xs
xsm
sm
md
lg

เผ่าพันธุ์นักการเมืองและกระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ปัญญาพลวัตร”
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

สังคมไทยเผชิญกับวิกฤติการณ์หลายครั้ง แต่ละครั้งทำให้เราเห็นลักษณะที่แท้จริงของผู้บริหารบ้านเมืองทั้งในด้านวิธีคิดและพฤติกรรมอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น การเรียนรู้ที่เราได้รับเพิ่มขึ้นนำมาสู่ข้อสรุปที่สำคัญว่าเผ่าพันธุ์ของนักการเมืองไทยในปัจจุบันไม่เหมาะสมสำหรับการบริหารประเทศชาติ การสร้างสรรค์ประเทศใหม่จะเป็นไปได้จักต้องมีผู้บริหารประเทศที่มีคุณภาพใหม่ และกระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้นและโบกสะพัดแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นักการเมืองส่วนใหญ่และข้าราชการประจำระดับสูงมีวิธีคิดในการรับรู้ปัญหาโดยใช้ตนเองเป็นศูนย์กลาง อันเกิดจากบาปที่ชั่วร้ายแห่งความหยิ่งยโส (sin of pride) บาปประเภทนี้ โทมัส มอร์ นักปรัชญาชาวอังกฤษผู้เขียนหนังสือชื่อ “ยูโทเปีย” หรือ “สังคมอุดมคติ” ชี้ว่า เป็นบาปที่นำพามาซึ่งความหายนะของสังคม เพราะผู้ที่หยิ่งยะโสจะปิดกั้นความเป็นจริงที่หลากหลาย ปิดกั้นการฟังความคิดของผู้อื่น และปิดกั้นการรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น เมื่อปิดกั้นสิ่งเหล่านี้ผู้บริหารที่หยิ่งยะโสก็ตัดสินใจภายใต้ฐานคิดและความเชื่อที่คับแคบของตนเอง ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวเป็นการตัดสินใจที่ด้อยคุณภาพ และจะสร้างผลกระทบทางลบและความเสียหายแก่สังคมอย่างเหลือคณานับ

ความหยิ่งยโสมีที่มาที่สำคัญสามประการ

ประการแรก มาจากการประเมินว่าตนเองมีสติปัญญาสูงกว่าผู้อื่น การคิดเช่นนี้ถูกตอกย้ำให้ลงไปสู่จิตใต้สำนึกของผู้นั้นมากขึ้น หากผู้นั้นมีโอกาสไปศึกษาในสถาบันการศึกษาที่สังคมยกให้เป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำของโลก หรือ หากผู้นั้นได้มีโอกาสรับตำแหน่งสำคัญ เช่น ได้เป็น ปลัดกระทรวง ส.ส. รัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี

บุคคลเหล่านี้จึงมีบุคลิกภาพที่เรียกว่า “นัยตาอยู่เหนือศีรษะ”

เมื่อมีนัยน์ตาอยู่ศีรษะความเป็นจริงทางสังคมที่พวกเขาเห็นจึงมีอยู่ทิศทางเดียว คือทิศทางที่สอดคล้องกับความคิดของตนเอง ส่วนความเป็นจริงอื่นๆ พวกเขาจะมองไม่เห็น รวมทั้งไม่เห็นด้วยว่าเบื้องหน้าที่พวกเขาเดินเป็นเหวลึก โอกาสที่พวกเขาจะเดินตกเหวพาตัวเองไปสู่ความพินาศจึงมีสูงยิ่ง

ความพินาศส่วนบุคคลของพวกเขาอาจสร้างผลกระทบต่อสังคมไม่มากนักหากพวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ แต่ถ้าหากพวกเขาเป็นบุคคลสาธารณะและรับผิดชอบการบริหารบ้านเมือง ความพินาศของเขาย่อมสร้างผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ดังเช่น ด้วยความหยิ่งยโส รัฐบาลอภิสิทธิ์ จึงตัดสินใจกอดยึด MOU 2543 ไว้แน่น อัน จะทำให้เกิดการเสียดินแดนของประเทศไทย และส่งผลกระทบต่อสังคมไทยและประชาชนไทยอย่างประมาณมิได้

ประการที่สอง ความหยิ่งยโสที่มาจากความมั่งคั่ง
ผู้ที่ร่ำรวยมีทรัพย์สินมาก ไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะมาจากการประกอบอาชีพโดยสุจริตหรือเกิดจากการทุจริต ฉ้อฉล โกงกินประเทศชาติและประชาชน เมื่อร่ำรวยขึ้นมาก็มักจะมีความรู้สึกว่าตนเองสูงส่งกว่าผู้อื่น เห็นผู้อื่นต่ำต้อยกว่า และยิ่งผู้ใดที่ร่ำรวยมาด้วยการค้าหรือการทุจริต เมื่อถูกผู้อื่นเปิดเผยที่มาของของทรัพย์สินอันสกปรกของตนเอง ก็มักจะกลบเกลื่อนด้วยการบอกว่าผู้อื่นอิจฉาริษยาตนเอง

ผู้ที่มั่งคั่งมักคิดว่าเงินของตนเองสามารถซื้อจิตวิญญาณของผู้คนได้ทั้งหมด แต่ที่จริงแล้ว เงินสามารถซื้อได้เฉพาะบุคคลที่ขาดสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์หรือบุคคลที่ตีค่าความเป็นมนุษย์ของตนเองให้เท่ากับสิ่งของหรือเท่ากับเผ่าพันธุ์ของสัตว์เท่านั้น ส่วนผู้ที่รักษาความเป็นมนุษย์ที่แท้ของตนเองไว้ได้นั้น เงินของผู้มั่งคั่งมิอาจซื้อพวกเขาได้

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าในบรรดานักการเมืองส่วนใหญ่ ข้าราชการระดับสูง สื่อมวลชน และนักวิชาการบางส่วนนั้น สำนึกแห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาขาดหายไป ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงขายตัวเองให้กับบรรดาปีศาจร้ายที่ทำลายประเทศไทยโดยไร้ความละอายใจใดๆหลงเหลืออยู่ เราจะเห็นว่าบุคคลเหล่านี้ บ้างก็ถูกซื้อได้ด้วยเงินของนักโทษหนีคดี บ้างก็ถูกซื้อด้วยหัวหน้าก้วนแก๊งทางการเมือง บ้างก็ถูกซื้อด้วยนักธุรกิจที่ทำลายสังคมและสิ่งแวดล้อม และบ้างก็ถูกซื้อจากอริราชศัตรู เช่น ฮุนเซน เป็นต้น

ผู้ดำรงตำแหน่งทางการบริหารของไทยเมื่อขายตัวไปแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจเชิงนโยบายและการปฏิบัติที่ตอบสนองผลประโยชน์ของเจ้านายของพวกเขา โดยไม่สนใจหลักจริยธรรม คุณธรรม กฎหมาย และประเพณีใดๆ นึกจะยกแผ่นดินไทยให้กัมพูชา ก็ยกให้ทันทีโดยมิได้สนใจ ใส่ใจและใช้ความเพียรในการตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริง อย่างรอบคอบและรอบด้านเสียก่อน ดังที่เกิดขึ้นที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว และพื้นที่บริเวณ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่เขาพระวิหาร เป็นต้น

ส่วนนักวิชาการบางกลุ่มเมื่อเสพผลประโยชน์จากฮุนเซนและกระทรวงต่างประเทศจนอิ่มแล้ว ก็ลืมความเป็นอิสระและสำนึกแห่งความเป็นวิชาการของตนเองไปจนสิ้น พวกเขาบางคนยกย่องทรราชฮุนเซนเป็นวีรบุรุษ โดยกล่าวว่าฮุนเซนได้ใช้ลัทธิชาตินิยมที่ก้าวหน้า โดยดึงนานาชาติเข้ามาร่วมวงความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ขณะที่ไทยใช้ชาตินิยมในศตวรรษที่ 19

นักวิชาการกลุ่มนี้คงลืมไปแล้วว่า ฮุนเซนโกงการเลือกตั้งในกัมพูชาอย่างไร ฮุนเซนล่าสังหารชาวกัมพูชาผู้ที่ไม่เห็นด้วยหรือขัดขวางผลประโยชน์และอำนาจของเขาอย่างไร เช่น กรณีเจ้ารณฤทธิ์ และ นายสม รังสี คงลืมไปว่าฮุนเซนปลุกกระแสคลั่งชาติให้ชาวกัมพูชามาเผาสถานฑูตไทย คงลืมไปว่าฮุนเซนสั่งให้ทหารกัมพูชาใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานในการโจมตีไทย และยิงใส่ชาวบ้านพลเรือนไทย นี่นะหรือชาตินิยมที่ก้าวหน้าของฮุนเซน นี่นะหรือวีรบุรุษที่นักวิชาการชาวไทยเหล่านี้คลั่งไคล้ ความเป็นจริงเหล่านี้ยังคงอยู่ในพื้นที่ทางความคิดของพวกเขาหรือไม่

ประการที่สาม ความหยิ่งยะโสที่มาจากอำนาจ เมื่อมีอำนาจผู้คนมักจะตัวพอง มองโลกราวกับว่าสรรพสิ่งอยู่แทบเท้าตน ยิ่งผู้คนที่ใกล้ชิดประจบประแจงสอพลออยู่เป็นเนืองนิตย์ผนวกกับการได้รับความชื่นชมจากผู้หลงใหลในรูปเสียงหรือคุณสมบัติอื่นๆ ก็ยิ่งทำให้บุคคลผู้นั้นเท้าลอยจากพื้นมากขึ้น อำนาจทำให้คนเปลี่ยนจิตสำนึกและพฤติกรรมได้ง่าย

ตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

นายอภิสิทธิ์ เมื่อเป็นผู้นำฝ่ายค้านซึ่งไร้อำนาจ ก็มีความนอบน้อมถ่อมตน และดูเหมือนจะเป็นผู้ที่มีจริยคุณธรรมเต็มเปี่ยม เขาเคยอภิปรายในสภาทำนองว่า นักการเมืองต้องมีสำนึกมากกว่าคนธรรมดา เสียงประชาชนไม่ว่าหนึ่งเสียงหรือแสนเสียงก็ต้องฟัง หากนักการเมืองมีความผิดพลาดแม้แต่เพียงเป็นความคิดเชิงนโยบาย และยังไม่มีการกระทำก็ต้องรับผิดชอบพร้อมกับยกนักการเมืองประเทศเกาหลีมาเป็นตัวอย่าง เมื่อประชาชนไม่เห็นด้วยกับนโยบาย นักการเมืองผู้นั้นก็ลาออก แต่เมื่อนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี สำนึกทางการเมืองที่เขาเคยเทศนาให้ผู้อื่นฟังและโฆษณาให้ประชาชนหลงเชื่อก็หายไปจนหมดสิ้น

ความผิดพลาดเชิงนโยบายและการปฏิบัติของรัฐบาลอภิสิทธิ์ มีมากมายจนนับไม่ถ้วน ตัวอย่างเช่น

1.ความผิดพลาดในการกำหนดนโยบายเพื่อเฝ้าระวังและควบคุมการก่อการร้ายของพวกเสื้อแดง ทำให้การกระชุมสุดยอดอาเชี่ยนในปี 2552 ล้ม ผู้นำประเทศต่างๆจำนวนมากต้องหนีมวลชนเสื้อแดงที่บ้าคลั่งอย่างหัวซุกหัวซุน และในปี 2553 ก็เกิดความผิดพลาดซ้ำซาก ปล่อยปละละเลยจนเสื้อแดงเผาบ้านทำลายเมืองจนวอดวาย

2.ความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ โดยยึด MOU 2543 เป็นคัมภีร์ในการเจรจากับกัมพูชา จนทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบเขาพระวิหาร ทำให้เกิดสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชา ทำให้คนไทยต้องติดคุกกัมพูชาอย่างไม่เป็นธรรม และอาจทำให้ไทยต้องเสียอำนาจอธิปไตยและผลประโยชน์อื่นๆ ทางทะเลอีกมาก

3.ความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายน้ำมันปาล์ม จนทำให้ราคาน้ำมันปาล์มสูงขึ้นอย่างลิบลิ่วและขาดแคลนอย่างหนัก สร้างความเดือดร้อนในการดำรงชีวิตให้กับประชาชนไทยอย่างมหาศาล

4.ความผิดพลาดในการบริหารราชการแผ่นดิน ปล่อยให้มีการทุจริตโกงกินกันทุกกระทรวง มีการซื้อขายตำแหน่งในวงการราชการอย่างเอิกเกริก ทำลายระบบคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลจนหมดสิ้น


ตัวอย่างแค่ความผิดพลาดสี่ประการนี้ มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้นักการเมืองผู้มีสำนึกแห่งมโนธรรมต้องลาออกหรือยัง หากเป็นนักการเมืองเกาหลีหรือประเทศตะวันตกที่นายอภิสิทธิ์ หยิบยกมาอภิปรายในสภา เมื่อมีความผิดพลาดเหล่านี้เกิดขึ้น พวกเขาคงลาออกไปนานแล้วเพื่อแสดงความรับผิดชอบ

แต่ผมอยากจะเตือนพี่น้องชาวไทยว่า นายอภิสิทธิ์นั้น เป็นเพียงสมาชิกคนหนึ่งในเผ่าพันธุ์นักการเมืองไทยเท่านั้นเอง เผ่าพันธุ์นักการเมืองไทยนั้นย่อมแตกต่างจากเผ่าพันธุ์นักการเมืองเกาหลีหรือประเทศตะวันตก เผ่าพันธุ์นักการเมืองไทยนั้นเต็มไปด้วยบาปแห่งความหยิ่งยะโส มีสำนึกแห่งจริยธรรมที่เบาบาง บูชาความมั่งคั่งและผลประโยชน์ของพวหพ้องมากกว่าคุณธรรมและผลประโยชน์ของประเทศชาติ หลงยึดติดกับอำนาจดุจหนอนหลงอาจม มีความสามารถในการปรับตัวดุจกิ้งก่า มีความกะล่อนลื่นไหลยิ่งกว่าสัตว์ทุกประเภทในโลกที่เรารู้จัก

อย่าไปคาดหวังอะไรกับคนในเผ่าพันธุ์นี้เลยสำหรับการสร้างสรรค์และพัฒนาประเทศให้มีความอยู่ดี กินดี มีศักศรีดิ์แห่งความเป็นมนุษย์ และมีความผาสุก แต่เราประชาชนผู้เป็นพลเมืองจะต้องร่วมกันสร้างนักการเมืองและผู้บริหารประเทศให้มีคุณสมบัติแตกต่างจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยให้เป็นผู้มีความนอบน้อมถ่อมตน รับฟังเสียงประชาชน มีความกล้าหาญในการแก้ไขปัญหาของประเทศ เป็นผู้มีคุณธรรมและสำนึกต่อส่วนรวมต่อประเทศชาติ

กระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลง กำลังเกิดขึ้นและขยายตัวออกไปแล้ว ในไม่ช้าจะพัดพาเผ่าพันธุ์อัปลักษณ์เหล่านี้ปลิวหายไปไกลแสนไกล
กำลังโหลดความคิดเห็น