้อนของประชาชน และระบบการเมืองที่มีการซื้อเสียงเพื่อเข้าไปถอนทุนโดยใช้อำนาจรัฐหาประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ใช้การชุมนุมนี้เพื่อถ่ายทอดข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รู้บนเวทีปราศรัย เพิ่มเปลี่ยนแปลงการการเมืองไม่ให้เป็นอย่างในปัจจุบัน
“บ้านเมืองเราขณะนี้ เหมือนคนเป็นโรคร้ายแรง เราคงไม่เกี่ยงคนที่มาเป็นหมอว่าเป็นแผนปัจจุบัน หรือแผนโบราณ ขอให้มารักษาโรคให้หายเท่านั้นเป็นใช้ได้ และเราจะเริ่มเอาวิธีการรักษามาเสนอแนะต่อผู้ฟังในที่ชุมนุม ซึ่งเราจะเริ่มพูดไปเรื่อยๆ เหมือนที่พูดเรื่องการโกงกินของรัฐบาลมาเปิดโปง” พล.ต.จำลองก ล่าว
**ลั่นศาลยังไม่ชี้ขาดประกาศมั่นคงไม่ชอบ
ด้าน นายสุวัฒน์ กล่าวว่า ศาลแพ่งมิได้ยกคำร้องในประเด็นที่พันธมิตรฯ ฟ้องรัฐบาลตามที่ปรากฏเป็นข่าว โดยเป็นเพียงยกคำร้องในส่วนการขอให้มีการไต่สวนเท่านั้น เนื่องจากศาลมองว่ากรณีดังกล่าวพยานหลักฐานยังไม่ปรากฎถึงพฤติกรรมอันเป็นเหตุฉุกเฉิน และจำเป็นต้องให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
ในประเด็นที่พันธมิตรฯฟ้องรัฐบาล ฐานประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น พันธมิตรฯได้ร้องให้ศาลแพ่ง ส่งเรื่องต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตีความ ทั้งนี้เมื่อศาลยังไม่ได้วินิจฉัยว่า การออกประกาศไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ดังนั้นโจทก์ก็ยังต้องปฏิบัติตามประกาศของจำเลยต่อไป ทั้งนี้ศาลมีคำสั่งยกคำร้อง และเลื่อนการนัดชี้ขาด ออกไปเป็นวันที่ 9 พ.ค.
นายปานเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ศาลแพ่งยังเห็นว่าสถานการณ์ขณะนี้ยังไม่ฉุกเฉิน ในเรื่องของข้อกฎหมายว่ารัฐบาลประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงถูกหรือผิดนั้น ยังไม่ถึงที่สุดในชั้นนี้ แต่ต้องพิจารณาคดีต่อไป และจะต้องนัดสืบพยานครั้งแรกวันที่ 9 พ.ค.นี้ และตนได้ยืนคำร้องเพิ่มเติมต่อศาลแพ่ง เพื่อส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯนั้นขัดต่อบทบัญญัติต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
พล.ต.จำลอง ยังกล่าวถึงกรณีการมอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ชุมนุมที่ร่วมทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน ว่า จะมีการมอบประกาศนียบัตรการป้องกันราชอาณาจักรไทย ให้กับผู้ชุมนุมทุกคนที่มาเข้าร่วมชุมนุม โดยขณะนี้ได้มอบไปแล้วกว่า 3,000 ใบ และจะมีเข้ามาเพิ่มเติมอีก 5,000 ใบ ในวัน 7 มี.ค.นี้
**ชงเข้าชื่อ 2หมื่นถอดถอน “มาร์ค”
เวลา 10.00 น.ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย แถลงว่า มีช่องทางที่ภาคประชาชนสามารถทำได้ในการเข้าชื่อ 20,000 ชื่อเพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง โดยตนได้นำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการฯ โดยหากมีการดำเนินการและศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยเร่งด่วนก็จะคล้ายกรณีของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี
**เพิ่มข้อมูล หวั่นสูญเสีย 1.8 ล้านไร่
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงความพยายามของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการขอคืนพื้นที่เพิ่มเติม ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการสลายการชุมนุมของรัฐบาล ว่า การขอพื้นที่เพิ่มเติมคงทำได้ลำบาก เนื่องจากเราต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของกลุ่มผู้ชุมนุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณ ถ.พิษณุโลก จึงขอร้องทางตำรวจว่า การเปิดพื้นที่ไม่ได้ทำให้การจราจรดีขึ้นมากเท่าไร เมื่อเทียบกับชีวิตของประชาชน
นอกจากนี้จะมีการขยายข้อมูลในการปราศรัย แม้ที่ผ่านมาจะมีการชี้แจงการสูญเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม. หรือ 2.8 พันไร่ แต่สถานการณ์ขณะนี้ยังทำให้ประเทศไทยสุ่มเสี่ยงในการสูญเสียพื้นที่ตามตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ จ.อุบลราชธานี จนถึง จ.ตราด รวมแล้วกว่า 1.8 ล้านไร่ ตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน จึงถึงเวลาที่ต้องเริ่มให้ข้อมูลแก่ประชาชนเพื่อให้เข้าใจความเสียห
**ร่วมป้อง 115ห้องน้ำพันธมิตรฯ
ขณะที่น.ส.ขวัญดิน สิงห์คำ ผู้ประสานงานกองทัพธรรม ได้ชี้แจงกรณีที่กทม.ขอรื้อถอนห้องสุขาบริเวณทางเท้าริมกำแพงกระทรวงศึกษาธิการ และเสนอให้นำรถสุขา กทม.มาใช้แทน ว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้ติดต่อมาเมื่อวันที่ 3 มี.ค. แต่ได้ปฏิเสธไป เนื่องจากการใช้รถสุขา กทม.มีปัญหาการส่งกลิ่นเหม็น และมีการสับเปลี่ยนเวร ซึ่งทิ้งระยะเวลาหลายชั่วโมง ทำให้ผู้ชุมนุมไม่ได้รับความสะดวก อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายสูงตกคันละ 5,000 บาทต่อวัน ซึ่งเมื่อครั้งการชุมนุม 193 วันของพันธมิตรฯ ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึงหลายล้านบาททีเดียว ดังนั้นจึงเห็นว่าห้องสุขาที่มีอยู่ 48 ห้องข้างกำแพงกระทรวงศึกษาธิการนั้นมีความจำเป็นต่อผู้ชุมนุม
“กระบวนการเหล่านี้เป็นความพยายามที่จะสลายการชุมนุมเป็นลำดับ อีกทั้งยังมีมาตรการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนในทำเนียบรัฐบาลฝึกซ้อมและร้องเพลงปลุกใจข่มขวัญผู้ชุมนุมเป็นประจำทุกวัน” น.ส.ขวัญดิน กล่าวและว่าทั้งนี้ ในพื้นที่การชุมนุมมีห้องสุขาทั้งหมด 115 ห้อง และห้องอาบน้ำอีก 45 ห้อง คาดว่าในที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่จะพยายามขอรื้อถอนทั้งหมด และในส่วนของผู้ค้าบนทางเท้าที่เจ้าหน้าที่เทศกิจขอให้งดการใช้พื้นที่ทางเท้าตั้งแผงค้า โดยเจ้าหน้าที่ได้ขอให้ผู้ค้านำแผงค้าภายใน 3 วันนี้ ซึ่งตนได้ขอให้เจ้าหน้าที่แจ้งล่วงหน้าก่อนที่จะเข้ามาดำเนินการตามขั้นตอน
**"สนธิ" ปูดสูตรใหม่ไล่ "มาร์ค"
เวลา 21.30 น.คืนวันที่ 4 มี.ค.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวบนเวทีปกป้องแผ่นดินว่า พันธมิตรฯจะใช้สูตรใหม่ๆ เพื่อไล่นายอภิสิทธิ์ ไล่ทหารกุนเชียง ไล่นักการเมืองเลว ๆ ออกไป โดยเฉพาะขณะนี้คนเสื้อแดงก็หวังที่จะใช้ นั้นคือสูตรจากตะวันออกกลาง ที่มีการไล่รัฐบาล เช่นที่ลิเบีย บาห์เรน
ทั้งนี้ เชื่อว่า นพ.เหวง โตจิราการ กับนางธิดา ถาวรเศรษฐ ก็เห็นว่าน่าจะเอามาใช้ไล่รัฐบาลได้
นายสนธิเปิดเผยว่า วันนี้ (5 มี.ค.) ตนจะพูดเรื่องที่ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯได้จับมือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เป็นตัวกลาง โดยหวังผลเพื่อผูกขาดการมีอำนาจ เพื่อไม่มีใครตรวจสอบได้ โดยหวังจะใช้ฐานการเมืองของทั้ง 2 ฝ่ายยึดครองประเทศ ทำให้ทหาร และสถาบันอื่น ๆ อ่อนแอลง โดยมีทหารบางคนที่เกษียณอายุมีตำแหน่งทางการเมือง ที่คิดถึงอำนาจตัวเองร่วมมือกัน
“จะพิสูจน์ให้แฟน ปชป.เห็นว่า ลึกๆแล้วมีการจับมือระหว่างปชป.กับเพื่อไทยมานานแล้ว แต่หางพึ่งโผล่ตอนนี้ จะเห็นว่าว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาต้องทำเช่นนั้น นายอภิสิทธิ์ กับนายทักษิณ ก็คือนักการเมืองที่ซื้อเสียงขึ้นมา และจับมือกันเพื่อออำนาจ” นายสนธิ กล่าว.
วานนี้ ( 4 มี.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 612 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ 630/2554 ที่นายประพันธ์ คูณมี กรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี (ยกฟ้องไปแล้ว)และพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นจำเลยที่ 1-3 เรื่องละเมิดจากการออกประกาศและข้อกำหนดตามพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายใน ราชอาณาจักร พ.ศ.2551 โดยขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศและข้อกำหนดทุกฉบับ และขอให้ไต่สวนฉุกเฉินเพื่อระงับการดำเนินการใดๆ ตามพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ซึ่งได้มีการประกาศต่ออายุจนถึงวันที่ 25 มี.ค.
โดยศาลพิเคราะห์คำฟ้อง คำร้องขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาคำร้องขอในเหตุฉุกเฉิน และคำชี้แจงข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 1และ3 ตลอด จนพยานหลักฐานทั้งหลายของโจทก์ทั้ง 2 ที่ได้ในทางไต่สวนแล้ว เห็นว่า กรณีตามคำร้องเป็นการขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยกระทำซ้ำหรือ กระทำต่อไป ซึ่งการกระทำที่ถูกฟ้องร้อง และเป็นการยื่นคำร้องโดยอ้างเหตุฉุกเฉิน การที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องทั้งสองฉบับได้ จะต้องได้ความว่าคดีมีเหตุฉุกเฉิน และคำขอของโจทก์ทั้ง2 มีเหตุผลสมควรอันแท้จริงเสียก่อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255,266 และ 267
ในส่วนคดีมีเหตุฉุกเฉินหรือไม่นั้น พยานหลักฐานของโจทก์ทั้ง 2 ไม่ปรากฏโดยชัดแจ้งถึงพฤติการณ์อันเป็นเหตุฉุกเฉินซึ่งจำเป็นต้องให้ศาลมีคำ สั่งคุ้มครองชั่วคราวแก่โจทก์ทั้ง2เป็นการเร่งด่วน หากรอไว้จะเกิดความเสียหายและเดือดร้อนแก่โจทก์ทั้งสองเกินสมควร และไม่อาจแก้ไขเยียวยาได้แต่อย่างใด ทั้งเมื่อการพิจารณาจากระยะเวลาในการยื่นคำร้อง โดยนับจากวันที่จำเลยที่ 1และ3 ออกประกาศ เมื่อวันที่ 8 และ 9 ก.พ.54 ตามลำดับ จนถึงวันที่โจทก์ทั้ง 2 มายื่นคำร้องในวันที่ 24 ก.พ.54 เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในเหตุฉุกเฉิน เป็นเวลาที่ล่วงเลยมากว่า 15 วัน แม้ต่อมาประกาศที่ออกเมื่อวันที่ 8ก.พ.54 ของจำเลยที่ 1 จะสิ้นผลลง และจำเลยที่ 1 ออกประกาศฉบับใหม่ในวันที่ 22ก.พ.54 แต่ข้อความในประกาศทั้งสองฉบับเหมือนกันทุกประการ และในประกาศฉบับลงวันที่ 22 ก.พ.54 ได้กำหนดให้ประกาศที่ออกเมื่อวันที่ 8 ก.พ.54 ยังมีผลบังคับใช้ต่อไป ดัง นั้นประกาศของจำเลยที่ 1 ลงวันที่ 22 ก.พ.จึงมีผลเพียงการขยายระยะเวลาของประกาศฉบับลงวันที่ 8 ก.พ.54 ให้มีผลบังคับใช้ต่อไปอีกจนถึงวันที่ 25 มี.ค.54เท่านั้น ความเสียหายและเดือดร้อนของโจทก์ทั้งสองอันเกิดจากผลของประกาศจำเลยที่ 1 ตามที่โจทก์ทั้ง2อ้าง จึงต้องมีอยู่ตั้งแต่ออกประกาศฉบับแรกเมื่อวันที่ 8 ก.พ.54แล้ว พฤติการณ์แห่งคดีจึงยังไม่พอฟังได้ว่าคดีมีเหตุฉุกเฉิน
ส่วนคำขอมีเหตุผลสมควรอันแท้จริงหรือไม่นั้น เห็นว่า การ ที่จำเลยที่ 1และ3 ได้ออกประกาศโดยอาศัยอำนาจตามพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 แม้โจทก์ทั้งสองจะฟ้องจำเลยที่ 1และ3 ขอให้ศาลเพิกถอนประกาศและข้อกำหนดต่างๆทุกฉบับที่จำเลยที่ 1และ3 ออกโดยอ้างว่าเป็นการออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งห้ามให้จำเลยที่ 3 ออกคำสั่งใดๆที่อาศัยอำนาจตามความในวันประกาศดังกล่าว แต่ศาลยังไม่ได้วินิจฉัยว่าการออกประกาศไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีคำพิพากษาหรือ คำสั่งตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้ง2 ประกาศทั้งหลายที่ออกโดยจำเลยที่ 1และ3 ยังคงมีผลบังคับใช้กับโจทก์ทั้ง2และบุคคลทั่วไปได้ โจทก์ทั้ง2จึงย่อมมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามประกาศดังกล่าว ซึ่งเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยภายในบ้านเมือง การที่โจทก์ทั้ง2ยื่นคำร้องขอให้ใช้วิธีคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา โดยขอให้ห้ามจำเลยที่ 1และ3 บังคับใช้ประกาศกับโจทก์ทั้ง2 ก็เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะไม่ปฏิบัติตามประกาศดังกล่าว โดยยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าประกาศดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พฤติการณ์แห่งคดียังไม่พอฟังได้ว่ามีเหตุสมควรอันแท้จริง
ศาลจึงมีคำสั่งยกคำร้องขอไต่สวนในเหตุฉุกเฉิน และคำร้องขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาของโจทก์ทั้ง 2 และให้นัดชี้สองสถานในวันที่ 9 พ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
**ยกคำร้อง“ไชยวัฒน์-คนไทยฯ”
วันเดียวกัน ที่ห้องพิจารณาคดี 701 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำ 663/2554 โดยมีคำสั่งยกคำร้องขอไต่สวนในเหตุฉุกเฉิน และคำร้องขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาของโจทก์ทั้ง 2 และให้นัดชี้สองสถานในวันที่ 9 พ.ค.นี้ เวลา 09.00 น.ที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทยและสมาชิกเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรัก ชาติ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย และนายทศพล แก้วทิมา กรรมการเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ผู้ถูกออกหมายเรียกลำดับที่ 10 ข้อกล่าวหาฝ่าฝืน พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2550 ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์และ พล.ต.อ.วิเชียร เป็นจำเลยที่ 1-2 เรื่องละเมิด ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ประกาศทุกฉบับที่ออกตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เป็นโมฆะ
**ส่งศาลรธน.ตีความขัดรัฐธรรมนูญ
ภายหลังนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ กล่าวว่า แนวทางการต่อสู้ต่อจากนี้ ตนได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลแพ่งส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าประกาศและ ข้อกำหนดตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง ทั้ง 6 ฉบับของรัฐบาล ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ยืนยันจะเดินหน้าชุมนุมต่อไป แม้ศาลแพ่งจะมีคำสั่งยกคำร้องก็ตาม
นายปานเทพ โฆษกพันธมิตรฯ โพตส์ข้อความในเฟสบุคว่า เป็นไปตามคาด ศาลแพ่งพิจารณาแล้วมีคำสั่ง “ไม่คุ้มครองฉุกเฉิน”ตามที่ตนและนายประพันธ์ คูณมีร้องขอ ตนจึงได้ยื่นคำร้องขอศาลแพ่งให้ส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญโดย อาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา 211 เพื่อวินิจฉัยว่า ประกาศและข้อกำหนดที่ ศอ.รส.ได้ประกาศโดยอาศัย พรบ.ความมั่นคงฯตามมาตรา 15 และ 18 ขัด รธน.มาตรา 29,30,63,70,71,87(2)-(4) หรือไม่
**เตรียมแฉนักการเมืองทั้งกระบิ
เวลา 17.00 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษพันธมิตรฯ และนายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ ทนายความกลุ่มพันธมิตร ร่วมแถลงต่อสื่อมวลชนภายหลังมีคำสั่งยกคำร้อง
โดย พล.ต.จำลอง เปิดเผยว่า ในการประชุมของคณะกรรมการปกป้องราชอาณาจักรไทย ได้มีการทบทวนเป้าหมายของการชุมนุมนอกจากการกดดันให้รัฐบาลออกมาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน โดยทำตามข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อของพันธมิตรฯแล้วนั้น ยังเพิ่มเติมเรื่องความทุกข์ร้อนของประชาชน และระบบการเมืองที่มีการซื้อเสียงเพื่อเข้าไปถอนทุนโดยใช้อำนาจรัฐหาประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ใช้การชุมนุมนี้เพื่อถ่ายทอดข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รู้บนเวทีปราศรัย เพิ่มเปลี่ยนแปลงการการเมืองไม่ให้เป็นอย่างในปัจจุบัน
“บ้านเมืองเราขณะนี้ เหมือนคนเป็นโรคร้ายแรง เราคงไม่เกี่ยงคนที่มาเป็นหมอว่าเป็นแผนปัจจุบัน หรือแผนโบราณ ขอให้มารักษาโรคให้หายเท่านั้นเป็นใช้ได้ และเราจะเริ่มเอาวิธีการรักษามาเสนอแนะต่อผู้ฟังในที่ชุมนุม ซึ่งเราจะเริ่มพูดไปเรื่อยๆ เหมือนที่พูดเรื่องการโกงกินของรัฐบาลมาเปิดโปง” พล.ต.จำลองก ล่าว
**ลั่นศาลยังไม่ชี้ขาดประกาศมั่นคงไม่ชอบ
ด้าน นายสุวัฒน์ กล่าวว่า ศาลแพ่งมิได้ยกคำร้องในประเด็นที่พันธมิตรฯ ฟ้องรัฐบาลตามที่ปรากฏเป็นข่าว โดยเป็นเพียงยกคำร้องในส่วนการขอให้มีการไต่สวนเท่านั้น เนื่องจากศาลมองว่ากรณีดังกล่าวพยานหลักฐานยังไม่ปรากฎถึงพฤติกรรมอันเป็นเหตุฉุกเฉิน และจำเป็นต้องให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
ในประเด็นที่พันธมิตรฯฟ้องรัฐบาล ฐานประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น พันธมิตรฯได้ร้องให้ศาลแพ่ง ส่งเรื่องต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตีความ ทั้งนี้เมื่อศาลยังไม่ได้วินิจฉัยว่า การออกประกาศไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ดังนั้นโจทก์ก็ยังต้องปฏิบัติตามประกาศของจำเลยต่อไป ทั้งนี้ศาลมีคำสั่งยกคำร้อง และเลื่อนการนัดชี้ขาด ออกไปเป็นวันที่ 9 พ.ค.
นายปานเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ศาลแพ่งยังเห็นว่าสถานการณ์ขณะนี้ยังไม่ฉุกเฉิน ในเรื่องของข้อกฎหมายว่ารัฐบาลประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงถูกหรือผิดนั้น ยังไม่ถึงที่สุดในชั้นนี้ แต่ต้องพิจารณาคดีต่อไป และจะต้องนัดสืบพยานครั้งแรกวันที่ 9 พ.ค.นี้ และตนได้ยืนคำร้องเพิ่มเติมต่อศาลแพ่ง เพื่อส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯนั้นขัดต่อบทบัญญัติต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
พล.ต.จำลอง ยังกล่าวถึงกรณีการมอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ชุมนุมที่ร่วมทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน ว่า จะมีการมอบประกาศนียบัตรการป้องกันราชอาณาจักรไทย ให้กับผู้ชุมนุมทุกคนที่มาเข้าร่วมชุมนุม โดยขณะนี้ได้มอบไปแล้วกว่า 3,000 ใบ และจะมีเข้ามาเพิ่มเติมอีก 5,000 ใบ ในวัน 7 มี.ค.นี้
**ชงเข้าชื่อ 2หมื่นถอดถอน “มาร์ค”
เวลา 10.00 น.ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย แถลงว่า มีช่องทางที่ภาคประชาชนสามารถทำได้ในการเข้าชื่อ 20,000 ชื่อเพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง โดยตนได้นำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการฯ โดยหากมีการดำเนินการและศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยเร่งด่วนก็จะคล้ายกรณีของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี
**เพิ่มข้อมูล หวั่นสูญเสีย 1.8 ล้านไร่
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงความพยายามของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการขอคืนพื้นที่เพิ่มเติม ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการสลายการชุมนุมของรัฐบาล ว่า การขอพื้นที่เพิ่มเติมคงทำได้ลำบาก เนื่องจากเราต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของกลุ่มผู้ชุมนุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณ ถ.พิษณุโลก จึงขอร้องทางตำรวจว่า การเปิดพื้นที่ไม่ได้ทำให้การจราจรดีขึ้นมากเท่าไร เมื่อเทียบกับชีวิตของประชาชน
นอกจากนี้จะมีการขยายข้อมูลในการปราศรัย แม้ที่ผ่านมาจะมีการชี้แจงการสูญเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม. หรือ 2.8 พันไร่ แต่สถานการณ์ขณะนี้ยังทำให้ประเทศไทยสุ่มเสี่ยงในการสูญเสียพื้นที่ตามตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ จ.อุบลราชธานี จนถึง จ.ตราด รวมแล้วกว่า 1.8 ล้านไร่ ตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน จึงถึงเวลาที่ต้องเริ่มให้ข้อมูลแก่ประชาชนเพื่อให้เข้าใจความเสียห
**ร่วมป้อง 115ห้องน้ำพันธมิตรฯ
ขณะที่น.ส.ขวัญดิน สิงห์คำ ผู้ประสานงานกองทัพธรรม ได้ชี้แจงกรณีที่กทม.ขอรื้อถอนห้องสุขาบริเวณทางเท้าริมกำแพงกระทรวงศึกษาธิการ และเสนอให้นำรถสุขา กทม.มาใช้แทน ว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้ติดต่อมาเมื่อวันที่ 3 มี.ค. แต่ได้ปฏิเสธไป เนื่องจากการใช้รถสุขา กทม.มีปัญหาการส่งกลิ่นเหม็น และมีการสับเปลี่ยนเวร ซึ่งทิ้งระยะเวลาหลายชั่วโมง ทำให้ผู้ชุมนุมไม่ได้รับความสะดวก อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายสูงตกคันละ 5,000 บาทต่อวัน ซึ่งเมื่อครั้งการชุมนุม 193 วันของพันธมิตรฯ ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึงหลายล้านบาททีเดียว ดังนั้นจึงเห็นว่าห้องสุขาที่มีอยู่ 48 ห้องข้างกำแพงกระทรวงศึกษาธิการนั้นมีความจำเป็นต่อผู้ชุมนุม
“กระบวนการเหล่านี้เป็นความพยายามที่จะสลายการชุมนุมเป็นลำดับ อีกทั้งยังมีมาตรการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนในทำเนียบรัฐบาลฝึกซ้อมและร้องเพลงปลุกใจข่มขวัญผู้ชุมนุมเป็นประจำทุกวัน” น.ส.ขวัญดิน กล่าวและว่าทั้งนี้ ในพื้นที่การชุมนุมมีห้องสุขาทั้งหมด 115 ห้อง และห้องอาบน้ำอีก 45 ห้อง คาดว่าในที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่จะพยายามขอรื้อถอนทั้งหมด และในส่วนของผู้ค้าบนทางเท้าที่เจ้าหน้าที่เทศกิจขอให้งดการใช้พื้นที่ทางเท้าตั้งแผงค้า โดยเจ้าหน้าที่ได้ขอให้ผู้ค้านำแผงค้าภายใน 3 วันนี้ ซึ่งตนได้ขอให้เจ้าหน้าที่แจ้งล่วงหน้าก่อนที่จะเข้ามาดำเนินการตามขั้นตอน
**"สนธิ" ปูดสูตรใหม่ไล่ "มาร์ค"
เวลา 21.30 น.คืนวันที่ 4 มี.ค.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวบนเวทีปกป้องแผ่นดินว่า พันธมิตรฯจะใช้สูตรใหม่ๆ เพื่อไล่นายอภิสิทธิ์ ไล่ทหารกุนเชียง ไล่นักการเมืองเลว ๆ ออกไป โดยเฉพาะขณะนี้คนเสื้อแดงก็หวังที่จะใช้ นั้นคือสูตรจากตะวันออกกลาง ที่มีการไล่รัฐบาล เช่นที่ลิเบีย บาห์เรน
ทั้งนี้ เชื่อว่า นพ.เหวง โตจิราการ กับนางธิดา ถาวรเศรษฐ ก็เห็นว่าน่าจะเอามาใช้ไล่รัฐบาลได้
นายสนธิเปิดเผยว่า วันนี้ (5 มี.ค.) ตนจะพูดเรื่องที่ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯได้จับมือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เป็นตัวกลาง โดยหวังผลเพื่อผูกขาดการมีอำนาจ เพื่อไม่มีใครตรวจสอบได้ โดยหวังจะใช้ฐานการเมืองของทั้ง 2 ฝ่ายยึดครองประเทศ ทำให้ทหาร และสถาบันอื่น ๆ อ่อนแอลง โดยมีทหารบางคนที่เกษียณอายุมีตำแหน่งทางการเมือง ที่คิดถึงอำนาจตัวเองร่วมมือกัน
“จะพิสูจน์ให้แฟน ปชป.เห็นว่า ลึกๆแล้วมีการจับมือระหว่างปชป.กับเพื่อไทยมานานแล้ว แต่หางพึ่งโผล่ตอนนี้ จะเห็นว่าว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาต้องทำเช่นนั้น นายอภิสิทธิ์ กับนายทักษิณ ก็คือนักการเมืองที่ซื้อเสียงขึ้นมา และจับมือกันเพื่อออำนาจ” นายสนธิ กล่าว.