xs
xsm
sm
md
lg

เอารัฐบาลไว้ทำอะไร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ปัญญาพลวัตร”
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณภูเก็ต

การเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก MOU 2543 ให้ประเทศไทยถอนตัวจากมรดกโลก และผลักดันชาวกัมพูชาบริเวณชายแดนที่รุกล้ำครอบครองดินแดนไทยออกไป ถูกบุคคลบางกลุ่มปลุกเสกวาทกรรมขึ้นมาชุดหนึ่งว่า เป็นการเคลื่อนไหวแบบคลั่งชาติหรือกระหายสงคราม

ผู้ประดิษฐ์วาทกรรมเหล่านี้มีทั้งบุคคลในรัฐบาล นักวิชาการและนักสื่อมวลชนบางกลุ่ม โดยพวกเขาได้พยายามนำตรา “คลั่งชาติ”ประทับลงไปในกลุ่มพันธมิตรฯ การกระทำเช่นนี้ย่อมมีเป้าประสงค์บางประการที่ไม่หวังดีแอบแฝงอยู่ ด้วยเหตุที่คำว่า “คลั่งชาติ” เป็นคำที่มีความหมายในเชิงลบ เมื่อคำนี้ถูกประทับตราแก่กลุ่มใดกลุ่มนั้นย่อมถูกมองในทางที่เสียหายและอาจถูกสังคมรังเกียจได้

เห็นได้ชัดเจนว่าเป้าประสงค์ของกลุ่มที่นำคำนี้มาใช้กับพันธมิตรฯ คือ การทำลายความน่าเชื่อในการเคลื่อนไหวและการต่อสู้ของพันธมิตรฯ ซึ่งพยายามปกป้องชาติจากการรุกรานที่เป็นรูปธรรมของกัมพูชาทั้งด้านนิตินัย พฤตินัย ในแง่การทูต การทหาร การรุกล้ำเขตแดน และอธิปไตยทางศาล

ในขณะที่พันธมิตรฯ พยายามจะชี้ให้เห็นถึงภยันตรายของประเทศไทยที่ถูกกัมพูชารุกรานอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่องและซึมลึก โดยใช้ยุทธวิธีอย่างรอบด้านทั้งในระดับพื้นที่และระดับสากล จนทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนไปแล้วและจะเสียมากขึ้นในอนาคต แต่รัฐบาลไทยดูเหมือนไม่มีการรับรู้ในเรื่องนี้แต่อย่างใด สาเหตุหนึ่งคือสมองของพวกเขาได้สร้างกำแพงแห่งมายาภาพที่แน่นหนาจนทำให้ดวงตาและดวงใจมืดบอดสนิทปิดกั้นความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจนมองไม่เห็น

พฤติกรรมและการกระทำของรัฐบาลจึงเปรียบประดุจนกกระจอกเทศที่เอาหัวซุกในทราย เพื่อจะได้หลบหนีจากความจริงที่ไล่ล่าพวกเขาอยู่ทุกวันทุกเวลา แต่ไม่ว่าเขาจะหัวหัวซุกลงไปลึกสักเท่าไรก็ตาม เขาไม่มีวันที่จะหลีกเลี่ยงความจริงที่นับวันจะได้รับการเปิดเผยและกระจายตัวออกไปสู่การรับรู้ของสาธารณะได้

จนในที่สุดกระทรวงต่างประเทศซึ่งหลับใหลมานับสิบกว่าปี ได้ตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงียและออกแถลงการณ์ว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรบริเวณเขาพระวิหารเป็นของประเทศไทย และเรียกร้องให้กัมพูชาถอนวัดแก้วสิขาคีรีสวาระออกไป แต่ก็ถูกกัมพูชาตอกกลับจนหน้าหงายว่าวัดดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ของกัมพูชา ทีนี้กระทรวงต่างประเทศจะทำอย่างไรต่อไป ผมคาดว่าอาจจะกลับไปนอนต่อ จนไม่มีแผ่นดินเหลือแล้วค่อยตื่นขึ้นมาดูอีกที

รัฐบาลและข้าราชการระดับสูงหลายคนพยายามพูดกับประชาชนไทยว่า เรายังไม่เสียดินแดน ซึ่งเป็นการหลอกลวงคนไทยอย่างไร้ยางอาย เพราะหากเราไม่เสียดินแดนจริงดังที่พวกเขากล่าวอ้าง ทำไมรัฐบาลจึงปล่อยให้ทหารกัมพูชายึดครองแผ่นดินที่กระทรวงต่างประเทศระบุว่าเป็นของประเทศไทย คุณอภิสิทธิ์จะตอบได้หรือไม่

และเมื่อพันธมิตรฯ พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าคนไทย 7 คนถูกทหารกัมพูชาจับในเขตประเทศไทย โดยมีหลักฐานข้อมูลทั้งแผนที่ ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของพื้นที่ เอกสารสิทธิการครอบครองที่ดินของคนไทยซึ่งเป็นชาวบ้านเจ้าของพื้นที่ และต่อมาคุณพนิช วิกิจเศรษฐ์ ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันเพิ่มเติมว่าพื้นดังกล่าวอยู่ในเขตแดนไทย แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ทำให้จิตสำนึกของคนในรัฐบาลเกิดตื่นรู้ขึ้นมาแต่อย่างใด อวิชชายังคงปกคลุมจิตของพวกเขาอยู่ต่อไป

สิ่งที่รัฐบาลกระทำตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันคือ การประกาศว่าพื้นที่ที่คนไทยทั้ง7 ถูกทหารกัมพูชาจับเป็นพื้นที่ของประเทศกัมพูชา และได้การพยายามทุกวิถีทางทั้งใต้ดินและบนดิน เพื่อพิสูจน์ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของกัมพูชาจริง ทั้งการอ้างตำแหน่งในแผนที่และนำบุคคลที่อ้างว่าเป็นประชาชนในพื้นที่ออกมายืนยัน แต่ต่อมาก็ถูกพันธมิตรนำหลักฐานมาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นชาวบ้านนั้น ที่แท้เป็นนายทุนที่ทำธุรกิจค้าขายสัตว์บริเวณชายแดนและกลุ่มนักการพนัน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้เป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานราชการบางแห่งในพื้นที่ให้ออกมาต่อต้านการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติก่อนหน้านี้

ตลอดระยะเวลาที่เกิดเรื่องคนไทย 7 คน ถูกจับจนถึงปัจจุบัน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแนวทางที่รัฐบาลใช้ดำเนินการคือ การยอมรับอธิปไตยของประเทศกัมพูชาในบริเวณที่ชาวบ้านไทยซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่บอกว่าเป็นของพวกเขา เมื่อรัฐบาลยอมรับอธิปไตยของกัมพูชาในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ก็แสดงว่ารัฐบาลยอมรับอำนาจของทหารกัมพูชาว่ามีความชอบธรรมในการจับกุมตัวคนไทยทั้ง 7 คน และยอมรับในอำนาจของศาลกัมพูชาในการพิจารณาคดีด้วย

แนวทางการช่วยเหลือคนไทยทั้ง 7 ของรัฐบาลคือ การบอกให้ฮุนเซนสั่งศาลกัมพูชาให้ลงโทษคนทั้ง 7 สถานเบา และให้รอลงอาญาเอาไว้ก่อน แต่รัฐบาลฮุนเซนดำเนินการให้เพียง 5 คน เหลืออีกสองคนคือ คุณวีระ สมความคิด และคุณราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ไม่ยอมดำเนินการให้ แต่กลับยัดเยียดข้อหาเพิ่มเติมอย่างป่าเถื่อนและไร้มนุษยธรรม ที่จริงสิ่งนี้เป็นธรรมชาตินิสสัยของฮุนเซนอยู่แล้วไม่น่าแปลกประหลาดใจแต่อย่างใด ในที่สุดฮุนเซนก็สั่งให้ศาลลงโทษบุคคลทั้งสองสถานหนัก ผลก็คือ คุณวีระโดนจำคุกไป 8 ปี ส่วนคุณราตรี โดนจำคุกไป 6 ปี สังเวยความบ้าคลั่งส่วนตัวของฮุนเซนและความไม่เอาไหนของรัฐบาลไทย

ในการยอมรับอำนาจศาลของกัมพูชาเหนือบริเวณพื้นที่ที่คนไทยทั้ง 7 คนถูกจับ แม้รัฐบาลอภิสิทธิ์พยายามบอกกับคนไทยว่าไม่มีผลต่อดินแดนและอธิปไตย แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลฮุนเซนจะไม่คิดอย่างนั้น เมื่อไรก็ตามในอนาคตที่จะมีการเจรจาเกี่ยวดินแดนในบริเวณดังกล่าว รัฐบาลฮุนเซนย่อมอ้างเหตุผลได้ว่าดินแดนบริเวณนั้นเป็นของกัมพูชา เพราะรัฐบาลไทยยอมรับอำนาจศาลของกัมพูชาเหนือบริเวณดังกล่าวไปแล้ว โดยให้กระทรวงต่างประเทศให้ความช่วยเหลือในการต่อสู้คดีของคนไทยทั้ง 7 คน หากรัฐบาลไทยเถียงว่าเป็นเรื่องบุคคลไม่เกี่ยวกับดินแดน ฮุนเซนก็จะหัวเราะและตอกกลับมาว่า มีศาลประเทศใดบ้างในปัจจุบันที่สามารถใช้อำนาจในการตัดสินคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบริเวณที่ไม่ใช่ประเทศของตน และเมื่อไทยยอมรับอำนาจศาลโดยไม่มีการประท้วงใดๆทั้งสิ้นก็เท่ากับไทยยอมรับว่าดินแดนบริเวณนั้นเป็นของกัมพูชาไปแล้ว ทีนี้คุณอภิสิทธิ และคุณสุเทพ จะว่าอย่างไร

การยอมรับอำนาจศาลกัมพูชาของรัฐบาลไทยจึงเป็นเหตุให้คุณวีระและคุณราตรีถูกอำนาจศาลเตี้ยของกัมพูชาลงทัณฑ์ โดยมิได้คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน แต่เราก็ไม่อาจคาดหวังความยุติธรรมและความเป็นธรรมใดๆจากศาลกัมพูชาซึ่งอยู่ภายใต้การสั่งการของฮุนเซนได้อยู่แล้ว

เมื่อพันธมิตรฯ ออกมาเปิดโปงความไม่เอาไหน ความเฉยเมยต่อการถูกรุกราน ความอ่อนด้อยและความอ่อนแอในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของรัฐบาล จนประชาชนเริ่มเห็นความจริงตามหลักฐาน ข้อมูลและเหตุผลที่พันธมิตรฯ นำเสนอ สิ่งที่รัฐบาลกระทำเพื่อปกปิดและกลบเกลื่อนความผิดพลาดของตนเองคือ การสร้างวาทกรรมเพื่อใส่ร้ายป้ายสีพันธมิตรซึ่งเป็นผู้รักชาติว่าเป็น ผู้คลั่งชาติและกระหายสงคราม

เรื่องนี้ทำให้คนไทยจำนวนมากได้ข้อสรุปว่า รัฐบาลที่อ่อนแอในการปกป้องแผ่นดิน อ่อนด้อยทางปัญญา และอ่อนหัดในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ รวมทั้งมีผลประโยชน์ส่วนตนร่วมกับรัฐบาลต่างชาติ มิอาจปกป้องเสรีภาพของคนไทยและดินแดนของประเทศไทยไว้ได้ คำถามคือ รัฐบาลแบบนี้เราจะเอาไว้ทำอะไร
กำลังโหลดความคิดเห็น