คอลัมน์ : บู๊ลิ้ม
โดย : พชร สมุทวณิช
ช่วงที่ผ่านมา ผมเขียนคอลัมน์ “บู๊ลิ้ม” ในมุมมองเชิงวัฒนธรรมการเมืองไปหลายตอน ครั้งนี้จึงขอกลับมาพูดคุยถึงเรื่องราวในยุทธจักรนิยายจีนกำลังภายในด้วยมุมมองในความชอบใจในแนวทางสนุกสนานตื่นเต้นเน้นด้าน “บู๊” และ “เฮียบ” กันบ้าง
เมื่อพูดถึงนิยายจีนกำลังภายในที่เป็นรูปแบบและโครงสร้างการเล่าเรื่องที่เป็นแนวตื่นเต้น เร้าใจ ลึกลับ เลือดระอุในความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของพระเอก ตลอดจนยอดวิชายุทธที่สร้างสรรค์ได้ชนิดอ่านสนุกจนต้องขยับมือขยับไม้วาดท่วงท่าตามไปด้วย ผมอดนึกถึง “ศึกศรสวาท” และ “เตี้ยงมั่งแป๊ะ” เสียมิได้
จากข้อมูลที่มีท่านผู้เชี่ยวชาญด้านนิยายจีนกำลังภายในกล่าวเอาไว้ และผมก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับข้อมูลดังกล่าว นั่นคือ เรื่อง “ศึกศรสวาท” ผลงานของ “โกวเล้ง” เรื่องนี้ น่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายของมังกรโบราณผู้นี้ ก่อนหน้าที่ “โกวเล้ง” จะพยายามเดินหน้าหาแนวทางและรูปแบบใหม่สำหรับนิยายจีนกำลังภายใน
สำหรับขนบเดิมๆ ของนิยายจีนกำลังภายในนั้น คงเป็นที่คุ้นเคยของหลายท่านเกี่ยวกับรูปแบบที่ตัวเอกประสบชะตากรรมในชีวิต โดยส่วนใหญ่จะเป็นความแค้นที่บุพการีโดนฆ่าสังหาร(นิยายจีนกำลังภายใน ความแค้นเรื่องนี้ถือเป็นสุดยอดแค้น) จากนั้นก็ตามล้างแค้น โดยระหว่างทางก็เผชิญความกดดัน ความยากลำบาก ตกอยู่ในห้วงภาวะอันตราย เผชิญความลึกลับ ตื่นเต้น เผชิญมารร้าย แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากยอดยุทธสายธรรมมะ ได้รับสุดยอดวิชาโดยไม่คาดฝัน พบหญิงงามมากหน้าหลายตา จากนั้นก็คลี่คลายปมปัญหา ล้างแค้นเป็นผลสำเร็จ
ส่วนตัวของ “โกวเล้ง” เองที่มีผู้ศึกษาและอธิบายงานเขียนของเขา ชัดแจ้งในแนวทางการเดินเรื่องและวางโครงที่เปิดมิติใหม่ของนิยายจีนกำลังภายใน มีอยู่สองเรื่องที่อาจอธิบายเป็นภาษาง่ายๆ ดังนี้
เรื่องแรก จากเน้นประเด็น “แค้น” ไปสู่ “รัก” จากการมุ่งล้างแค้นไปสู่การมอบความรัก
เรื่องที่สอง ก็คือ นิยายของ “โกวเล้ง” จากเดิมที่มีฉากต่อสู้ห่ำหั่นด้วยวิชายุทธมากด้วยความถี่และการบรรยายในแต่ละเรื่อง กลับกลายเป็นการบรรยายฉากการต่อสู้น้อยลงทุกทีในรายละเอียด
ซึ่งประเด็นการมอบความรักให้กับคนทั้งโลก รวมตลอดถึงการไม่เน้นในเรื่องการให้ความสำคัญกับบทบู๊นี้ จะเด่นชัดในนิยายจีนกำลังภายในที่(ว่ากันว่า)ดีที่สุดของเขา “ลี้น้อยมีดบิน”
ย้อนกลับไปในเรื่องที่ผมพูดว่า “ศึกศรสวาท” นี้น่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายของ “โกวเล้ง” ในรูปแบบเดิมของขนบนิยายจีนกำลังภายใน ก่อนที่จะพบเส้นทางการเขียนแนวใหม่ และค่อยๆ สร้างสรรค์งานเขียนแนวนี้ขึ้นมาจนระบือลือลั่นในเวลาต่อมา ในเวลาใกล้ๆ กับกับที่เขาเขียน “ศึกศรสวาท” ก็คือนิยายจีนกำลังภายในเรื่อง “ธวัชล้ำฟ้า” โดยที่เป็นเรื่องที่เขียนถัดจาก “ศึกศรสวาท” โดยที่หากจะพิจารณากัน ในเรื่อง “ธวัชล้ำฟ้า” นั้น มีความพยายามค่อนข้างชัดที่จะฉีกแนวเรื่อง “ความแค้น” เดิมๆ ให้ต่างออกไป รวมทั้งมีแนวทางในการเดินเรื่องไปจนจุดสำคัญในตอนจบที่แตกต่างออกไป และศึกษาถึง “ชีวิต” และถอดรหัสแง่มุมด้านชีวิตของตัวละครมากขึ้น โดยที่ผมจะเอ่ยถึงเรื่อง “ธวัชล้ำฟ้า” นี้ในตอนต่อไป
หลังจากช่วงยุคแห่ง “ศึกศรสวาท” ตามมาด้วย “ธวัชล้ำฟ้า” และ “นักสู้ผู้พิชิต” เราก็จะได้เห็นแนวทางที่ชัดเจนถึงมิติใหม่ของงานเขียนของ “โกวเล้ง” จากเรื่องราวของ “ชอลิ้วเฮียง” โดยพยายามสะท้อนภาพของ “ชีวิตคน” ตลอดจนการมุ่งตีแผ่ “นิสัยใจคอ” ของตัวละครในฐานะ “ความเป็นมนุษย์” ให้มากยิ่งขึ้น โดยมีฉากต่อสู้การประลองยุทธคลอเคียงกันไป ลดโทนเรื่อง “ความแค้น” เพิ่มเติมเรื่อง “ความรัก” และ “การให้อภัย” แต่ก็ยังคงใส่ใจเรื่อง “ธรรมมะย่อมชนะอธรรม” สุดท้ายความดีงามพิชิตความชั่วร้าย และนิยายจีนกำลังภายในในยุคถัดมาอย่างเรื่อง “ลูกปลาน้อย เซียวฮื้อยี้” ก็เป็นชิ้นงานงามจรัสที่เห็นชัดเจนในเวลาต่อมา
“ศึกศรสวาท” เป็นเรื่องราวของการปรากฏขึ้นของ “บัตรมรณะสีแดงเลือด” บนบัตรมีสัญลักษณ์รูปกะโหลกสีดำสนิทแต่นัยน์ตาของกะโหลกนั้นเป็นสีเขียวปัด บัตรมรณะใบนี้มาพร้อมกับ “ศรสวาท” ที่เป็นลูกศรสั้นหนึ่งดำหนึ่งแดง ที่อาบยาพิษร้าย ผู้ใดต้องศรมรณะนี้ เสียชีวิตในทันทีทุกรายไป โดยเป็นการตายอย่างงมงาย เป็นการตายที่เปี่ยมไปด้วยความลับที่น่าสะพรึงกลัว
“เตี้ยงมั่งแป๊ะ” ตัวเอกของเรื่อง ประสบชะตากรรมที่บิดาโดนสังหารด้วยศรสวาทที่ลึกลับ จากนั้นเขาก็พยายามหาทางคลี่คลายปมปัญหา ล้างแค้นให้บุพการี ค่อยๆ คลี่คลายปมปัญหา ได้พบและสร้างสัมพันธ์กับยอดฝีมือเร้นกายมากหน้าหลายตา ได้สำเร็จยอดยุทธ ได้สุดยอดศัตราวุธโดยบังเอิญ และในที่สุดก็สามารถคลายปมความลับของ “ศรสวาท” อันมีความเป็นมาอันยาวนานตั้งแต่คนรุ่นก่อน ผูกโยงทั้งสัมพันธ์รัก และความต้องการอำนาจความยิ่งใหญ่ของ “นางมารร้าย” ที่มีชื่อว่า “โซวเชี่ยงเซาะ” ตลอดจนยังมีการสะท้อนภาพในเรื่องแง่มุมทางจิตวิทยาที่เป็นปมปัญหาในชีวิตมารร้ายที่สร้างเรื่องราวนี้ขึ้นมา แม้ว่าในการสะท้อนเชิงแง่มุมทาง “จิตวิทยา” ของ “ชีวิตคน” นี้ยังไม่มีการขยายความอะไรมากมายนักหากเทียบกับเรื่องต่างๆ ในยุคหลัง แต่ก็ถือเป็นการบอกเล่าสั้นๆ แต่ตรงและครบประเด็นจนสามารถเข้าใจในส่วนของ “จิตใจ” ที่ก่อให้เกิด “มาร” ได้ว่าเป็นเช่นไร
สิ่งที่ผมชื่นชมที่สุดสำหรับนิยายจีนกำลังภายในเรื่อง “ศึกศรสวาท” ก็คือบุคลิกของตัวละครเอกที่มีชื่อว่า “เตี้ยงมั่งแป๊ะ” เขาผู้นี้มีนิสัยโอ่อ่าเปิดเผย เข็มแข็งแกร่งกร้าว เปี่ยมไปด้วยธาตุทระนง ยอมหักไม่ยอมงอ เป็นชายหนุ่มผู้กล้าหาญเด็ดเดี่ยวถือคุณธรรม
“เตี้ยงมั่งแป๊ะ” ผู้นี้ มีโอกาสกราบยอดฝีมือเป็นอาจารย์มากมาย อีกทั้งบังเอิญได้คัมภีร์ยอดยุทธโดยบังเอิญ แต่เขาก็มิได้ถือฉวยโอกาสเฉพาะหน้ากราบอาจารย์อย่างไม่มีหลักการ และไม่ยึดครองฝึกคัมภีร์ยุทธแบบไร้เป้าหมาย แต่ “เตี้ยงมั่งแป๊ะ” เป็นผู้ที่มองภาพรวม ไม่คิดแต่เอาตัวรอดเฉพาะหน้า หลายครั้งที่เขามุ่งแต่ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งแลกเปลี่ยนตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นวิชาฝีมือ หรือคัมภีร์ยอดยุทธ
ครั้งที่ “เตี้ยงมั่งแป๊ะ” ยอมกราบยอดคนที่เคยเป็นปรมาจารย์บู๊ลิ้มในอดีต แต่โดนกับดักกักขังไว้ แถมยังพิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ “เตี้ยงมั่งแป๊ะ” ยอมกราบชายชราพิการผู้นี้เป็นอาจารย์ ก็ด้วยต้องการช่วยเหลือยอดคนท่านนี้ เป็นการมองผลประโยชน์ผู้อื่นมากกว่าผลประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับ
หัวใจสำคัญที่ทำให้ “เตี้ยงมั่งแป๊ะ” สำเร็จเป็นยอดยุทธ มาจากบุคลิกลักษณะของเขาเอง ที่โอ่อ่าเปิดเผย เข็มแข็งแกร่งกร้าว เปี่ยมไปด้วยธาตุทระนงยอมหักไม่ยอมงอ ซึ่งความเหี้ยมหาญไม่หวาดหวั่นโดยยึดมั่นกับหลักการธรรมมะนี้ ถือเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่มรรคาวิชาฝีมืออันเที่ยงธรรมตามหลักการ รวบง่ายเอาชัยพลิกแพลง หาญกล้าธรรมมะเอาชนะอธรรม
บุคลิกยอดยุทธอย่าง “เตี้ยงมั่งแป๊ะ” ถือเป็นตัวละครในนิยายจีนกำลังภายในที่น่าชื่นชมน่ายกย่องในสายตาผม โดยที่เขาผู้นี้มีหลักการแน่วแน่ที่ว่า “ชนชาวโลกหากมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว สามารถใช้อ่อนแอสู้เข็มแข็ง ใช้พวกน้อยหาญสู้พวกมาก ลูกผู้ชายสู้จนเลือดอาบ ใยมิใช่สมใจนัก คนผู้หนึ่งแม้ฝีมือด้อยกว่า แต่ฮึกหาญกว่าสิบเท่า ใยต้องวิตกกลัวพ่ายแพ้”
วิชายุทธของ “เตี้ยงมั่งแป๊ะ” จึงยืนอยู่บนพื้นฐาน “กระบวนท่าที่ไม่ต้องการชีวิต” ผู้ที่ใช้กระบวนท่าเช่นนี้ในการต่อสู้ บวกกับใจที่ห้าวหาญเปี่ยมด้วยคุณธรรมยึดถือความถูกต้องเป็นหลัก
กระบวนท่าเช่นนี้จึงเป็นกระบวนท่าที่น่ากลัวที่สุดสำหรับคู่ต่อสู้