xs
xsm
sm
md
lg

พท.แฉงบ200 ล้านอุ้ม“ปาล์ม”เอื้อพวก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-“เพื่อไทย”จับผิดครม.อัด 200 ล้านเอื้อประโยชน์ “ผู้ผลิตและผู้นำเข้าน้ำมันปาล์ม”ที่เป็นพรรคพวก เขย่า!โควตานำเข้ารอบใหม่ 3 หมื่นตันให้ 10 โรงงานลงตัว ผลิตน้ำมันปาล์มจุกชมพู 22 ล้านขวด ขายได้ 10 มี.ค.นี้ “เทือก”สั่งเชือดแบ่งน้ำมันครึ่งลิตรเพิ่มราคา

วานนี้(24 ก.พ.)นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมช. คลัง ในฐานะคณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่ครม. อนุมัติให้แก้ไขโดยให้คงราคาน้ำมันปาล์มขวดไว้ที่ 47 บาท แต่อนุมัติเงิน 200 ล้านบาทเพื่อชดเชยผู้ผลิตและผู้นำเข้าน้ำมันปาล์ม ถือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิตและผู้นำเข้าโดยใช้เงินภาษีอากรของประชาชนมาใช้อย่างเปล่าประโยชน์

ทันทีที่ประกาศการชดเชยน้ำมันปาล์มต่อลิตรผู้ผลิตที่ 9.50 บาท และ ผู้นำเข้าที่ 5 บาท ปรากฏว่ามีน้ำมันปาล์มเข้ามาขายในห้างเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นชัดเจนว่าต้องมีการกักตุนน้ำมันปาล์มเพื่อเก็งกำไรรเพราะโปติการที่จะนำน้ำมันปาล์มดิบมากลั่นจนเป็นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เพื่อบรรจุขวดได้จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5-7 วัน เรื่องนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่ามีขบวนการที่เอาความเดือดร้อนของประชาชนมาหาประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง

**"มาร์ค"ยันดีเอสไอลุยสอบทุจริตปาล์ม

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการวิทยุรัฐสภา ช่วง“สภาสนทนา” ถึงปัญหาด้านเศรษฐกิจว่า รัฐบาลมีมาตรการแก้ไขปัญหาคิดว่าภายใน 2-3 วันจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติคือ น้ำมันปาล์มจะไม่ขาดตลาด และประชาชนจะซื้อได้ในราคา 47 บาท ขณะที่ต้นทุนปาล์มดิบพุ่งสูงขึ้นทั่วโลก ก็เลยทำให้ไม่มีใครยอมขายขาดทุน ซึ่งขณะนี้ในส่วนของเจ้าหน้าที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ ) ก็เข้าไปติดตามดูอยู่

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติตอบคำถามในประเด็นเล่ห์เหลี่ยมของพ่อค้าที่ออกมาแบ่งขายครั้งละครึ่งลิตรโดยเพิ่มราคาขึ้นอีก 2.50 บาท แต่กลับเพิ่มราคาไปอีก 1-2 บาท ทำให้ราคาต่อลิตรสูงกว่า 47 บาทนั้น ว่า พ่อค้าจะไปทำอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ถ้ารวมเป็นลิตรแล้วต้องขายในราคา 47 บาท ถ้าเกินกว่านี้ก็ต้องถูกจับ ขณะนี้ทุกอย่างเป็นปกติหมด ตามมติของคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ และรัฐไม่เข้าไปทำให้กระบวนการหรือกลไกของตลาดถูกบิดเบือนไป

**แจงประมูลได้ราคาถูกค่าชดเชยลดลง

นายสุเทพ กล่าวถึงกรณีการประมูลนำเข้าปาล์มน้ำมัน ที่รัฐบาลประมูลได้บริษัทที่เสนอราคาถูกลง ว่า ในช่วงที่มีการประชุมคณะกรรมการฯ ได้ยึดราคาชดเชยบนพื้นฐานของตัวเลข 2 ตัว สำหรับการนำน้ำมันปาล์มดิบแยกไข จากต่างประเทศเข้ามา ถ้าซื้อที่ราคาตันละ 1,310 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อนำเข้ามาผลิตเป็นน้ำมันพืช แล้วจะชดเชยให้ลิตรละ 5 บาท แต่ถ้าได้ราคาถูกค่าชดเชย จะลดลง และในกรณีราคาประมูลตกลงที่ 1,270 ดอลลาร์ต่อตัน ค่าชดเชยจะลดลง เหลือ 3.20 บาท ซึ่งเป็นข้อตกลงกัน ส่วนราคาในประเทศไทยถ้าซื้อน้ำมันดิบจากโรงกลั่นในราคาประมาณ 44.75 บาท จะชดเชยให้ลิตรละ 9.50 บาท ถ้าราคาถูกกว่าก็จะลดลง ส่วนราคาที่ขายในท้องตลาดยังยืนที่ราคาลิตรละ 47 บาท เพราะส่วนที่ชดเชยคือการชดเชยการขาดทุนของผู้ประกอบการ และคุณภาพต้องได้มาตรฐานตามที่กำหนด
เมื่อถามว่าปาล์มน้ำมัน ที่นำเข้ามาในครั้งนี้จะมาถึงท่าเรือกรุงเทพ และ ผ่านกระบวนการผลิตมาสู่มือประชาชนได้ประมาณวันที่ 10 มี.ค.นี้ จะทันหรือพอเพียงต่อความต้องการของประชาชนหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ช้า ขณะนี้ น้ำมันจุกสีฟ้าของเดิมที่ยังออกสู่ตลาดไม่หมด จะเร่งให้ออกสู่ตลาดให้หมด และ จากนั้นในวันที่ 26 ก.พ.นี้ น้ำมันลอตใหม่ที่ผลิตตามโครงการแก้ปัญหานี้ โดยเป็นน้ำมันดิบ ที่ยืมมาจากกระทรวงพลังงาน 5 พันตัน จะออกสู่ตลาดและเพียงพอกับความต้องการ

**“มรกต” คว้าโควตาล็อตสองสูงสุด

นายอนุกูล แต้มประเสริฐ ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มได้ส่งแผนการจัดสรรโควตาน้ำมันปาล์มนำเข้ารอบสองจำนวน 3 หมื่นตันมาให้แล้ว ซึ่งบริษัทที่ได้โควตามากสุด คือ บริษัท มรกต อินดัสตรี้ส์ จำกัด (มหาชน) ได้ 6,000 ตัน รองลงมาเป็น บริษัท ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท น้ำมันพืชปทุม จำกัด และบริษัท ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) ได้เท่ากันแห่งละ 4,000 ตัน

ส่วนที่เหลือเป็นบริษัท โอลีน จำกัด ได้ 3,800 ตัน บริษัท สุขสมบูรณ์น้ำมันพืช จำกัด 3,000 ตัน บริษัท ปาล์มออย เอ็นเนอร์ยี่ อินดัสทรี จำกัด 2,000 ตัน บริษัท กลุ่มปาล์มธรรมชาติ จำกัด 1,500 ตัน บริษัท ที เอส อุตสาหกรรมน้ำมัน จำกัด 1,200 ตัน และบริษัทเหล่าธงสิงห์ จำกัด 500 ตัน
“ตามแผนเรือบรรทุกน้ำมันปาล์มจะเข้าเทียบท่าในวันที่ 7 มี.ค.นี้ และเริ่มผลิตน้ำมันปาล์มจุกสีชมพูทั้ง 22 ล้านขวด เพื่อกระจายออกสู่ตลาดได้ประมาณวันที่ 10 มี.ค. โดยทุกบริษัทจะได้รับชดเชยจากรัฐบาลลิตรละ 3 บาท 20 สตางค์ ซึ่งลดกว่าที่ตั้งไว้ 5 บาท เนื่องจากการประมูลซื้อน้ำมันปาล์มครั้งนี้ได้ราคาเพียงตันละ 1,258 เหรียญสหรัฐ ต่ำกว่าราคาที่ตั้งไว้ 1,310 เหรียญสหรัฐ”นายอนุกูลกล่าว
นายอนุกูลกล่าวว่า ส่วนน้ำมันปาล์มที่ผลิตจากผลผลิตในประเทศ 15,000 ตัน ผลิตได้ 11 ล้านขวด ขณะนี้อยู่ระหว่างการผลิต โดยคาดว่าจะเริ่มนำน้ำมันปาล์มจุกสีชมพูออกวางขายได้วันแรกในวันที่ 28 ก.พ.นี้

นอกจากนี้ ในวันที่ 8 มี.ค.นี้ คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เป็นประธาน จะหารือกันอีกครั้งว่า มีความจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันปาล์มที่เหลืออีก 9 หมื่นตันหรือไม่

**ดีเอสไอ ไม่พบ“ชุมพร” กักตุน

พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พร้อมด้วย พ.ต.ท.สุริยา สิงหกมล ผบ.สำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ดีเอสไอ และ เจ้าหน้าที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เข้าตรวจสอบการผลิตน้ำมันปาล์มของบริษัทกลุ่มปาล์มธรรมชาติ จำกัด เลขที่ 250 หมู่ 12 เพชรเกษม ตำบล ครน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ซึ่งเป็นโรงงานแห่งที่ 10 ที่ได้รับโควต้าน้ำมันปาล์มจากกระทรวงพานิช 1.2 พันตัน เพื่อผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวดฝาสีฟ้าจากการตรวจสอบ ได้ผลิตน้ำมันปาล์มฝาสีฟ้าครบตามจำนวนไม่มีการกักตุน ดีเอสไอจึงขอบัญชียี่ปั๊ว ซาปั๊ว ของบริษัทกลุ่มปาล์มธรรมชาติฯ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำมันพืชตราผึ้ง ประมาณ 40 ราย เพื่อนำไปตรวจสอบต่อว่ามีการกักตุนสินค้าหรือไม่

พ.ต.ท.สุริยา สิงหกมล ผบ.สำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ดีเอสไอ กล่าวว่า หลังจากดีเอสไอ ได้เข้าตรวจสอบบริษัทน้ำมันปาล์ม 10 แห่ง ที่ได้รับโคว้ตาน้ำมันปาล์มฝาสีฟ้าจากกระทรวงพาณิชย์ ครบทุกแห่ง พบว่ายังไม่มีโรงงานที่ไหนกักตุนสินค้า ขั้นตอนการตรวจสอบต่อไปของดีเอสไอคือ การนำบัญชียี่ปั๊ว ซาปั๊ว จำนวนมาก 10 บริษัท นำไปไล่สายตรวจสอบกระบวนการขายว่า มีซาปั๊ว ยี่ปั๊ว ที่ไหนมีการกักตุนหรือไม่

**สั่งปรับค่าแรงขั้นต่ำ หากคุมราคาสินค้าไม่ได้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อรับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ว่า เรื่องราคาสินค้า ถ้ามีปัจจัยเฉพาะแล้วรัฐบาลสามารถเข้าไปแทรกแซงได้ ก็เป็น อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าต้นทุนในภาพรวมสูงขึ้นทั้งหมดเป็นเรื่องยากที่จะใช้มาตรการ การตรึงราคาสินค้า ซึ่งถ้าเป็นอย่านั้นต้องดูรายได้ของประชาชน ทำอย่างไรให้รายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเป็นได้มากน้อยแค่ไหน ที่จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับ ปัญหาเรื่องกับเงินเฟ้อและราคาสินค้า คิดว่าต้องประเมินกัน เมื่อถามว่า การจะปรับดอกเบี้ยอีกรอบของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีผลอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่าคงต้องดูความพอดี
กำลังโหลดความคิดเห็น