ASTVผู้จัดการรายวัน - “พงศพัศ” แถลงจับผู้กระทำผิดขายน้ำมันปาล์มเกินราคา เตือนมีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท ผู้ค้ารายย่อยร้องให้ไปจับยี่ปั๊วที่ฮั้วกับทางห้างดีกว่ามาจับรายย่อย ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง กบง.ถกวันนี้( 4 มี.ค.)คาดดึงเงินอุ้มดีเซลเพิ่มอีก 0.50 บาท/ลิตร รวมเป็นชดเชย 5 บาท/ลิตร หลังผู้ค้าน้ำมันต่างชาติปรับขึ้นดีเซลเกินลิตรละ 30 บาทแล้ว “มาร์ค”สั่งตรึงราคาดีเซลจนถึงสิ้นเดือน เม.ย. โวยังมีเงินกองทุนน้ำมัน 8 พันล้านบริหารจัดการได้ ส่วนน้ำตาลทราย “ชัยวุฒิ” ส่งสัญญาณยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ถ้ากักตุนน้ำตาลจนทำให้ตึงตัวและราคาแพงเตรียมงัดไม้เด็ดให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายซื้อโควตา ก. มาขายตรงในราคาควบคุมแทน
วานนี้ (3 มี.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่ปรึกษา (สบ10) พ.ต.อ.ทนัย อภิชาตเสนีย์ รองผบก.ปคบ. พ.ต.อ.ชำนาญเดช แตงจุ้ย ผกก.1 บก.ปคบ. พ.ต.อ.จักษ์ เพ็งสาธร ผกก.3 บก.ปคบ. พ.ต.อ.พฤทธิพงษ์ ประยูรศิริ ผกก.4 บก.ปคบ.และ นายวิชัย โภชนกิจ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันปาล์ม 3 กรณี ประกอบด้วย
1. ร้านค้ารายย่อยที่จำหน่ายน้ำมันปาล์มเกินกว่าราคาที่รัฐบาลกำหนดไว้ ทั้งหมด 5 ร้าน ประกอบด้วย ร้านค้าตลาดพิบูลย์ ถนนพระราม 2 เขตบางขุนเทียน กทม., ร้านค้าบริเวณปั๊มแก๊ส ถนนจรัญสนิทวงศ์ เขตบางพลัด กทม., ร้านค้าในชุมชนอัมรินทร์ แขวงและเขตสายไหม กทม., ร้านค้าในตลาดบางกะปิ เขตบางกะปิ กทม., และร้านค้าภายในซอยลาดพร้าว 121 เขตบางกะปิ กทม. โดยพบว่าผู้ค้าทั้งหมดมีการจำหน่ายน้ำมันปาล์มเกินกว่าราคา 47 บาท ตามที่รัฐบาลกำหนด
2. จับกุมผู้ค้าส่ง ที่แบ่งน้ำมันปาล์มออกจำหน่ายผิดกฎหมาย ประกอบด้วย นายสายชล ทิมขุนทด อายุ 34 ปี พร้อมของกลางน้ำมันปาล์ม 383 ลัง ทั้งแบบบรรจุขวด และแบบแบ่งถุง ซึ่งไม่ระบุวันเดือนปีที่ผลิต จำนวน 4,270 ลิตร พร้อมรถกระบะนิสสัน สีบรอนซ์ ทะเบียน 5ก 2287 กทม. ที่บรรทุกน้ำมันปาล์มดังกล่าวจากบริษัท เมืองทิพย์น้ำมันพืช ถนนพุทธมณฑลสาย 2 แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กทม. ก่อนนำไปส่งที่ตลาดคลองเตย เบื้องต้นแจ้งข้อหาแสดงฉลากอาหารไม่ครบถ้วน ตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 มาตรา 6
3. จับกุม นายมงคล แซ่เจ่น อายุ 37 ปี พร้อมรถบรรทุกน้ำมันพืชใช้แล้วอยู่เต็มคัน สอบสวนนายมงคล ให้การว่าได้รับว่าจ้างให้ขับรถบรรทุกนำน้ำมันพืชใช้แล้วดังกล่าวไปส่งยังโรงงานในพื้นที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวว่า ทาง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ตำรวจทุกหน่วยเร่งสืบสวนติดตามการกระทำผิดเกี่ยวกับการจำหน่ายน้ำมันปาล์มเกินราคาที่รัฐบาลกำหนดซึ่งทางตำรวจก็อยากฝากเตือนไปยังผู้จำหน่าย รวมทั้งยี่ปั๊วที่คิดจะขายเกินราคาว่าการกระทำดังกล่าวมีโทษจำคุกถึง 7 ปี ปรับ 140,000 บาท อย่างไรก็ตาม ตำรวจก็ไม่อยากเอาผิดกับผู้ค้ารายย่อย แต่ก็ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนที่พบเห็นการกระทำความผิดสามารถแจ้งเบาะแสมาได้ที่สายด่วน 1135 เพื่อตรวจสอบการกักตุน และจำหน่ายน้ำมันปาล์มเกินราคาต่อไป
ด้าน นางศิริพร พรหมมา อายุ 45 ปี เจ้าของร้านค้าปลีกในชุมชนอัมรินทร์ หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม กล่าวว่า ได้ซื้อน้ำมันปาล์มชนิดฝาสีฟ้า มาจากห้างสรรพสินค้าแม็คโคร ในราคา 47 บาท ก่อนนำมาจำหน่ายให้ลูกค้าในราคา 55 บาท ซึ่งทุกครั้งจะบอกกับลูกค้าก่อนว่าจำเป็นต้องจำหน่ายเกินราคา ซึ่งอยู่ที่ความพอใจกันระหว่างตนกับลูกค้า ส่วนกรณีที่มีกฎหมายกำหนดนั้นตนทราบดีแต่ถ้าขายราคา 47 บาท ก็เท่ากับไม่ได้อะไรเลย
ต่อมา ระหว่างการแถลงข่าว นางเกตุแก้ว มีวันดี อายุ 62 ปี เจ้าของร้านขายของชำในซอยลาดพร้าว 121 ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ล่อซื้อและจับกุมจากการจำหน่ายน้ำมันปาล์มเกินราคา ได้เดินถือบิลเงินสดมาร้องขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชน และ พล.ต.อ.พงศพัศ
นางเกตุแก้ว กล่าวว่า ซื้อน้ำมันปาล์มแบบขวดมาจากยี่ปั๊วในราคาขวดละ 62 บาท และยอมขายขาดทุนในราคาขวดละ 58 บาท เพราะมีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังจับกุมผู้ค้าน้ำมันเกินราคา อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้กลุ่มผู้ค้ารายย่อยมีความเดือดร้อนกันมาก จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบหรือจับกุมพวกยี่ปั๊วที่ฮั้วกับห้าง ลักลอบขนกันหลังห้าง พวกนี้รวยเอาๆ ทำไมไม่จับ มาจับคนหาเช้ากินค่ำและมีภาระต้องเลี้ยงดูลูกอีกด้วย
ขณะที่ทาง พล.ต.อ.พงศพัศ รับปากว่า จะขยายผลการจับกุมต่อไป แต่กลุ่มผู้ค้ารายย่อยก็ต้องให้ความร่วมมือแจ้งเบาะแสของยี่ปั๊วที่มีพฤติการณ์กระทำความผิด
ส่วน นายวิชัย รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ขณะนี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ อยู่เป็นประจำ ว่า แต่ละแห่งมีการกักตุน หรือกระจายการจำหน่ายน้ำมันปาล์มอย่างไร ซึ่งพบข้อมูลว่ามีพนักงานบางส่วนของห้างสรรพสินค้าบางแห่งลักลอบนำน้ำมันปาล์มชนิดฝาสีฟ้าไปจำหน่ายให้กับยี่ปั๊วรายใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมาทางห้างสรรพสินค้าก็มีมาตรการลงโทษด้วยการไล่ออกหลายราย
***กบง.เตรียมชดเชยค่าการตลาดดีเซลอีก 0.50 บาท/ลิตร
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีน.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เป็นประธานวันนี้(4 มี.ค.) จะมีการพิจารณาอนุมัติการเพิ่มอัตราการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลให้กับผู้ค้าน้ำมันอีก 0.50 บาทต่อลิตรเนื่องจากค่าการตลาดต่ำเพียง 0.90 บาทต่อลิตรหลังราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การตรึงดีเซลไว้ที่ระดับ 29.99 บาทต่อลิตรครั้งนี้ส่งผลให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยรวมเป็น 5 บาทต่อลิตรแล้ว และมีผลให้กองทุนฯชดเชยเพิ่มจาก 247 ล้านบาทต่อวันเป็น 272 ล้านบาทต่อวัน
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)กล่าววว่า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดยังปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบปรับเพิ่มขึ้น 2.6 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรลมาอยู่ที่ 109 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ในขณะที่ราคาดีเซลตลาดสิงคโปร์ ปรับเพิ่มขึ้น 3.34 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล มาอยู่ที่ 128.1 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล
“ค่าการตลาดน้ำมันดีเซล เหลืออยู่เพียง 0.90 บาท/ลิตร ทำให้ขณะนี้ผู้ค้าน้ำมันต่างชาติได้ทยอยปรับขึ้นราคาในกลุ่มเบนซินและดีเซลไปแล้วตั้งแต่ 0.50 - 1 บาทต่อลิตร“ นายวีระพลกล่าว
ปัจจุบันใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดูแลราคาดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาทไปแล้ว 8,500 ล้านบาท ซึ่งสถานะกองทุนน้ำมันฯมีเงินไหลออกติดลบอยู่ 7,400 ล้านบาท โดยมีเงินสดอยู่ 2.1 หมื่นล้านบาท ยังไม่หักลบกับภาระในการชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติ(เอ็นจีวี) และโครงการติดตั้งเอ็นจีวีฟรีในรถแท็กซี่ ซึ่งจะทำให้มีเงินกองทุนน้ำมันเหลืออยู่ระดับ 1.5-1.7 หมื่นล้านบาท ถ้ารัฐบาลยังยืนยันที่จะตรึงราคาดีเซลต่อไปสภาพคล่องของเงินทุนน้ำมันจะหมดภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 เดือน
***ต่างชาติขึ้นนำเบนซิน 91 รวดเดียว 1 บาท/ลิตร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทน้ำมันค่ายต่างชาติได้แก่ เชลล์ คาลเท็กซ์ และเอสโซ่ได้นำปรับขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิดโดยดีเซลขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร และกลุ่มเบนซิน 0.80 บาทต่อลิตรมีผลตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค. ส่งผลให้ปตท.และบางจากได้ประกาศปรับขึ้นราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินตามในอัตราที่เท่ากันแต่มีผลวันนี้( 4 มี.ค.)แต่ยังคงตรึงดีเซลไว้เนื่องจากคาดว่าจะมีการประชุมกบง.เพื่ออุดหนุนเพิ่มวันนี้
ทั้งนี้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกในเขตกทม.และปริมณฑลเป็นดังนี้ ดีเซลปตท.และบางจากอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตรแต่ต่างชาติจะแพงกว่า 50 สตางค์ต่อลิตร ขณะที่เบนซิน 91 ต่างชาติจะปรับสูงกว่าปตท.และบางจาก คือปรับขึ้น 1 บาทต่อลิตร อยู่ที่ 42.24 บาทต่อลิตร ส่งผลให้เบนซิน 91 ราคาสูงสุดรอบ 2 ปี 8 เดือนนับตั้งแต่ก.ค.ปี 2551 ขณะที่ปตท.และบางจากปรับขึ้น 0.80 บาทต่อลิตรอยู่ที่ 42.04 บาทต่อลิตร ที่เหลือเท่ากันคือ แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 34.84 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 37.34 บาทต่อลิตร อี-20 อยู่ที่ 33.94 บาทต่อลิตร อี-85 อยู่ที่ 22.02 บาทต่อลิตร
***"มาร์ค” สั่งตรึงราคาดีเซลจนถึงสิ้นเดือน เม.ย.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงพลังงานมีข้อเสนอให้ลดภาษีสรรพสามิต และเพิ่มเพดานในการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ว่าคงจะเดินไปถึงสิ้นเดือนเม.ย.ได้ ในวัน 1 มี.ค.ผ่านมา ได้สอบถามกับกระทรวงพลังงานคิดว่าถึงสิ้นเดือนเม.ย. จะเหลือเงินในกองทุนน้ำมันประมาณ 8 พันล้านบาท
ส่วนการขยับเพดานราคาจะเป็นไปได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่มีการขยับเพดาน เพราะไม่เช่นนั้นสินค้าอื่นๆ หรือภาคขนส่งจะขอขึ้นราคา เพราะที่ผ่านมาเขาใช้เกณฑ์ตรงนี้ในการขึ้นราคา หรือค่าบริการต่างๆ ในชั้นนี้คิดว่า เราควรจะยึดแนวทางเดิมไปจนถึงสิ้นเดือนเม.ย. เพราะขณะนี้ราคาน้ำมันในตลาดโลกแกว่งตัวค่อนข้างมาก แต่ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง และการเก็งกำไร
ส่วนการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันอาจจะสูงถึง 130 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะคล้ายกับต้นปี 51 แต่หลังจากนั้นจะราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นสูงจะลดลงค่อนข้างรวดเร็ว เพราะพื้นฐานความต้องการกับกำลังผลิตไม่น่าจะสูงขนาดนั้น แต่ที่สูงขนาดนั้นเกิดจากภาวะตระหนก และการเก็งกำไรบ้าง เพราะฉะนั้นจะเอาเป็นเกณฑ์เพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องดูความเป็นจริง
“เว้นแต่มีเหตุการณ์ปัญหาความรุนแรง กำลังการผลิตหายไปทันทีเท่าไหร่ ในโลกจะทำอย่างไร กระทรวงพลังงานต้องติดตาม เพราะผมคุยกับเขาทุกวันจันทร์-อังคารอยู่แล้ว เพราะอยู่ในกรอบของการปฏิรูป” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
***ก.อุตฯ ยืนยันน้ำตาลทรายมีเหลือเฟือ
นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยหลังการเดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงงานน้ำตาลทราย ไทยกาญจนบุรี จำกัด และบริษัท น้ำตาลทรายท่ามะกา จำกัด (KSL) จ.กาญจนบุรี วานนี้ (3 มี.ค.) ว่า ขอส่งสัญญาณไปยังผู้ค้าส่งน้ำตาลหรือยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ว่า อย่ากักตุนน้ำตาล เพราะหากปัญหาราคาน้ำตาลทรายแพงและยังคงตึงตัว กระทรวงฯ อาจใช้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย (กท.) ดำเนินการจัดซื้อน้ำตาลบริโภคในประเทศ (โควตา ก.) ส่วนหนึ่ง มาดำเนินการขายเองโดยตรงและกระจายไปยังอุตสาหกรรมจังหวัดเพื่อให้ถึงมือผู้บริโภครายย่อยได้ทันที
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ 2 โรงงานน้ำตาลทรายดังกล่าว พบมีน้ำตาลทรายขาวรอการขึ้นงวดเพื่อจำหน่ายรวมกันถึง 1.3 ล้านกระสอบ ซึ่งยืนยันถึงปริมาณน้ำตาลที่มีมากพอ อีกทั้งการผลิตมีระบบควบคุมอย่างดี โดยมีการกำหนดโควตา ก. ไว้ปีนี้ที่ 25 ล้านกระสอบเฉลี่ยจะขึ้นงวดสัปดาห์ละ 4.8 แสนกระสอบ เพื่อรอการขายที่จะต้องมาขนออกไปภายใน 15 วัน ดังนั้น เฉลี่ยจะมีน้ำตาลค้างกระดานประมาณ 1-1.5 ล้านตัน ถือเป็นอัตราปกติ
นายชายันต์ ประวาลปัทม์กุล รองกรรมการบริษัท น้ำตาลไทยกาญจนบุรี จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทน้ำตาลทราย 4 รายเท่านั้นที่ทำตลาดน้ำตาลถุง 1 กิโลกรัม (กก.) ให้กับโมเดิร์นเทรด คือ ไทยรุ่งเรือง,มิตรผล,วังขนาย และอุตสาหกรรมน้ำตาลคอนบุรี ซึ่งยอมรับว่ารายเล็กคงจะลำบาก เพราะต้องลงทุนเครื่องจักรเพื่อบรรจุถุงไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ดังนั้นการที่กระทรวงพาณิชย์ให้ค่าบรรจุภัณฑ์เพียง 0.75 บาทต่อถุง แต่ต้องขายในราคาควบคุม 23.50 บาทต่อก.ก. จึงขาดทุน วิธีแก้ คือ เพิ่มค่าบรรจุภัณฑ์มากกว่า 1 บาทต่อก.ก.ก็จะทำให้มีผู้สนใจมากขึ้น
วานนี้ (3 มี.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่ปรึกษา (สบ10) พ.ต.อ.ทนัย อภิชาตเสนีย์ รองผบก.ปคบ. พ.ต.อ.ชำนาญเดช แตงจุ้ย ผกก.1 บก.ปคบ. พ.ต.อ.จักษ์ เพ็งสาธร ผกก.3 บก.ปคบ. พ.ต.อ.พฤทธิพงษ์ ประยูรศิริ ผกก.4 บก.ปคบ.และ นายวิชัย โภชนกิจ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันปาล์ม 3 กรณี ประกอบด้วย
1. ร้านค้ารายย่อยที่จำหน่ายน้ำมันปาล์มเกินกว่าราคาที่รัฐบาลกำหนดไว้ ทั้งหมด 5 ร้าน ประกอบด้วย ร้านค้าตลาดพิบูลย์ ถนนพระราม 2 เขตบางขุนเทียน กทม., ร้านค้าบริเวณปั๊มแก๊ส ถนนจรัญสนิทวงศ์ เขตบางพลัด กทม., ร้านค้าในชุมชนอัมรินทร์ แขวงและเขตสายไหม กทม., ร้านค้าในตลาดบางกะปิ เขตบางกะปิ กทม., และร้านค้าภายในซอยลาดพร้าว 121 เขตบางกะปิ กทม. โดยพบว่าผู้ค้าทั้งหมดมีการจำหน่ายน้ำมันปาล์มเกินกว่าราคา 47 บาท ตามที่รัฐบาลกำหนด
2. จับกุมผู้ค้าส่ง ที่แบ่งน้ำมันปาล์มออกจำหน่ายผิดกฎหมาย ประกอบด้วย นายสายชล ทิมขุนทด อายุ 34 ปี พร้อมของกลางน้ำมันปาล์ม 383 ลัง ทั้งแบบบรรจุขวด และแบบแบ่งถุง ซึ่งไม่ระบุวันเดือนปีที่ผลิต จำนวน 4,270 ลิตร พร้อมรถกระบะนิสสัน สีบรอนซ์ ทะเบียน 5ก 2287 กทม. ที่บรรทุกน้ำมันปาล์มดังกล่าวจากบริษัท เมืองทิพย์น้ำมันพืช ถนนพุทธมณฑลสาย 2 แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กทม. ก่อนนำไปส่งที่ตลาดคลองเตย เบื้องต้นแจ้งข้อหาแสดงฉลากอาหารไม่ครบถ้วน ตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 มาตรา 6
3. จับกุม นายมงคล แซ่เจ่น อายุ 37 ปี พร้อมรถบรรทุกน้ำมันพืชใช้แล้วอยู่เต็มคัน สอบสวนนายมงคล ให้การว่าได้รับว่าจ้างให้ขับรถบรรทุกนำน้ำมันพืชใช้แล้วดังกล่าวไปส่งยังโรงงานในพื้นที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวว่า ทาง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ตำรวจทุกหน่วยเร่งสืบสวนติดตามการกระทำผิดเกี่ยวกับการจำหน่ายน้ำมันปาล์มเกินราคาที่รัฐบาลกำหนดซึ่งทางตำรวจก็อยากฝากเตือนไปยังผู้จำหน่าย รวมทั้งยี่ปั๊วที่คิดจะขายเกินราคาว่าการกระทำดังกล่าวมีโทษจำคุกถึง 7 ปี ปรับ 140,000 บาท อย่างไรก็ตาม ตำรวจก็ไม่อยากเอาผิดกับผู้ค้ารายย่อย แต่ก็ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนที่พบเห็นการกระทำความผิดสามารถแจ้งเบาะแสมาได้ที่สายด่วน 1135 เพื่อตรวจสอบการกักตุน และจำหน่ายน้ำมันปาล์มเกินราคาต่อไป
ด้าน นางศิริพร พรหมมา อายุ 45 ปี เจ้าของร้านค้าปลีกในชุมชนอัมรินทร์ หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม กล่าวว่า ได้ซื้อน้ำมันปาล์มชนิดฝาสีฟ้า มาจากห้างสรรพสินค้าแม็คโคร ในราคา 47 บาท ก่อนนำมาจำหน่ายให้ลูกค้าในราคา 55 บาท ซึ่งทุกครั้งจะบอกกับลูกค้าก่อนว่าจำเป็นต้องจำหน่ายเกินราคา ซึ่งอยู่ที่ความพอใจกันระหว่างตนกับลูกค้า ส่วนกรณีที่มีกฎหมายกำหนดนั้นตนทราบดีแต่ถ้าขายราคา 47 บาท ก็เท่ากับไม่ได้อะไรเลย
ต่อมา ระหว่างการแถลงข่าว นางเกตุแก้ว มีวันดี อายุ 62 ปี เจ้าของร้านขายของชำในซอยลาดพร้าว 121 ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ล่อซื้อและจับกุมจากการจำหน่ายน้ำมันปาล์มเกินราคา ได้เดินถือบิลเงินสดมาร้องขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชน และ พล.ต.อ.พงศพัศ
นางเกตุแก้ว กล่าวว่า ซื้อน้ำมันปาล์มแบบขวดมาจากยี่ปั๊วในราคาขวดละ 62 บาท และยอมขายขาดทุนในราคาขวดละ 58 บาท เพราะมีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังจับกุมผู้ค้าน้ำมันเกินราคา อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้กลุ่มผู้ค้ารายย่อยมีความเดือดร้อนกันมาก จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบหรือจับกุมพวกยี่ปั๊วที่ฮั้วกับห้าง ลักลอบขนกันหลังห้าง พวกนี้รวยเอาๆ ทำไมไม่จับ มาจับคนหาเช้ากินค่ำและมีภาระต้องเลี้ยงดูลูกอีกด้วย
ขณะที่ทาง พล.ต.อ.พงศพัศ รับปากว่า จะขยายผลการจับกุมต่อไป แต่กลุ่มผู้ค้ารายย่อยก็ต้องให้ความร่วมมือแจ้งเบาะแสของยี่ปั๊วที่มีพฤติการณ์กระทำความผิด
ส่วน นายวิชัย รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ขณะนี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ อยู่เป็นประจำ ว่า แต่ละแห่งมีการกักตุน หรือกระจายการจำหน่ายน้ำมันปาล์มอย่างไร ซึ่งพบข้อมูลว่ามีพนักงานบางส่วนของห้างสรรพสินค้าบางแห่งลักลอบนำน้ำมันปาล์มชนิดฝาสีฟ้าไปจำหน่ายให้กับยี่ปั๊วรายใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมาทางห้างสรรพสินค้าก็มีมาตรการลงโทษด้วยการไล่ออกหลายราย
***กบง.เตรียมชดเชยค่าการตลาดดีเซลอีก 0.50 บาท/ลิตร
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีน.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เป็นประธานวันนี้(4 มี.ค.) จะมีการพิจารณาอนุมัติการเพิ่มอัตราการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลให้กับผู้ค้าน้ำมันอีก 0.50 บาทต่อลิตรเนื่องจากค่าการตลาดต่ำเพียง 0.90 บาทต่อลิตรหลังราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การตรึงดีเซลไว้ที่ระดับ 29.99 บาทต่อลิตรครั้งนี้ส่งผลให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยรวมเป็น 5 บาทต่อลิตรแล้ว และมีผลให้กองทุนฯชดเชยเพิ่มจาก 247 ล้านบาทต่อวันเป็น 272 ล้านบาทต่อวัน
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)กล่าววว่า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดยังปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบปรับเพิ่มขึ้น 2.6 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรลมาอยู่ที่ 109 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ในขณะที่ราคาดีเซลตลาดสิงคโปร์ ปรับเพิ่มขึ้น 3.34 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล มาอยู่ที่ 128.1 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล
“ค่าการตลาดน้ำมันดีเซล เหลืออยู่เพียง 0.90 บาท/ลิตร ทำให้ขณะนี้ผู้ค้าน้ำมันต่างชาติได้ทยอยปรับขึ้นราคาในกลุ่มเบนซินและดีเซลไปแล้วตั้งแต่ 0.50 - 1 บาทต่อลิตร“ นายวีระพลกล่าว
ปัจจุบันใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดูแลราคาดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาทไปแล้ว 8,500 ล้านบาท ซึ่งสถานะกองทุนน้ำมันฯมีเงินไหลออกติดลบอยู่ 7,400 ล้านบาท โดยมีเงินสดอยู่ 2.1 หมื่นล้านบาท ยังไม่หักลบกับภาระในการชดเชยราคาก๊าซธรรมชาติ(เอ็นจีวี) และโครงการติดตั้งเอ็นจีวีฟรีในรถแท็กซี่ ซึ่งจะทำให้มีเงินกองทุนน้ำมันเหลืออยู่ระดับ 1.5-1.7 หมื่นล้านบาท ถ้ารัฐบาลยังยืนยันที่จะตรึงราคาดีเซลต่อไปสภาพคล่องของเงินทุนน้ำมันจะหมดภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 เดือน
***ต่างชาติขึ้นนำเบนซิน 91 รวดเดียว 1 บาท/ลิตร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทน้ำมันค่ายต่างชาติได้แก่ เชลล์ คาลเท็กซ์ และเอสโซ่ได้นำปรับขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิดโดยดีเซลขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร และกลุ่มเบนซิน 0.80 บาทต่อลิตรมีผลตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค. ส่งผลให้ปตท.และบางจากได้ประกาศปรับขึ้นราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินตามในอัตราที่เท่ากันแต่มีผลวันนี้( 4 มี.ค.)แต่ยังคงตรึงดีเซลไว้เนื่องจากคาดว่าจะมีการประชุมกบง.เพื่ออุดหนุนเพิ่มวันนี้
ทั้งนี้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกในเขตกทม.และปริมณฑลเป็นดังนี้ ดีเซลปตท.และบางจากอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตรแต่ต่างชาติจะแพงกว่า 50 สตางค์ต่อลิตร ขณะที่เบนซิน 91 ต่างชาติจะปรับสูงกว่าปตท.และบางจาก คือปรับขึ้น 1 บาทต่อลิตร อยู่ที่ 42.24 บาทต่อลิตร ส่งผลให้เบนซิน 91 ราคาสูงสุดรอบ 2 ปี 8 เดือนนับตั้งแต่ก.ค.ปี 2551 ขณะที่ปตท.และบางจากปรับขึ้น 0.80 บาทต่อลิตรอยู่ที่ 42.04 บาทต่อลิตร ที่เหลือเท่ากันคือ แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 34.84 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 37.34 บาทต่อลิตร อี-20 อยู่ที่ 33.94 บาทต่อลิตร อี-85 อยู่ที่ 22.02 บาทต่อลิตร
***"มาร์ค” สั่งตรึงราคาดีเซลจนถึงสิ้นเดือน เม.ย.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงพลังงานมีข้อเสนอให้ลดภาษีสรรพสามิต และเพิ่มเพดานในการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ว่าคงจะเดินไปถึงสิ้นเดือนเม.ย.ได้ ในวัน 1 มี.ค.ผ่านมา ได้สอบถามกับกระทรวงพลังงานคิดว่าถึงสิ้นเดือนเม.ย. จะเหลือเงินในกองทุนน้ำมันประมาณ 8 พันล้านบาท
ส่วนการขยับเพดานราคาจะเป็นไปได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่มีการขยับเพดาน เพราะไม่เช่นนั้นสินค้าอื่นๆ หรือภาคขนส่งจะขอขึ้นราคา เพราะที่ผ่านมาเขาใช้เกณฑ์ตรงนี้ในการขึ้นราคา หรือค่าบริการต่างๆ ในชั้นนี้คิดว่า เราควรจะยึดแนวทางเดิมไปจนถึงสิ้นเดือนเม.ย. เพราะขณะนี้ราคาน้ำมันในตลาดโลกแกว่งตัวค่อนข้างมาก แต่ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง และการเก็งกำไร
ส่วนการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันอาจจะสูงถึง 130 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะคล้ายกับต้นปี 51 แต่หลังจากนั้นจะราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นสูงจะลดลงค่อนข้างรวดเร็ว เพราะพื้นฐานความต้องการกับกำลังผลิตไม่น่าจะสูงขนาดนั้น แต่ที่สูงขนาดนั้นเกิดจากภาวะตระหนก และการเก็งกำไรบ้าง เพราะฉะนั้นจะเอาเป็นเกณฑ์เพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องดูความเป็นจริง
“เว้นแต่มีเหตุการณ์ปัญหาความรุนแรง กำลังการผลิตหายไปทันทีเท่าไหร่ ในโลกจะทำอย่างไร กระทรวงพลังงานต้องติดตาม เพราะผมคุยกับเขาทุกวันจันทร์-อังคารอยู่แล้ว เพราะอยู่ในกรอบของการปฏิรูป” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
***ก.อุตฯ ยืนยันน้ำตาลทรายมีเหลือเฟือ
นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยหลังการเดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงงานน้ำตาลทราย ไทยกาญจนบุรี จำกัด และบริษัท น้ำตาลทรายท่ามะกา จำกัด (KSL) จ.กาญจนบุรี วานนี้ (3 มี.ค.) ว่า ขอส่งสัญญาณไปยังผู้ค้าส่งน้ำตาลหรือยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ว่า อย่ากักตุนน้ำตาล เพราะหากปัญหาราคาน้ำตาลทรายแพงและยังคงตึงตัว กระทรวงฯ อาจใช้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย (กท.) ดำเนินการจัดซื้อน้ำตาลบริโภคในประเทศ (โควตา ก.) ส่วนหนึ่ง มาดำเนินการขายเองโดยตรงและกระจายไปยังอุตสาหกรรมจังหวัดเพื่อให้ถึงมือผู้บริโภครายย่อยได้ทันที
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ 2 โรงงานน้ำตาลทรายดังกล่าว พบมีน้ำตาลทรายขาวรอการขึ้นงวดเพื่อจำหน่ายรวมกันถึง 1.3 ล้านกระสอบ ซึ่งยืนยันถึงปริมาณน้ำตาลที่มีมากพอ อีกทั้งการผลิตมีระบบควบคุมอย่างดี โดยมีการกำหนดโควตา ก. ไว้ปีนี้ที่ 25 ล้านกระสอบเฉลี่ยจะขึ้นงวดสัปดาห์ละ 4.8 แสนกระสอบ เพื่อรอการขายที่จะต้องมาขนออกไปภายใน 15 วัน ดังนั้น เฉลี่ยจะมีน้ำตาลค้างกระดานประมาณ 1-1.5 ล้านตัน ถือเป็นอัตราปกติ
นายชายันต์ ประวาลปัทม์กุล รองกรรมการบริษัท น้ำตาลไทยกาญจนบุรี จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทน้ำตาลทราย 4 รายเท่านั้นที่ทำตลาดน้ำตาลถุง 1 กิโลกรัม (กก.) ให้กับโมเดิร์นเทรด คือ ไทยรุ่งเรือง,มิตรผล,วังขนาย และอุตสาหกรรมน้ำตาลคอนบุรี ซึ่งยอมรับว่ารายเล็กคงจะลำบาก เพราะต้องลงทุนเครื่องจักรเพื่อบรรจุถุงไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ดังนั้นการที่กระทรวงพาณิชย์ให้ค่าบรรจุภัณฑ์เพียง 0.75 บาทต่อถุง แต่ต้องขายในราคาควบคุม 23.50 บาทต่อก.ก. จึงขาดทุน วิธีแก้ คือ เพิ่มค่าบรรจุภัณฑ์มากกว่า 1 บาทต่อก.ก.ก็จะทำให้มีผู้สนใจมากขึ้น