ASTVผู้จัดการรายวัน-"จำลอง"แย้มสถานการณ์อาจเปลี่ยนก่อนสิ้นมี.ค. แต่อย่าเพิ่งเดากันไป ระบุชุมนุม 36 วันเรียบร้อยดี จนตำรวจเข้ายึดพื้นที่ เชื่อมาถูกทางเปิดข้อมูลให้ประชาชนรับฟัง ข้องใจรัฐบาลแกล้งยึดถนน ไม่ห่วงความปลอดภัยผู้ชุมนุม ย้ำยุบสภาก็จะอยู่ต่อจนกว่าจะรักษาดินแดนได้ "เทือก-วิเชียร" มาแนวเดียวกัน ตะแบงไม่คิดสลายการชุมนุม แค่ต้องการทวงคืนพื้นที่ทั้งหมด ครม.อนุมัติงบฯ รับมือพันธมิตรฯ 94 ล้าน ตำรวจฟาด 91 ล้าน เครือข่ายคนไทยปฏิเสธเปิดถ.พิษณุโลก หวั่นไม่ปลอดภัย ศาลนัด 4 มี.ค. ฟังคดีพันธมิตรฯ ฟ้องนายกฯ ออกพ.ร.บ.มั่นคงฯ
เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (1 มี.ค.) ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนว่า การชุมนุม 36 วันที่ผ่านมา เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีเพียงเมื่อวันที่ 28 ก.พ. ที่ทำให้ประชาชนไม่สบายใจ จากกรณีเจ้าหน้าที่เข้ายึดคืนพื้นที่เท่านั้น แต่ตนและคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ก็ได้กล่าวย้ำให้ทุกคนสบายใจ และผลัดเปลี่ยนกันเข้าร่วมการชุมนุมอย่างปกติ เพราะเห็นใจที่ผู้ชุมนุมหลายคนเหน็ดเหนื่อย เสียเงินเสียทอง มาช่วยการชุมนุม
อย่างไรก็ตาม ก็คิดว่าทำของเราไปเช่นนี้ มีประโยชน์ต่อบ้านเมือง และได้สื่อสารข้อมูลข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รับฟัง ส่วนจะเชื่อถืออย่างไร ก็เป็นดุลพินิจของประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะมีการขอคืนพื้นที่บริเวณ ถ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมนุมของกองทัพธรรม และเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เป็นไปได้ยาก เนื่องจากพื้นที่จำกัด และมีสิ่งของที่กีดขวางทางจราจรค่อนข้างมาก โดยตนเคยไปช่วยจัดการจราจรก่อนหน้าที่จะมีการชุมนุมของพันธมิตรฯ ซึ่งยังมีผู้เข้าร่วมชุมนุมน้อย ก็สามารถเปิดการจราจรได้บ้าง แต่เมื่อมีคนมากขึ้นก็เป็นไปได้ยาก เพราะเส้นทางแคบ และมีโรงครัว เวที รวมไปถึงกิจกรรมหลายๆ อย่างที่มีมวลชนเข้าร่วมตลอดวัน จึงต้องอยู่อย่างอดทน และดูว่าเจ้าหน้าที่จะมาทำให้เกิดความยุ่งยากได้แค่ไหน แต่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้
ในส่วนกรณีที่จะมีการจัดงานกาชาดช่วงปลายเดือนมี.ค.ที่อาจจะต้องมีการเปิดพื้นที่การชุมนุมนั้น ตนเห็นว่ายังอีกนาน ถึงเวลานั้นอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ได้ อย่าเพิ่งคาดเดากันก่อน
พล.ต.จำลองกล่าวว่า ต้องถามเจ้าหน้าที่ว่า เหตุใดจึงต้องมากังวลกับพื้นที่ตรงนี้ พื้นที่อื่นเช่น หน้าบ้านนายกฯ เหตุใดจึงไม่เปิดการจราจร คงต้องถามกลับว่าต้องการกลั่นแกล้งให้ถึงที่สุดเช่นนั้นหรือ ซึ่งการเปิดพื้นที่จราจรต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยด้วย เพราะบริเวณหน้ากระทรวงศึกษาธิการที่เพิ่งเปิด ก็เกือบมีประชาชนถูกรถชน จึงต้องขอตำรวจว่า ไม่สามารถกั้นรั้วเหล็กกันไม่ให้ประชาชนข้ามไปใช้บริการห้องน้ำ
** อัดรัฐบาลไม่เหลียวแล"วีระ-ราตรี"
พล.ต.จำลองกล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า นายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ได้ลงนามขออภัยโทษต่อกษัตริย์กัมพูชาแล้ว ว่า ตนทราบตามข่าวที่กระทรวงการต่างประเทศแจ้ง โดยทูตไทยที่กัมพูชาบอกว่า นายวีระ และน.ส.ราตรี ได้ขออภัยโทษแล้ว แต่เราคงไปก้าวก่ายไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องการตัดสินใจของครอบครัวทั้ง 2 คน ซึ่งทางเราก็มีการประชุมเป็นกลุ่มย่อย ที่จะเข้าไปช่วยเหลือในการกดดันทางการกัมพูชาให้มีการปล่อย นายวีระ และน.ส.ราตรี แต่ในฐานะภาคประชาชน ก็ทำอะไรไม่ได้มากไม่เหมือนรัฐบาลที่สามารถทำได้ เพราะมีเครื่องมือ และบทบาท แต่กลับไม่ทำตามที่เราได้เสนอ
"เราไม่เข้าใจว่าเหตุใดทั้งคู่จึงโชคร้าย ต้องติดคุกอยู่ที่กัมพูชาตั้งนาน สิ่งที่เราเสนอแนะให้รัฐบาลทำ แต่ก็ไม่ทำ จึงน่าเห็นใจ โดยเฉพาะตามข่าวที่บอกว่านายวีระ มีโรคประจำตัว เมื่ออยู่ในคุกที่ต่ำกว่ามาตฐาน คงไม่ได้รับความความสะดวกในการหายา หรือหมอมารักษา" พล.ต.จำลองกล่าว
เมื่อถามว่าหากมีการยุบสภา แนวทางการชุมนุมของพันธมิตรฯ จะเป็นอย่างไร พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เราก็ยังชุมนุมอยู่ที่นี่ เนื่องจากจะมีนายกรัฐมนตรีรักษาการณ์ ซึ่งสามารถทำหน้าที่รักษาชาติบ้านเมืองได้ตามปกติ เพราะเวลาที่ผ่านไป ทำให้เสียเปรียบกัมพูชามากยิ่งขึ้น
"หากทำตามข้อเรียกร้องที่พันธมิตรฯ เสนอ ก็จะสามารถนำดินแดนที่เสียไปแล้วกลับมาได้ รวมทั้งป้องกันการถูกรุกรานในอนาคตได้อย่างยั่งยืน พันธมิตรฯ ไม่ได้มาชุมนุมให้มีการยุบสภา เพราะเจตนาของเราใหญ่กว่า คือ ต้องการปกป้องดินแดน" พล.ต.จำลองกล่าว
**ตร.เตรียมขอคืนพื้นที่ถ.พิษณุโลก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการแถลงข่าวแถลงข่าวของกลุ่มพันธมิตรฯ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) ได้เดินทางเข้าพบพล.ต.จำลอง โดยพล.ต.ต.วิชัย กล่าวขอบคุณพล.ต.จำลอง ที่ให้ความร่วมมือในการเปิดพื้นผิวจราจร ขณะที่พล.ต.จำลอง ได้ขอความร่วมมือจากตำรวจ ในการเปิดทางให้ประชาชนสามารถข้ามถนนไปเข้าห้องน้ำได้ในบางจุด
พล.ต.ต.วิชัยกล่าวกับสื่อมวลชนว่า ในเวลา 16.00 น. ตนมีนัดหมายกับ สมณะโพธิรักษ์ แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ เพื่อเจรจาของพื้นที่บน ถ.พิษณุโลก บางส่วน โดยจะพยายามขอคืนให้ได้มากที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และให้รถสามารถระบายได้ เนื่องจากเส้นทาง ถ.ราชดำเนิน และ ถ.พิษณุโลก ถือเป็นเส้นทางหลักที่มาจากฝั่งธนบุรี หากได้ ก็จะมีการจัดการจราจรบน ถ.พิษณุโลก ในลักษณะเดิม คือ ให้ใช้ 2 ช่องทาง โดยให้วิ่งรถทางเดียวสลับเช้าเย็น ในส่วนของเต้นท์ หรือสิ่งกีดขวางที่เป็นอุปสรรค ก็จะมีการพูดคุยหาทางกัน
“ยืนยันได้ว่า การที่ตำรวจมาขอเส้นทางแล้ว ก็จะมีตำรวจปราบจลาจลมาดูแลรักษาความปลอดภัย และจัดการจราจรให้ทุกอย่าง เชื่อว่าสามารถพูดคุยกันได้"พล.ต.ต.วิชัยกล่าว
เมื่อถามว่า จะมีการขอพื้นที่บน ถนนราชดำเนินเพิ่มเติมหรือไม่ พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มี มีเพียงเส้นทาง ถ.พิษณุโลก ซึ่งก็ได้รับความอนุเคราะห์จากเวทีพันธมิตรฯ ที่ให้ความร่วมมือ และจัดการจราจรให้ ก็เรียบร้อยดี
** "เทือก"ลั่นต้องขอพื้นที่คืนทั้งหมด
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีพล.ต.จำลอง ตำหนิการขอคืนพื้นที่ว่า รัฐบาลใช้อำนาจบังคับให้ตำรวจทำ ถือเป็นระยะแรกของการสลายการชุมนุมนั้น ตนยืนยันว่า จะไม่สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปสลายการชุมนุม แล้วเราไม่เคยทำเรื่องการสลายการชุมนุมเลย แต่ว่าการขอพื้นที่คืนให้ประชาชนส่วนใหญ่นั้น ต้องทำ และคงไม่ใช้เป็นการสลายตามที่กล่าวไปแล้ว เราเพียงไปขอคืนพื้นที่กลับมาให้ประชนได้สัญจรไปมาได้เลนหนึ่ง และวานนี้ (1 มีค.) ก็ต้องพยายามต่อ เพราะประชาชนเดือดร้อน อย่างนี้ไม่ได้เรียกว่าไปสลายการชุมนุม โปรดอย่าไปบิดเบือนเป็นอย่างอื่น ตนไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน
ส่วนบริเวณถนนพิษณุโลก ที่ยังไม่มีการขอคืนพื้นที่นั้น ทางเจ้าหน้าที่ก็พยายามเร่งดำเนินการอยู่ ที่ผ่านมาตนเองก็อึดอัดใจเหมือนทุกคน ส่วนที่มองว่าที่ผ่านมาเป็นเพราะผู้ใหญ่ในรัฐบาลไม่กล้าที่จะสั่งการ เพราะเกรงว่าหากเกิดเหตุร้ายแล้วจะไม่มีใครรับผิดชอบนั้น ก็คงไม่ใช่
"ผมระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ปะทะรุนแรง เพราะจะทำให้เป็นเหตุบานปลาย ผมรู้ว่าประชาชนก็ไม่ชอบใจ แต่เราคงไม่ต้องการให้มีการทุบตีกันกลางเมืองกรุงเทพฯ เราคงไม่อยากให้ภาพพจน์ของประเทศชาติเสียหาย ก็ต้องใช้วิธีการตามที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้"นายสุเทพกล่าวและว่า ตนเห็นใจเจ้าหน้าที่ทำงานเรื่องนี้ว่าทำงานด้วยความยากลำบาก และพูดง่ายที่ไหนกับบรรดาแกนนำ อยากให้สื่อไปเห็น หรือมีการถ่ายทอดคำต่อคำไปออกทีวีทุกประโยค กราบขออภัยพี่น้องประชาชนด้วย
**"วิเชียร"รับลูกต้องยึดพื้นที่คืนให้หมด
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงการขอคืนพื้นที่จากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ขณะนี้ยังคงปักหลักชุมนุมอยู่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ว่า หากกลุ่มพันธมิตรฯ ยังคงชุมนุมอยู่ที่นี่ขอให้ช่วยระบายการจราจร หรือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน ทั้งนี้ หากกลุ่มพันธมิตรฯ ได้นำเสนอข้อเรียกร้องอย่างเต็มที่หรือเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้ว ก็อยากให้ถอนตัวกลับไป
“การเรียกร้องในสังคมประชาธิปไตยนั้นสามารถทำได้ โดยการออกมาส่งเสียงเรียกร้องหรือสร้างความกดดันให้กับฝ่ายที่รับผิดชอบได้ทราบแล้ว แต่ถ้ายังไปสร้างความเดือดร้อนหรือละเมิดสิทธิของผู้อื่น ถ้าหากเลิกได้ก็ควรจะเลิกทำ แต่เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ยอมเลิก ตำรวจจึงต้องพยายามที่จะขอคืนพื้นที่ ซึ่งล่าสุดได้ขอคืนถนนราชดำเนินนอกเส้นคู่ขนานติดกับกระทรวงศึกษาธิการ แต่หากได้ถนนคู่ขนานด้านที่ติดกับทำเนียบรัฐบาลก็จะทำให้ปัญหาการจราจรทุเลาเบาบางลงได้มาก”ผบ.ตร.กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะขอคืนพื้นที่อีกหรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ตำรวจก็ยืนยันว่า จะขอคืนพื้นที่อีก แต่ก็ต้องรอดูสถานการณ์ ว่า กลุ่มพันธมิตรฯ จะกรุณาได้มากแค่ไหน เมื่อถามว่า ศอ.รส. คาดหวังว่า จะขอคืนพื้นที่ทั้งหมดหรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า หากขอได้เราก็อยากจะขอ ส่วนจะดำเนินการได้ในเร็วๆ นี้ หรือไม่ ต้องรอดูสถานการณ์ก่อน
**ครม.ให้งบฯรับมือพันธมิตรฯ94 ล้าน
นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (1มี.ค.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณได้จัดทำงบฯ ด้านความมั่นคง สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ในการรักษาความสงบเรียบร้อยจากเหตุการณ์การชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองในช่วง 12 วัน คือ ระหว่างวันที่ 9-20 ก.พ.2554 วงเงินรวมทั้งสิ้น 94,212,560 บาท
ทั้งนี้ มีรายงานว่าวงเงินดังกล่าว สำนักงบประมาณได้แจ้งว่า มีหน่วยงานที่เข้าร่วมการปฏิบัติงานในช่วงการชุมนุมดังกล่าวรวมทั้งสิ้น 5 หน่วยงาน แยกเป็น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอวงเงิน 91,034,960 บาท , กองทัพบก วงเงิน 446,400 บาท , กองทัพเรือ 158,400 บาท กองทัพอากาศ 158,400 บาท และกรุงเทพมหานคร 2,414,400 บาท
โดยเอกสารของสำนักงบประมาณระบุว่า จากการที่ครม. มีมติเมื่อ 8 ก.พ.2554 ให้ใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตั้งแต่ 9-23 ก.พ.2554 ในพื้นที่ 7 เขต ของกทม.โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นหน่วยขึ้นตรงกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยมี ผบ.ตร. เป็นผอ.ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ซึ่งค่าใช้จ่ายสำหรับการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยจากเหตุการณ์ชุมนุมตามที่สตช. เสนอขอมาสำหรับหน่วยงานต่างๆ ข้างต้น ไม่ได้มีการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 รองรับไว้ ดังนั้น สตช.ในฐานะหน่วยงานหลัก จึงมีความจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 94,212,560 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
มีรายงานว่า ในที่ประชุมครม. ไม่ได้มีรัฐมนตรีคนใดสอบถาม หรือแสดงความคิดเห็นต่อการของบฯ ดังกล่าว ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงบประมาณแต่อย่างใด
**ผู้การแต้มรุกคืบขอคืนถนนอีก2เลน
เมื่อเวลา 16.20 น. วานนี้ (1 มี.ค.) พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) พร้อมคณะได้เดินทางมายังพื้นที่การชุมนุมของเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ เพื่อเจรจาขอเปิดพื้นที่จราจรกับ นายรักษ์ รักษ์พงษ์ หรือ สมณะโพธิรักษ์ ผู้ก่อตั้งสำนักสันติอโศก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน ตามที่ศอ.รส. ได้มอบนโยบายมา
ทั้งนี้ พล.ต.ต.วิชัย ได้คอยสมณะโพธิรักษ์นานกว่า 1 ชั่วโมง ท่ามกลางกลุ่มผู้ชุมนุมที่แตกตื่น เมื่อเห็นคณะตำรวจเข้ามาในพื้นที่ โดยในระหว่างคณะเจรจาได้รอสมณะโพธิรักษ์อยู่นั้น พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรสุข และ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ คณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ได้มาพูดคุยถึงแนวทางการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยแนะนำว่าต้องรับฟังประชาชน และต้องไม่เป็นเครื่องมือของกลุ่มการเมืองใด
กระทั่งเวลา 17.30 น. สมณะโพธิรักษ์จึงได้เดินทางมาถึงพื้นที่ชุมนุม โดยพล.ต.ต.วิชัย ได้มอบหนังสือ “วางปืนใช้ปาก” จำนวน 50 เล่ม แก่สมณะโพธิรักษ์ พร้อมระบุว่า มาพบครั้งนี้ เพื่อขอให้มีการเปิดพื้นที่จราจร 2 ช่องทาง เช่นเดียวกับในช่วงแรกของการชุมนุม หลังจากที่เมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือจากกลุ่มพันธมิตรฯ ในการเปิดพื้นที่ 2 ช่องทางหน้ากระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งทำให้ประชาชนได้โทรมาขอบคุณทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ และตำรวจ เนื่องจากช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้มาก พร้อมรับปากว่าจะให้เจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลเรื่องความปลอดภัยอย่างเต็มที่ หากมีการเปิดพื้นที่ให้รถสัญจรได้
***"โพธิรักษ์"ปฎิเสธเกรงผู้ชุมนุมไม่ปลอยภัย
สมณะโพธิรักษ์ ได้กล่าวปฏิเสธตามที่ พล.ต.ต.วิชัย พยายามร้องขอ โดยกล่าวว่า ตนเห็นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ไม่สามารถปฏิบัติตามที่ขอได้ เนื่องจากมีการกางเต๊นท์ สร้างห้องน้ำ และมีผู้ชุมนุมอาศัยอยู่หนาแน่น โดยเฉพาะเด็กเล็ก จึงเกรงว่าอาจเกิดความไม่ปลอดภัยขึ้นได้ ซึ่งการเปิดถนนบางส่วนนั้นเคยทำในช่วงแรกๆ ที่มีการชุมนุมแล้ว ซึ่งผลที่ออกมาก็ไม่ดี มีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกปาสิ่งของเข้ามาในที่ชุมนุมได้ อันจะเป็นอันตรายกับผู้ชุมนุม
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ได้รับการอภัยโทษกลับมา ทางเครือข่ายจะยุติการชุมนุมหรือไม่ สมณะโพธิรักษ์ กล่าวว่า ถึงทั้ง 2 คนจะกลับมา แต่การชุมนุมจะยังคงดำเนินต่อไป เนื่องด้วยต้องการให้สังคมได้รับรู้ข้อเท็จจริง และทำให้คนไทยได้รู้จักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
จากนั้น พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า ถึงอย่างไรก็จะเจรจาต่อไป เพราะการเจรจาเป็นทางออกที่ดีที่สุด โดยจะพยายามมาเจรจาอีกครั้ง แต่ยังไม่สามารถระบุว่าจะมาเมื่อใด เมื่อถามว่าหากผู้ชุมนุมไม่ยอมคืนพื้นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะใช้กำลังผลักดันผู้ชุมนุมหรือไม่ พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า การดำเนินการมีขั้นตอนอยู่ แต่จะใช้การเจรจาเป็นหลัก
**4 มี.ค.นัดฟังคดีพันธมิตรฯฟ้องนายกฯ**
ที่ห้องพิจารณาคดี 612 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนฉุกเฉินคดีที่นายประพันธ์ คูณมี กรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี , คณะรัฐมนตรี (ครม.) และพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นจำเลยที่ 1-3 เรื่องละเมิดจากการออกประกาศและข้อกำหนดตามพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายใน ราชอาณาจักร พ.ศ.2551 จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศและข้อกำหนดทุกฉบับ และขอให้ไต่สวนฉุกเฉินเพื่อระงับการดำเนินการใดๆ ตามพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ซึ่งได้มีการประกาศต่ออายุจนถึงวันที่ 23 มี.ค.นี้
โดยพล.ท.อักษรา เกิดผล ผู้ช่วยเสนาธิการฝ่ายยุทธการทหารบก ในฐานะผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)และพล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผบ.ตร. เลขาธิการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) เป็นผู้แทนของนายกรัฐมนตรีจำเลยที่ 1 และผบ.ตร.จำเลยที่ 3 ส่งคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร ประเด็นที่มาและเหตุในการออกประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ รวม 4 หน้า
ภายหลังศาลพิจารณาเอกสารและสอบถามผู้แทนของจำเลยทั้ง 2 แล้ว ยืนยันให้การตามเอกสารดังกล่าว ศาลจึงนัดฟังคำสั่งเกี่ยวกับคำขอไต่สวนฉุกเฉินในวันที่ 4 มี.ค.นี้ เวลา 13.30 น. พร้อมกับคดีหมายเลขดำที่ 663/2554 ที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย และเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานสมัชชาฯ และนายทศพล แก้วทิมา เครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ซึ่งถูกออกหมายเรียกลำดับที่ 10 ตามพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ร่วมกันยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีและผบ.ตร. เป็นจำเลยที่ 1-2 เรื่องขอให้พิพากษาว่าประกาศและข้อกำหนดที่ออกตามพ.ร.บ.ความมั่นคงฯเป็นโมฆะ เนื่องจากศาลเห็นว่าลักษณะคดีคล้ายคลึงกัน ซึ่งคดีดังกล่าวจะไต่สวนเสร็จวันที่ 3 มี.ค.นี้
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ กล่าวว่า หากที่สุดแล้วศาลมีคำส่งยกคำร้องคดีนี้ ตนก็จะใช้วิธีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เนื่องจากการออกประกาศพ.ร.บ.ไม่ชอบด้วยกฎหมายในหลายส่วน รวมทั้งบริบทในการที่ออกประกาศก็ไม่ชอบเช่นกัน
เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (1 มี.ค.) ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนว่า การชุมนุม 36 วันที่ผ่านมา เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีเพียงเมื่อวันที่ 28 ก.พ. ที่ทำให้ประชาชนไม่สบายใจ จากกรณีเจ้าหน้าที่เข้ายึดคืนพื้นที่เท่านั้น แต่ตนและคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ก็ได้กล่าวย้ำให้ทุกคนสบายใจ และผลัดเปลี่ยนกันเข้าร่วมการชุมนุมอย่างปกติ เพราะเห็นใจที่ผู้ชุมนุมหลายคนเหน็ดเหนื่อย เสียเงินเสียทอง มาช่วยการชุมนุม
อย่างไรก็ตาม ก็คิดว่าทำของเราไปเช่นนี้ มีประโยชน์ต่อบ้านเมือง และได้สื่อสารข้อมูลข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รับฟัง ส่วนจะเชื่อถืออย่างไร ก็เป็นดุลพินิจของประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะมีการขอคืนพื้นที่บริเวณ ถ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมนุมของกองทัพธรรม และเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เป็นไปได้ยาก เนื่องจากพื้นที่จำกัด และมีสิ่งของที่กีดขวางทางจราจรค่อนข้างมาก โดยตนเคยไปช่วยจัดการจราจรก่อนหน้าที่จะมีการชุมนุมของพันธมิตรฯ ซึ่งยังมีผู้เข้าร่วมชุมนุมน้อย ก็สามารถเปิดการจราจรได้บ้าง แต่เมื่อมีคนมากขึ้นก็เป็นไปได้ยาก เพราะเส้นทางแคบ และมีโรงครัว เวที รวมไปถึงกิจกรรมหลายๆ อย่างที่มีมวลชนเข้าร่วมตลอดวัน จึงต้องอยู่อย่างอดทน และดูว่าเจ้าหน้าที่จะมาทำให้เกิดความยุ่งยากได้แค่ไหน แต่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้
ในส่วนกรณีที่จะมีการจัดงานกาชาดช่วงปลายเดือนมี.ค.ที่อาจจะต้องมีการเปิดพื้นที่การชุมนุมนั้น ตนเห็นว่ายังอีกนาน ถึงเวลานั้นอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ได้ อย่าเพิ่งคาดเดากันก่อน
พล.ต.จำลองกล่าวว่า ต้องถามเจ้าหน้าที่ว่า เหตุใดจึงต้องมากังวลกับพื้นที่ตรงนี้ พื้นที่อื่นเช่น หน้าบ้านนายกฯ เหตุใดจึงไม่เปิดการจราจร คงต้องถามกลับว่าต้องการกลั่นแกล้งให้ถึงที่สุดเช่นนั้นหรือ ซึ่งการเปิดพื้นที่จราจรต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยด้วย เพราะบริเวณหน้ากระทรวงศึกษาธิการที่เพิ่งเปิด ก็เกือบมีประชาชนถูกรถชน จึงต้องขอตำรวจว่า ไม่สามารถกั้นรั้วเหล็กกันไม่ให้ประชาชนข้ามไปใช้บริการห้องน้ำ
** อัดรัฐบาลไม่เหลียวแล"วีระ-ราตรี"
พล.ต.จำลองกล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า นายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ได้ลงนามขออภัยโทษต่อกษัตริย์กัมพูชาแล้ว ว่า ตนทราบตามข่าวที่กระทรวงการต่างประเทศแจ้ง โดยทูตไทยที่กัมพูชาบอกว่า นายวีระ และน.ส.ราตรี ได้ขออภัยโทษแล้ว แต่เราคงไปก้าวก่ายไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องการตัดสินใจของครอบครัวทั้ง 2 คน ซึ่งทางเราก็มีการประชุมเป็นกลุ่มย่อย ที่จะเข้าไปช่วยเหลือในการกดดันทางการกัมพูชาให้มีการปล่อย นายวีระ และน.ส.ราตรี แต่ในฐานะภาคประชาชน ก็ทำอะไรไม่ได้มากไม่เหมือนรัฐบาลที่สามารถทำได้ เพราะมีเครื่องมือ และบทบาท แต่กลับไม่ทำตามที่เราได้เสนอ
"เราไม่เข้าใจว่าเหตุใดทั้งคู่จึงโชคร้าย ต้องติดคุกอยู่ที่กัมพูชาตั้งนาน สิ่งที่เราเสนอแนะให้รัฐบาลทำ แต่ก็ไม่ทำ จึงน่าเห็นใจ โดยเฉพาะตามข่าวที่บอกว่านายวีระ มีโรคประจำตัว เมื่ออยู่ในคุกที่ต่ำกว่ามาตฐาน คงไม่ได้รับความความสะดวกในการหายา หรือหมอมารักษา" พล.ต.จำลองกล่าว
เมื่อถามว่าหากมีการยุบสภา แนวทางการชุมนุมของพันธมิตรฯ จะเป็นอย่างไร พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เราก็ยังชุมนุมอยู่ที่นี่ เนื่องจากจะมีนายกรัฐมนตรีรักษาการณ์ ซึ่งสามารถทำหน้าที่รักษาชาติบ้านเมืองได้ตามปกติ เพราะเวลาที่ผ่านไป ทำให้เสียเปรียบกัมพูชามากยิ่งขึ้น
"หากทำตามข้อเรียกร้องที่พันธมิตรฯ เสนอ ก็จะสามารถนำดินแดนที่เสียไปแล้วกลับมาได้ รวมทั้งป้องกันการถูกรุกรานในอนาคตได้อย่างยั่งยืน พันธมิตรฯ ไม่ได้มาชุมนุมให้มีการยุบสภา เพราะเจตนาของเราใหญ่กว่า คือ ต้องการปกป้องดินแดน" พล.ต.จำลองกล่าว
**ตร.เตรียมขอคืนพื้นที่ถ.พิษณุโลก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการแถลงข่าวแถลงข่าวของกลุ่มพันธมิตรฯ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) ได้เดินทางเข้าพบพล.ต.จำลอง โดยพล.ต.ต.วิชัย กล่าวขอบคุณพล.ต.จำลอง ที่ให้ความร่วมมือในการเปิดพื้นผิวจราจร ขณะที่พล.ต.จำลอง ได้ขอความร่วมมือจากตำรวจ ในการเปิดทางให้ประชาชนสามารถข้ามถนนไปเข้าห้องน้ำได้ในบางจุด
พล.ต.ต.วิชัยกล่าวกับสื่อมวลชนว่า ในเวลา 16.00 น. ตนมีนัดหมายกับ สมณะโพธิรักษ์ แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ เพื่อเจรจาของพื้นที่บน ถ.พิษณุโลก บางส่วน โดยจะพยายามขอคืนให้ได้มากที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และให้รถสามารถระบายได้ เนื่องจากเส้นทาง ถ.ราชดำเนิน และ ถ.พิษณุโลก ถือเป็นเส้นทางหลักที่มาจากฝั่งธนบุรี หากได้ ก็จะมีการจัดการจราจรบน ถ.พิษณุโลก ในลักษณะเดิม คือ ให้ใช้ 2 ช่องทาง โดยให้วิ่งรถทางเดียวสลับเช้าเย็น ในส่วนของเต้นท์ หรือสิ่งกีดขวางที่เป็นอุปสรรค ก็จะมีการพูดคุยหาทางกัน
“ยืนยันได้ว่า การที่ตำรวจมาขอเส้นทางแล้ว ก็จะมีตำรวจปราบจลาจลมาดูแลรักษาความปลอดภัย และจัดการจราจรให้ทุกอย่าง เชื่อว่าสามารถพูดคุยกันได้"พล.ต.ต.วิชัยกล่าว
เมื่อถามว่า จะมีการขอพื้นที่บน ถนนราชดำเนินเพิ่มเติมหรือไม่ พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มี มีเพียงเส้นทาง ถ.พิษณุโลก ซึ่งก็ได้รับความอนุเคราะห์จากเวทีพันธมิตรฯ ที่ให้ความร่วมมือ และจัดการจราจรให้ ก็เรียบร้อยดี
** "เทือก"ลั่นต้องขอพื้นที่คืนทั้งหมด
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีพล.ต.จำลอง ตำหนิการขอคืนพื้นที่ว่า รัฐบาลใช้อำนาจบังคับให้ตำรวจทำ ถือเป็นระยะแรกของการสลายการชุมนุมนั้น ตนยืนยันว่า จะไม่สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปสลายการชุมนุม แล้วเราไม่เคยทำเรื่องการสลายการชุมนุมเลย แต่ว่าการขอพื้นที่คืนให้ประชาชนส่วนใหญ่นั้น ต้องทำ และคงไม่ใช้เป็นการสลายตามที่กล่าวไปแล้ว เราเพียงไปขอคืนพื้นที่กลับมาให้ประชนได้สัญจรไปมาได้เลนหนึ่ง และวานนี้ (1 มีค.) ก็ต้องพยายามต่อ เพราะประชาชนเดือดร้อน อย่างนี้ไม่ได้เรียกว่าไปสลายการชุมนุม โปรดอย่าไปบิดเบือนเป็นอย่างอื่น ตนไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน
ส่วนบริเวณถนนพิษณุโลก ที่ยังไม่มีการขอคืนพื้นที่นั้น ทางเจ้าหน้าที่ก็พยายามเร่งดำเนินการอยู่ ที่ผ่านมาตนเองก็อึดอัดใจเหมือนทุกคน ส่วนที่มองว่าที่ผ่านมาเป็นเพราะผู้ใหญ่ในรัฐบาลไม่กล้าที่จะสั่งการ เพราะเกรงว่าหากเกิดเหตุร้ายแล้วจะไม่มีใครรับผิดชอบนั้น ก็คงไม่ใช่
"ผมระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ปะทะรุนแรง เพราะจะทำให้เป็นเหตุบานปลาย ผมรู้ว่าประชาชนก็ไม่ชอบใจ แต่เราคงไม่ต้องการให้มีการทุบตีกันกลางเมืองกรุงเทพฯ เราคงไม่อยากให้ภาพพจน์ของประเทศชาติเสียหาย ก็ต้องใช้วิธีการตามที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้"นายสุเทพกล่าวและว่า ตนเห็นใจเจ้าหน้าที่ทำงานเรื่องนี้ว่าทำงานด้วยความยากลำบาก และพูดง่ายที่ไหนกับบรรดาแกนนำ อยากให้สื่อไปเห็น หรือมีการถ่ายทอดคำต่อคำไปออกทีวีทุกประโยค กราบขออภัยพี่น้องประชาชนด้วย
**"วิเชียร"รับลูกต้องยึดพื้นที่คืนให้หมด
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงการขอคืนพื้นที่จากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ขณะนี้ยังคงปักหลักชุมนุมอยู่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ว่า หากกลุ่มพันธมิตรฯ ยังคงชุมนุมอยู่ที่นี่ขอให้ช่วยระบายการจราจร หรือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน ทั้งนี้ หากกลุ่มพันธมิตรฯ ได้นำเสนอข้อเรียกร้องอย่างเต็มที่หรือเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้ว ก็อยากให้ถอนตัวกลับไป
“การเรียกร้องในสังคมประชาธิปไตยนั้นสามารถทำได้ โดยการออกมาส่งเสียงเรียกร้องหรือสร้างความกดดันให้กับฝ่ายที่รับผิดชอบได้ทราบแล้ว แต่ถ้ายังไปสร้างความเดือดร้อนหรือละเมิดสิทธิของผู้อื่น ถ้าหากเลิกได้ก็ควรจะเลิกทำ แต่เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ยอมเลิก ตำรวจจึงต้องพยายามที่จะขอคืนพื้นที่ ซึ่งล่าสุดได้ขอคืนถนนราชดำเนินนอกเส้นคู่ขนานติดกับกระทรวงศึกษาธิการ แต่หากได้ถนนคู่ขนานด้านที่ติดกับทำเนียบรัฐบาลก็จะทำให้ปัญหาการจราจรทุเลาเบาบางลงได้มาก”ผบ.ตร.กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะขอคืนพื้นที่อีกหรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า ตำรวจก็ยืนยันว่า จะขอคืนพื้นที่อีก แต่ก็ต้องรอดูสถานการณ์ ว่า กลุ่มพันธมิตรฯ จะกรุณาได้มากแค่ไหน เมื่อถามว่า ศอ.รส. คาดหวังว่า จะขอคืนพื้นที่ทั้งหมดหรือไม่ พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า หากขอได้เราก็อยากจะขอ ส่วนจะดำเนินการได้ในเร็วๆ นี้ หรือไม่ ต้องรอดูสถานการณ์ก่อน
**ครม.ให้งบฯรับมือพันธมิตรฯ94 ล้าน
นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (1มี.ค.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณได้จัดทำงบฯ ด้านความมั่นคง สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ในการรักษาความสงบเรียบร้อยจากเหตุการณ์การชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองในช่วง 12 วัน คือ ระหว่างวันที่ 9-20 ก.พ.2554 วงเงินรวมทั้งสิ้น 94,212,560 บาท
ทั้งนี้ มีรายงานว่าวงเงินดังกล่าว สำนักงบประมาณได้แจ้งว่า มีหน่วยงานที่เข้าร่วมการปฏิบัติงานในช่วงการชุมนุมดังกล่าวรวมทั้งสิ้น 5 หน่วยงาน แยกเป็น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอวงเงิน 91,034,960 บาท , กองทัพบก วงเงิน 446,400 บาท , กองทัพเรือ 158,400 บาท กองทัพอากาศ 158,400 บาท และกรุงเทพมหานคร 2,414,400 บาท
โดยเอกสารของสำนักงบประมาณระบุว่า จากการที่ครม. มีมติเมื่อ 8 ก.พ.2554 ให้ใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตั้งแต่ 9-23 ก.พ.2554 ในพื้นที่ 7 เขต ของกทม.โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นหน่วยขึ้นตรงกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยมี ผบ.ตร. เป็นผอ.ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ซึ่งค่าใช้จ่ายสำหรับการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยจากเหตุการณ์ชุมนุมตามที่สตช. เสนอขอมาสำหรับหน่วยงานต่างๆ ข้างต้น ไม่ได้มีการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 รองรับไว้ ดังนั้น สตช.ในฐานะหน่วยงานหลัก จึงมีความจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 94,212,560 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
มีรายงานว่า ในที่ประชุมครม. ไม่ได้มีรัฐมนตรีคนใดสอบถาม หรือแสดงความคิดเห็นต่อการของบฯ ดังกล่าว ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงบประมาณแต่อย่างใด
**ผู้การแต้มรุกคืบขอคืนถนนอีก2เลน
เมื่อเวลา 16.20 น. วานนี้ (1 มี.ค.) พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) พร้อมคณะได้เดินทางมายังพื้นที่การชุมนุมของเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ เพื่อเจรจาขอเปิดพื้นที่จราจรกับ นายรักษ์ รักษ์พงษ์ หรือ สมณะโพธิรักษ์ ผู้ก่อตั้งสำนักสันติอโศก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน ตามที่ศอ.รส. ได้มอบนโยบายมา
ทั้งนี้ พล.ต.ต.วิชัย ได้คอยสมณะโพธิรักษ์นานกว่า 1 ชั่วโมง ท่ามกลางกลุ่มผู้ชุมนุมที่แตกตื่น เมื่อเห็นคณะตำรวจเข้ามาในพื้นที่ โดยในระหว่างคณะเจรจาได้รอสมณะโพธิรักษ์อยู่นั้น พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรสุข และ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ คณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ได้มาพูดคุยถึงแนวทางการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยแนะนำว่าต้องรับฟังประชาชน และต้องไม่เป็นเครื่องมือของกลุ่มการเมืองใด
กระทั่งเวลา 17.30 น. สมณะโพธิรักษ์จึงได้เดินทางมาถึงพื้นที่ชุมนุม โดยพล.ต.ต.วิชัย ได้มอบหนังสือ “วางปืนใช้ปาก” จำนวน 50 เล่ม แก่สมณะโพธิรักษ์ พร้อมระบุว่า มาพบครั้งนี้ เพื่อขอให้มีการเปิดพื้นที่จราจร 2 ช่องทาง เช่นเดียวกับในช่วงแรกของการชุมนุม หลังจากที่เมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือจากกลุ่มพันธมิตรฯ ในการเปิดพื้นที่ 2 ช่องทางหน้ากระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งทำให้ประชาชนได้โทรมาขอบคุณทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ และตำรวจ เนื่องจากช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้มาก พร้อมรับปากว่าจะให้เจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลเรื่องความปลอดภัยอย่างเต็มที่ หากมีการเปิดพื้นที่ให้รถสัญจรได้
***"โพธิรักษ์"ปฎิเสธเกรงผู้ชุมนุมไม่ปลอยภัย
สมณะโพธิรักษ์ ได้กล่าวปฏิเสธตามที่ พล.ต.ต.วิชัย พยายามร้องขอ โดยกล่าวว่า ตนเห็นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ไม่สามารถปฏิบัติตามที่ขอได้ เนื่องจากมีการกางเต๊นท์ สร้างห้องน้ำ และมีผู้ชุมนุมอาศัยอยู่หนาแน่น โดยเฉพาะเด็กเล็ก จึงเกรงว่าอาจเกิดความไม่ปลอดภัยขึ้นได้ ซึ่งการเปิดถนนบางส่วนนั้นเคยทำในช่วงแรกๆ ที่มีการชุมนุมแล้ว ซึ่งผลที่ออกมาก็ไม่ดี มีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกปาสิ่งของเข้ามาในที่ชุมนุมได้ อันจะเป็นอันตรายกับผู้ชุมนุม
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ได้รับการอภัยโทษกลับมา ทางเครือข่ายจะยุติการชุมนุมหรือไม่ สมณะโพธิรักษ์ กล่าวว่า ถึงทั้ง 2 คนจะกลับมา แต่การชุมนุมจะยังคงดำเนินต่อไป เนื่องด้วยต้องการให้สังคมได้รับรู้ข้อเท็จจริง และทำให้คนไทยได้รู้จักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
จากนั้น พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า ถึงอย่างไรก็จะเจรจาต่อไป เพราะการเจรจาเป็นทางออกที่ดีที่สุด โดยจะพยายามมาเจรจาอีกครั้ง แต่ยังไม่สามารถระบุว่าจะมาเมื่อใด เมื่อถามว่าหากผู้ชุมนุมไม่ยอมคืนพื้นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะใช้กำลังผลักดันผู้ชุมนุมหรือไม่ พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า การดำเนินการมีขั้นตอนอยู่ แต่จะใช้การเจรจาเป็นหลัก
**4 มี.ค.นัดฟังคดีพันธมิตรฯฟ้องนายกฯ**
ที่ห้องพิจารณาคดี 612 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนฉุกเฉินคดีที่นายประพันธ์ คูณมี กรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี , คณะรัฐมนตรี (ครม.) และพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นจำเลยที่ 1-3 เรื่องละเมิดจากการออกประกาศและข้อกำหนดตามพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายใน ราชอาณาจักร พ.ศ.2551 จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศและข้อกำหนดทุกฉบับ และขอให้ไต่สวนฉุกเฉินเพื่อระงับการดำเนินการใดๆ ตามพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ซึ่งได้มีการประกาศต่ออายุจนถึงวันที่ 23 มี.ค.นี้
โดยพล.ท.อักษรา เกิดผล ผู้ช่วยเสนาธิการฝ่ายยุทธการทหารบก ในฐานะผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)และพล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผบ.ตร. เลขาธิการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) เป็นผู้แทนของนายกรัฐมนตรีจำเลยที่ 1 และผบ.ตร.จำเลยที่ 3 ส่งคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร ประเด็นที่มาและเหตุในการออกประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ รวม 4 หน้า
ภายหลังศาลพิจารณาเอกสารและสอบถามผู้แทนของจำเลยทั้ง 2 แล้ว ยืนยันให้การตามเอกสารดังกล่าว ศาลจึงนัดฟังคำสั่งเกี่ยวกับคำขอไต่สวนฉุกเฉินในวันที่ 4 มี.ค.นี้ เวลา 13.30 น. พร้อมกับคดีหมายเลขดำที่ 663/2554 ที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย และเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานสมัชชาฯ และนายทศพล แก้วทิมา เครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ซึ่งถูกออกหมายเรียกลำดับที่ 10 ตามพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ร่วมกันยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีและผบ.ตร. เป็นจำเลยที่ 1-2 เรื่องขอให้พิพากษาว่าประกาศและข้อกำหนดที่ออกตามพ.ร.บ.ความมั่นคงฯเป็นโมฆะ เนื่องจากศาลเห็นว่าลักษณะคดีคล้ายคลึงกัน ซึ่งคดีดังกล่าวจะไต่สวนเสร็จวันที่ 3 มี.ค.นี้
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ กล่าวว่า หากที่สุดแล้วศาลมีคำส่งยกคำร้องคดีนี้ ตนก็จะใช้วิธีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เนื่องจากการออกประกาศพ.ร.บ.ไม่ชอบด้วยกฎหมายในหลายส่วน รวมทั้งบริบทในการที่ออกประกาศก็ไม่ชอบเช่นกัน